(เพียงเธอเท่านั้น)

 

 

 

 

จิ่งเหิงปัวงงันไปสามวินาที 

 

 

ลากเขาขึ้นมาเป็นเพียงการล้อเล่น ใช้นิ้วหัวแม่เท้าคิดยังรู้ว่ากงอิ้นไม่ร่วมมือแน่แต่ขณะนี้เขากลับนั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยอยู่ตรงนั้น รับบทบาท ‘พระนางนั่งผกา’ ขึ้นมาจริงๆ  

 

 

เมื่อคืนฝันไปยังไม่ตื่นเหรอ 

 

 

นางงุนงงอยู่ตรงนั้นแต่ฝูงชนตื่นเต้นดีใจ ยามนี้ทุกคนเพิ่งได้เห็นรูปโฉมของกงอิ้นอย่างชัดเจน พลันรู้สึกว่าแม้เป็นบุรุษผู้หนึ่งยังงดงามกว่า ‘พระนางนั่งผกา’ เมื่อครู่นั้นเป็นร้อยเท่า สีหน้าท่าทางของคนบางประเภทเพียงพอให้ชาดแดงแป้งร่ำบนโลกาล้วนมืดสลัวไร้สีสัน 

 

 

ทุกคนมองไปที่เขาแล้วมองไปที่จิ่งเหิงปัว รู้สึกโดยพลันว่าแม้รูปโฉมของทั้งสองคนทั้งสองรูปแบบแตกต่างอย่างสิ้นเชิง แต่นับได้โดยแท้จริงว่ารูปโฉมสมกันบุคลิกส่งเสริมกัน เปี่ยมด้วยความรู้สึกสอดประสานน่าอัศจรรย์ 

 

 

“ร่ายรำสิ! ร่ายรำสิ!” ฝูงชนโวยวายกึกก้องโหวกเหวกเป็นระยะ ศีรษะคนดกดำพุ่งขึ้นมาด้านบนดุจเกลียวคลื่นเป็นระลอก 

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มออกมาทันที 

 

 

นางยืดขาข้างหนึ่งพรวดพราดออกมา เหยียดอ้าขากว้างเป็นรูปเลขหนึ่งด้วยท่าทางเสแสร้งแนบลงบนเสาประดับ! 

 

 

เหล่ามวลชนอ้าปากกว้าง หลังตกตะลึงไปชั่วครู่จึงตะโกนโหวกเวกโวยวายฮือฮาคราหนึ่ง 

 

 

“ท่วงท่างดงาม!” 

 

 

กงอิ้นผู้สมาธิยังอยู่ที่สี่ด้านชะงักงันในชั่วพริบตา 

 

 

เรือนร่างของสตรีเหยียดยาวกลายเป็นเส้นตรงตั้งฉากเส้นหนึ่ง ฉุดรั้งจนขายาวยิ่งเรียวยาวช่วงเอวยิ่งผอมบางส่วนกระชับยิ่งกระชับส่วนโค้งเว้ายิ่งโค้งเว้า ผมยาวแผ่สยายปานสายธารหลั่งไหลลูบผ่านความโค้งเว้าของทรวดทรงดุจกิ่งหลิวยามวสันต์ พาให้ผู้คนยากจะนึกถึงว่าร่างมนุษย์จะอ่อนนุ่มแน่นเหนียวได้เช่นนี้ คล้ายดังปลายนิ้วกวักเพียงครั้งยังร่ายรำบนฝ่ามือได้ดุจดอกจิ่นเทา[1]เหินหาวผลุบโผล่งามสง่า 

 

 

นี่ถึงเป็นการผุดเผยมุมซึ่งลึกลับที่สุดของเรือนร่างที่สะท้านใจสะเทือนวิญญาณ 

 

 

ในพริบตาเดียวดวงตาทั้งหลายคล้ายลุกโชนด้วยเปลวเพลิง ในดวงตาเหล่าสตรีคือเพลิงริษยา ในดวงตาเหล่าบุรุษคือเพลิงปรารถนา ในดวงตามหาเทพ… 

 

 

ในดวงตามหาเทพคือเพลิงโทสะ 

 

 

ท่วงท่าเช่นนี้…! 

