ตอนที่ 655 รักและทะนุถนอมเธอ (5) โดย Ink Stone_Romance
ตู้เสื้อผ้าของเธอใหญ่มากแต่เสื้อผ้าก็มีเยอะมากเช่นกัน จึงยากที่จะหาพื้นที่ว่างออกมาได้
ไป๋ซู่เย่จัดการง่ายๆ หาพื้นที่ว่างก่อนจะแขวนเสื้อเชิ้ตกับเสื้อสูทเขา เอามาตั้งหลายชุด คิดจะอยู่ที่นี่นานเท่าไรกัน?
ไป๋ซู่เย่มองเสื้อผ้าที่ไม่ใช่ของตัวเองในตู้เสื้อผ้านิ่ง ในใจวูบโหวง ความจริงเธอกลัวว่าภายในพื้นที่ของเธอจะเหลือร่องรอยเขาไว้มากเกินไป เธอกลัวว่าวันนั้นที่ระหว่างพวกเธอต้องจบลง ร่องรอยเหล่านั้นไม่ว่าลบอย่างไรก็จะลบไม่ออก
เก็บของเสร็จไป๋ซู่เย่พานนึกถึงเรื่องสำคัญอีกเรื่อง ห้องของเธอมีแค่เตียงเดียว
ถอนหายใจยกผ้าห่มจากตู้มาหลายผืน เดินไปที่ห้องหนังสือ
ในห้องหนังสือหน้าต่างสีเนื้อเปิดออก แสงอาทิตย์สาดส่องเข้ามาจากข้างนอกเป็นเส้นๆ สะท้อนพื้นวาวเป็นแสงเจิดจรัส เรียกให้คนมองรู้สึกอบอุ่นใจ
เย่เซียวนั่งเก้าอี้ตรงริมหน้าต่างๆ เงียบๆ สองขาไขว้กันโดยวางเอกสารไว้บนหน้าขา พลิกเป็นระยะๆ
เขาจดจ่อสมาธิต่อให้มีเสียงกุกกักตอนเปิดประตูก็ไม่เงยหน้ามองเธอสักแวบเดียว
ไป๋ซู่เย่ยืนอยู่ตรงประตูนานพักหนึ่ง คอยมองภาพนี้อย่างนึกโลภ ภาพเหล่านี้ยิ่งงดงามมากเท่าไรหัวใจก็ยิ่งเจ็บปวดจนยากจะเอื้อนเอ่ยมากเท่านั้น
เธอไม่ได้ส่งเสียงรบกวนเขาแค่วางผ้าห่มหลายผืนในแขนไว้ตรงมุมห้อง แกะหมอนใบใหม่สวมปลอกหมอนอย่างคล่องแคล่ว
ในที่สุดเย่เซียวก็เชยตาขึ้นมองเธออยู่ครู่หนึ่ง แล้วเบนสายตาไปไว้บนเอกสารเหมือนเดิม “ทำไม? คืนนี้คุณคิดจะนอนที่นี่เหรอ?”
“นี่ให้คุณนอนต่างหาก” ไป๋ซู่เย่ตบผ้าห่มให้นุ่มลงหน่อย
“ปกติคุณมีแขกมา ก็ปฏิบัติแบบนี้กับแขกเหรอ?”
“คุณไม่เหมือนกัน”
“ไม่เหมือนตรงไหน?”
“แขกคนอื่นฉันเป็นคนเชิญมา คุณมาเองก็ต้องเจอแบบนี้แหละ ถ้าคุณคิดว่าไม่ไหว กลับไปนอนที่บ้านคุณได้เสมอ”
เย่เซียวไม่สนใจเธออีก ก้มทำงานตัวเองต่อไป ไป๋ซู่เย่จึงถือว่าเขาตกลงแล้ว
…………………………
จัดวางผ้าห่มเสร็จออกมาเป็นเวลาเกือบเที่ยงแล้ว ไป๋ซู่เย่เริ่มรู้สึกหิว พอเปิดตู้เย็น พบว่าข้างในนอกจากอาหารแช่เย็นก็ไม่มีอะไรเลย
เธอต้องออกไปข้างนอกสักหน่อยแล้วล่ะ
กลับไปเปลี่ยนชุดสำหรับออกไปข้างนอกในห้อง หยิบกุญแจเตรียมออกจากบ้าน
“ไปไหน?”