 

 

‘พระนางนั่งผกา’ นั่งไม่ติดแล้ว สะบัดแขนเสื้อเพียงครั้งหวังลุกขึ้นมา เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวปลดลงมาจากเสาปานอสรพิษเวียนมาถึงเบื้องหน้าเขาดั่งสายลม เรือนร่างโค้งเพียงครั้งจับพนักแขนเก้าอี้ไว้เสียแล้ว 

 

 

กงอิ้นชะงักงัน 

 

 

จากมุมสายตาของเขา ยามนี้จิ่งเหิงปัวส่งเนินลึกล้ำชิดแน่นบางแห่งมาเบื้องหน้าเขาพอดิบพอดี… 

 

 

จิ่งเหิงปัวหัวเราะเสียงเบาเสียงหนึ่ง นิ้วมือเฉียดผ่านจากลูกกระเดือกของเขาอย่างแผ่วเบา จากนั้นหันกายอ่อนช้อยครั้งหนึ่ง สายผูกอาภรณ์สัมผัสผ่านปลายจมูกของเขา นางเอนเอียงพลิกกายครั้งหนึ่งเกี่ยวช่วงคอของเขาไว้ โฉมไฉไลอ่อนละมุนดุจผิวเคลือบ ดวงตาดอกท้อมองปราดมาดุจธารหลาก ผมยาวสยายบนไหล่ของเขาดุจความฝัน 

 

 

ท่วงท่าต่อเนื่องกันดุจเมฆเหินน้ำไหล ทว่าทั้งร่างของกงอิ้นคล้ายแข็งทื่อเสียแล้ว… 

 

 

นางโค้งริมฝีปากยิ้มแย้มให้เขาครั้งหนึ่ง รอยยิ้มซุกซนยิ้มเสียจนดวงใจของเขาไหวสะท้านเกิดความรู้สึกสับสนจนทำสิ่งใดไม่ถูกเล็กน้อยไปชั่วขณะ 

 

 

เขารับมือกับการมิอาจควบคุมได้ คุ้นเคยกับการหลอกลวงกันและกัน พานพบการแข่งเป็นแข่งตายจนเบื่อหน่าย พลิกผันราชสำนักแย่งชิงอำนาจ ยามนี้กลับมิรู้ว่าจะรับมือกับดวงตาใสแววงามเฉิดฉายและแขนอ่อนนุ่มคู่นั้นของสตรีนางหนึ่งได้อย่างไร 

 

 

ทว่านางกลับครวญเพลงด้วยเสียงแผ่วเบาขึ้นมา 

 

 

“ONLY YOU (เพียงเธอเท่านั้น)…” 

 

 

ท่วงทำนองแปลกประหลาด การออกเสียงแปลกประหลาดจนเขามิรู้ว่านี่คือคำใด เพียงรู้สึกได้ถึงคำร้องประโยคนี้จากแววตาเจือด้วยรอยยิ้มสามส่วน หยอกล้อสามส่วน จริงจังสามส่วนซ้ำยังแปลกประหลาดสามส่วนของนางว่าพิเศษไร้ผู้ใดเหมือนเป็นแน่ 

 

 

ผู้ร่ายรำและผู้ชมขับเคี่ยวความรู้สึก ดวงตากลอกไปกลอกมา ผู้ล้อมชมครึกครื้นเนิ่นนานแล้ว 

 

 

ทุกคนจะเคยเห็นระบำเช่นนี้ได้อย่างไร แม้ว่าเสี่ยวเฟิ่งหวงซึ่งมาจากตระกูลนักแสดงงิ้ว สิ่งที่กล่าวขานกันว่าเป็นระบำอ่อนช้อยงดงามยังเป็นเพียงการร่ายรำท่วงท่าอ่อนช้อยไม่กี่ท่าเท่านั้น 

 

 

ผู้ใดจะนึกถึงความยั่วยวนและเสน่ห์ของโฉมสะคราญผู้เริงระบำเล่า ดุจโบตั๋นดอกหนึ่งแย้มบานชอุ่มน้ำในหมอกควันสีชมพูกลุ่มหนึ่งกำลังใช้กลิ่นหอมเชื้อเชิญโดยไร้วาจา 

 

 

แล้วทุกคนจะเคยเห็นท่วงท่าเช่นนี้ของกงอิ้นได้อย่างไร บุรุษผู้หนึ่งนั่งเรียบร้อยอยู่บนตำแหน่งของพระนางนั่งผกาทว่าทำให้ผู้คนหลงลืมความเก้อเขินเช่นนี้ได้ ในความเคลิบเคลิ้มรู้สึกเพียงคล้ายดังถูกเขามองด้วยความทะนงองอาจจากปลายเมฆา 

 

 

คนครึ่งหนึ่งอยากจะลากสตรีที่ร่ายรำงามยั่วยวนลงมา ตนเองเข้าไปนั่งในอ้อมแขนของ ‘พระนาง’ ส่วนคนครึ่งหนึ่งอยากจะลาก ‘พระนาง’ ลงมา ให้สตรีที่ร่ายรำงามยั่วยวนมานั่งในอ้อมแขนของตนเอง 

 

 

… 

 

 

“นี่คือระบำใดกัน ข้าจะเรียน!” กษัตริย์เทียนหนานสายตาแพรวพราว เรือนร่างแทบจะยื่นไปถึงนอกหน้าต่าง ชี้ไปที่จิ่งเหิงปัวอย่างตื่นเต้นพลางเอ่ยว่า “จับนางมา!” 

 

 

ครุ่นคิดชั่วครู่ หางตามองผู้ชุดดำที่เดินออกไปแล้วนั้นปราดเดียวก่อนชี้ไปที่กงอิ้นเอ่ยเสียงเบาว่า “เคลื่อนพลสนับสนุน จับเขามา!” 

 

 

… 

 

 

ผู้ชุดดำหันหลังให้หน้าต่างคล้ายครุ่นคิดชั่วครู่แล้วทำมือเป็นสัญลักษณ์เพียงครั้งไปยังฝูงชนเบื้องล่างเช่นกัน 

 

 

แสงอาทิตย์แฉลบผ่านมุมปากของเขาคล้ายยิ้มแลมิได้ยิ้มทว่าพาให้ผู้คนรู้สึกว่ารอยยิ้มนั้นเยือกเย็นเล็กน้อย 

 

 

คือเหยียลี่ว์ฉี 

 

 

… 

 

 

“เธอผู้เป็นดังแอปเปิลน้อยของฉัน…” จิ่งเหิงปัวคล้ายยิ้มแต่ไม่ได้ยิ้ม นิ้วมือยื่นไปเชยคางของกงอิ้น กงอิ้นหลบหลีกเล็กน้อย นางยิ้มยั่วยวนวนเวียนออกไป ยกมือครั้งหนึ่งปลดดอกไม้ผ้าไหมสองดอกบนเสาประดับ ดอกหนึ่งคาบไว้อีกดอกหนึ่งคีบไว้ ร่ายรำเข้ามาดุจสายลมแล้วโยนดอกไม้ไปทางหัวเข่าของกงอิ้น 

 

 

“ให้ข้า! ให้ข้า!” บุรุษกลุ่มใหญ่กระโดดขึ้นมาปรารถนาจะพุ่งขึ้นไปรับดอกไม้บนรถขบวนแห่ 

 

 

กงอิ้นยกมือคล้ายจะรับมาทว่ามือข้ามผ่านดอกไม้ผ้าไหม คว้าจิ่งเหิงปัวที่กำลังจะหันกายร่ายรำออกไปอีกรอบไว้ในครั้งเดียว เอ่ยว่า “หยุดร่ายรำ! ไป!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกเขาจูงจนเรือนร่างหมุนไปข้างหลังปานธงสะบัดพัดไหวกลางสายลมแล้วร่วงสู่อ้อมแขนของเขา 

 

 

ขณะนี้นางเงยหน้าขึ้นมาน้อยๆ พอดี ริมฝีปากคาบดอกกุหลาบแดงจากผ้าไหมดอกหนึ่งไว้เอนเอียง ดอกไม้ประดิษฐ์อย่างประณีตซ้ำยังใช้ไข่มุกเม็ดน้อยประดับเป็นหยาดน้ำค้าง แสงรุ่งโรจน์สาดประกายภายใต้แสงอาทิตย์ทว่าเทียบมิได้กับสีสันแวววาวงามสง่าระลอกหนึ่งในสายตาของนางซึ่งเหนือกว่าแสงรุ้งปลายขอบฟ้า 

 

 

คนงามเสียกว่ามวลผกา 

 

 

ดวงตาสองคู่สอดประสาน นัยน์ตาของนางคล้ายมีฝนวสันต์โปรยปรายสาดย้อมฟ้าดินเป็นใจนี้ สายตาแจ่มชัดของกงอิ้นยังหลงทางไปบ้างในครู่หนึ่ง 

 

 

เพียงครู่หนึ่งนี้ 

 

 

เงาคนนับไม่ถ้วนวิ่งพล่านท่ามกลางฝูงชนโดยพลัน เงาสีเหลืองแฉลบปานวิหคดุร้ายเพียงครั้งเข้าใกล้สามจั้งก่อนร่วงลงบนเวทีสูงในพริบตาเดียว ผู้หนึ่งในนั้นฟาดมือเพียงครั้งคว้าจิ่งเหิงปัวเอาไว้ในมือพลันสืบเท้าก้าวถอยหลังปานว่าวตัวหนึ่ง 

 

 

ยังมีเงาผู้ชุดเหลืองสี่คนปรากฏข้างกายกงอิ้นอย่างเงียบเชียบ ผู้หนึ่งในนั้นรูปร่างอ้วนเตี้ยลงมือเพียงครั้งสะบั้นมือของกงอิ้นที่หวังจะลากจิ่งเหิงปัวออกไป 

 

 

เงาขาวกะพริบวูบตามด้วยเสียงหัวเราะเย็นชาเสียงหนึ่ง กงอิ้นออกจากวงล้อมมาดุจภูตพราย แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้งสะบัดผู้ที่คว้าจิ่งเหิงปัวไว้ล้มออกไปสามจั้ง มือข้างหนึ่งของกงอิ้นพาดบนหัวไหล่ของจิ่งเหิงปัวด้วยท่าทีสงบนิ่ง 

 

 

“ไป!” เขาเอ่ย 

 

 

จิ่งเหิงปัวกำลังจะเคลื่อนย้ายหายตัว ประกายแสงในดวงตามองเห็นเงาดำกะพริบวูบที่เบื้องหน้ากะทันหันคล้ายมีผู้หนึ่งเฉียดผ่านฝูงชนอย่างลับๆ ล่อๆ วัตถุสีดำคล้ำในมือยกขึ้นเพียงครั้ง… 

 

 

“ระวัง!” นางกรีดร้องกอดกงอิ้นไว้รีบล้มลงไปด้านหลัง 

 

 

อาวุธลับจ่อตรงทิศทางของนางและกงอิ้นพอดี ด้วยท่วงท่านี้อาวุธนั้นจะทะลุผ่านนางจนกลายเป็นรูพรุนก่อนแล้วจึงทะลุผ่านกงอิ้น 

 

 

ไม่ใช่ว่านางคิดไม่ถึง เพียงแต่ชั่วครู่หนึ่งนั้นไม่ทันได้คิด 

 

 

เรี่ยวแรงมหาศาลสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาเปลี่ยนแปลงท่วงท่าของนางทั้งอย่างนั้น ผลักนางจนโซเซไปอีกด้านหนึ่ง จิ่งเหิงปัวล้มลงพื้นดังพลั่กกลิ้งไปมาพลิกกายออกไป แวบหนึ่งมองเห็นกงอิ้นกระโจนขึ้นยืนอยู่บนยอดเสาหลากสีไกลๆ จึงค่อยๆ วางใจ 

 

 

นางหันข้างครั้งหนึ่งโดยไม่ตั้งใจ มองเห็นเงาด้านหลังคล้ายจะคุ้นตาเงานั้นท่ามกลางฝูงชน นางร้องอย่างตระหนกเสียงหนึ่งว่า “เหยียลี่ว์ฉี!” 

 

 

กงอิ้นเงยหน้าสายตาเบนขึ้นมาจดจ้องครั้งหนึ่ง คนผู้นั้นโยนอาวุธลับทิ้งไปโดยพลันแล้วโถมกายวิ่งหนี ข้างกายเขามีเงาผู้ชุดดำหลายสายแวบขึ้นมาดังสายฟ้าฟาด พุ่งกายไปทางกงอิ้นด้วยคิดขัดขวาง 

 

 

กงอิ้นสะบัดแขนเสื้อเพียงครั้ง สองคนในนั้นจึงตะโกนน่าเวทนาก่อนร่วงหล่นไปห่างไกล 

 

 

เงาคนกะพริบต่อเนื่อง ผู้ชุดเหลืองที่ออกมาก่อนแล้วหลายคนกะพริบกายออกมาขวางทางกงอิ้น ทว่ามิอาจขัดขวางกงอิ้นได้แม้แต่ปลายเล็บ เงาขาวกะพริบวูบดุจสายฟ้า กงอิ้นกำลังจะหลุดพ้นจากวงล้อมของพวกเขาแล้ว 

 

 

จิ่งเหิงปัวที่กลิ้งไปมามั่วซั่วระลอกหนึ่งค่อยๆ วางใจ ดวงตามองเห็นตนกำลังจะกลิ้งตกรถขบวนแห่ นางครุ่นคิดว่ารอให้ยืดยืนร่างกายได้ตรงดิ่งจะเคลื่อนย้ายหายตัวหลบหนีทันที ไม่มีนางเป็นตัวถ่วง กงอิ้นจะได้ไปไล่ล่าสังหารเหยียลี่ว์ฉีในทันที 

 

 

พลั่ก! นางร่วงจากรถขบวนแห่ 

 

 

แต่ไม่ได้ร่วงลงสู่พื้นแข็งดังคาดการณ์ 

 

 

สัมผัสอ่อนนุ่มทั้งมีความยืดหยุ่น คล้ายอ้อมแขนเปี่ยมเรี่ยวแรงคู่หนึ่งรองรับนางไว้อย่างมั่นคง 

 

 

ในใจนางหนักอึ้งมีลางสังหรณ์ไม่ดีรำไร จากนั้นนางได้ยินเสียงที่คุ้นหูอย่างยิ่งเสียงหนึ่งหัวเราะพลางเอ่ยที่ข้างหูนางแผ่วเบาว่า “มนุษย์ยามแยกจากมักมีโอกาสได้พานพบอีกคราเป็นเรื่องจริงแท้ ฝ่าบาทของกระหม่อม” 

 

 

เหยียลี่ว์ฉี! 

 

 

ความรู้สึกแรกของจิ่งเหิงปัวคือต้องตะโกนก้อง นางจะร้องขอความช่วยเหลือ กงอิ้นอยู่แถวนี้องครักษ์ของกงอิ้นก็ต้องอยู่แถวนี้แน่นอน! 

 

 

ทว่าพอมืออ่อนนุ่มดุจลมวสันต์คู่หนึ่งเฉียดผ่านร่างนางแผ่วเบาเพียงครั้ง นางก็ตะโกนไม่ออกอีกต่อไป รู้สึกกระทั่งว่าทั่วร่างราวถูกเชือกล่องหนมัดแน่นขยับไม่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยว 

 

 

รถขบวนแห่ขยับขึ้นมากะทันหัน ไม่รู้ว่าถูกแรงอะไรผลักดันจึงชนเข้าไปในเรือนพักอาศัยหนึ่งหลังริมถนนดังครืนเสียงหนึ่ง อิฐมอญเผิงไม้แหลกละเอียดเอนเอียงลงมาบดบังแนวสายตาของผู้อื่นไว้ ซ้ำยังขัดขวางเส้นทางการไล่ล่าติดตาม 

 

 

เมื่อรถขบวนแห่ขยับเขยื้อนพุ่งชนกำแพง เหยียลี่ว์ฉีโอบนางไว้หายตัวไปในขณะนั้น เงาร่างสีดำดั่งมัจฉาอาศัยการกำบังของรถขบวนแห่ไถลเข้าไปในห้องแล้วโอบจิ่งเหิงปัวทะลุออกทางหน้าต่าง 

 

 

ในขณะที่เขาออกไป หน้าต่างหลายบานในห้องมีผู้แต่งกายคล้ายกันทุกกระเบียดนิ้วหลายคนพุ่งออกมาในคราวเดียวกัน ในมือยังโอบร่างคนซึ่งเป็นวัตถุแยกย้ายไปในแต่ละทิศทาง 

 

 

จิ่งเหิงปัวแอบถอนหายใจเสียงหนึ่ง เหล่าราชครูเจ้าเล่ห์กันทั้งนั้น 

 

 

ท่ามกลางการถูกไล่ล่าสังหารยังไม่รู้ว่าเหยียลี่ว์ฉีมีตัวแทนมากมายแค่ไหน 

 

 

ผู้ที่ยิงอาวุธลับใส่นางกับกงอิ้นท่ามกลางฝูงชนก่อนหน้านี้คือตัวแทนคนหนึ่ง จุดประสงค์เพื่อดึงดูดความสนใจของพวกเขาและแยกนางกับกงอิ้นออกจากกัน ภายหลังเข้ามาสู่ห้องริมถนน ในห้องยังมีตัวแทนหมอบซุ่มอย่างน้อยที่สุดสามคน อีกเดี๋ยวคนเหล่านี้กระจายออกไปทั่วสารทิศแล้วกงอิ้นจะตามคนไหนไปกันแน่ 

 

 

ไล่ตามผิดเพียงคนเดียว เหยียลี่ว์ฉีก็จะลักพาตัวนางหนีไปไกลกว่าพันลี้ได้แล้ว 

 

 

อืม ถูกศัตรูลักพาตัวต้องช่วงชิงทิ้งวัตถุของตนเองเป็นสัญลักษณ์ไว้ ในนิยายน้ำเน่ากล่าวไว้อย่างนี้ทั้งนั้น 

 

 

แต่บนร่างกายไม่มีวัตถุชิ้นใดที่สามารถทิ้งไว้ได้จะทำอย่างไร รองเท้าส้นสูงเป็นแบบสายรัดจะสะบัดก็สะบัดไม่หลุด อีกทั้งนางไม่คิดว่าเหยียลี่ว์ฉีจะสะเพร่าจนยอมให้นางสะบัดรองเท้า 

 

 

ถ้าจะพอเป็นไปได้ ทำใจแข็งหักเล็บออกอาจจะเป็นวิธีหนึ่ง เล็บของนางทาน้ำยาทาเล็บทำให้จดจำได้โดยง่ายอย่างยิ่ง… 

 

 

ดวงตาของจิ่งเหิงปัวมองเหยียลี่ว์ฉีโอบนางกระโจนข้ามกำแพงด้านหนึ่ง นางกำลังจะกัดฟันขูดนิ้วมือลงบนกำแพงสักหน่อย ขูดเล็บออกไปสักนิ้ว 

 

 

เหยียลี่ว์ฉียื่นมือโดยพลันรวบแขนที่ยื่นออกไปเพียงน้อยของนางไว้ กุมนิ้วมือของนางไว้ในฝ่ามืออย่างหลวมๆ ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ฝ่าบาทที่เคารพ พระนขาของพระองค์คือวัตถุที่สมบูรณ์พร้อมที่สุดบนโลกนี้ โปรดอย่าได้ทรงทำลายง่ายๆ เชียวนะ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวเกลียดตนเองที่ไม่ได้อาบยาพิษ! วางยา! ซ่อนมีดสั้น! วางกลไก! ไว้บนเล็บไม่อย่างนั้นจะจิ้มอันธพาลใจดำอย่างเขาให้เป็นโพรงเล็กๆ สักสิบโพรงแน่นอน! 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีโอบนางไว้แฉลบออกไปอย่างนุ่มนวล เบื้องหน้าคือรถม้าไม่สะดุดตาคันหนึ่ง เขาตรงเข้าไปในรถม้า รถม้าแล่นออกไปดังกึกกักโดยพลัน 

 

 

ในห้องโดยสารมืดอย่างยิ่งจนจิ่งเหิงปัวมองไม่ชัดไปชั่วครู่ พลันได้ยินเสียงแหบกระด้างเล็กน้อยเสียงหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงเจือความไม่พอใจว่า “เจ้ายังคงสนใจในสตรีนางนี้!” 

 

 

จิ่งเหิงปัวฟังวาจานี้แล้วรับรู้ถึงไอสังหาร 

 

 

“ข้านี้มิใช่ทำเพื่อท่านหรอกหรือ” เหยียลี่ว์ฉียิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าสนใจหรือไม่สนใจนางยังเอ่ยมิได้ทว่าข้ารู้ว่าท่านสนใจบุรุษชุดขาวผู้นั้นเป็นแน่ พอข้าลักพาตัวนางมา บุรุษผู้นั้นที่ท่านต้องการย่อมต้องไล่ตามมาแน่นอน” 

 

 

“งั้นหรือ?” เสียงสตรีมีความตื่นเต้นดีใจบางส่วนเอ่ยว่า “เช่นนั้นข้าต้องรีบเร่งจัดแต่งสถานที่ให้เขามาได้ทว่าไปมิได้” 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหัวเราะแผ่วเบาขึ้นมาเอ่ยว่า “นั่นเป็นเรื่องธรรมดา” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] ดอกจิ่นเทา ดอกไม้สีขาวทรงระฆังคว่ำชนิดหนึ่ง ชื่อวิทยาศาสตร์ Cassiope selaginoides