ไม่คิดว่าจะบังเอิญเจอเย่เซียวที่เปิดประตูออกมาพอดี
ทั้งคู่สบตากัน ไป๋ซู่เย่พูดเสียงเรียบ “ไปตลาด จะปล่อยให้หิวต่อคงไม่ได้”
“อืม”
เย่เซียวตอบกลับเธอคำเดียวแล้วเดินนำไปที่ประตู ไป๋ซู่เย่มองแผ่นหลังนั่นและกำลังชั่งใจว่าเขาหมายความว่าอย่างไร จึงเห็นว่าเขาเปลี่ยนรองเท้าตรงประตูก่อนแล้วหันกลับมามองเธอ “มัวยืนนิ่งทำไม นี่เที่ยงแล้วนะ”
ไป๋ซู่เย่ถอนหายใจ เดินตามไป “ความจริงคุณไม่ต้องไปกับฉันก็ได้”
เย่เซียวมองเธอที่กำลังเปลี่ยนรองเท้าด้วยสีหน้าเย็นชา “ไป๋ซู่เย่ ดูเหมือนว่าคุณจะรังเกียจที่จะอยู่กับผมมากจริงๆ”
เธอไม่ตอบ
เย่เซียวพูดต่อ “ผมก็เหมือนคุณ รังเกียจที่จะอยู่ในพื้นที่เดียวกับคุณมาก”
“งั้นคุณยังจะอยู่ห้องฉันอีกเหรอ? ‘รังเกียจ’ ตามความหมายของคุณเย่เซียวนี่ช่างแปลกแยกเสียจริง” เธอลุกขึ้นยืน
เย่เซียวพบว่าปากของผู้หญิงคนนี้กลับยังคมเหมือนสิบปีก่อนไม่มีผิด มือใหญ่ของเขาอ้อมไปหลังเอวเธอ คว้าจับหมัดเข้าตรงเอวนุ่มออกแรงเพียงนิดก็ทำให้ตัวเธอแนบกับตัวเองได้ กลิ่นอายรุนแรงและเรี่ยวแรงของชายหนุ่มล้วนทำให้เธอหายใจผิดจังหวะได้ เธอเผลอเอนตัวถอยหลังหน่อยๆ แต่สำหรับเขาแล้วแรงของเธอไม่ได้ช่วยอะไรได้เลย
“เพื่อสามสิบวันของคุณ ทำให้ผมต้องเสียใบสั่งซื้อจากซ่งกั๋วเหยาจำนวนไม่น้อย ฉะนั้นต่อให้รังเกียจคุณมากแค่ไหนก็จะปล่อยให้วันเวลาพวกนี้สูญเปล่าไม่ได้” เย่เซียวแววตาเรียบนิ่งเย็นชา “อีกอย่างไม่อยู่กับคุณแล้วจะเห็นใบหน้าน่าเกลียดภายใต้หน้ากากจอมปลอมของคุณชัดๆ ได้ยังไง?”
หัวใจไป๋ซู่เย่เจ็บแปลบเบาๆ
แต่ความรู้สึกอย่างนั้นกลับไม่ได้แผ่ซ่านไปทั้วใจ เธอยิ้มจางๆ “ยังเหลืออีกสิบกว่าวัน คุณค่อยๆ ดูก็ได้ หวังว่าตอนถอดหน้ากากออกจะไม่น่าเกลียดจนทำให้คุณตกใจ”
เย่เซียวแค่นหัวเราะทีแล้วผลักเธอออก จากนั้นเปิดประตูเดินนำออกไปล่วงหน้าโดยไม่พูดอะไร ทิ้งไว้แค่แผ่นหลังเยือกเย็นให้เธอ
เธอพรูลมหายใจออกมาหนักๆ หัวใจหนักอึ้งขึ้นอีกนิด สะบัดหน้าไล่ความรู้สึกเหล่านั้นออกไป ปิดประตูค่อยๆ เดินตามหลังเขา
ทั้งคู่เดินตามกันเข้าไปในลิฟต์
ตลาดห่างจากหมู่บ้านที่เธออาศัยไม่ไกล ทั้งสองคนเดินไปด้วยตัวเอง
ระหว่างทางเจอคุณย่าข้างบ้านที่เจอกันคราวก่อน ไป๋ซู่เย่ยิ้มทักอีกคนตั้งแต่ไกล “สวัสดีค่ะ”
ตอนเธอยิ้มช่างแตกต่างจากใบหน้าที่เย็นชาต่อเขาในวันปกตินัก คล้ายแสงอาทิตย์ที่ทะลุกลุ่มเมฆเพื่อให้ความอบอุ่น เย่เซียวยืนอยู่ข้างๆ มองใบหน้าหันข้างที่อมยิ้มของเธอจนเผลอสติหลุดลอย
“ซู่ซู่จ๊ะ หัวเป็นอะไรไป? ทำไมถึงมีผ้าพันแผลด้วยล่ะ?”
ไป๋ซู่เย่ลูบจับหัวตัวเองไปมาพลางหัวเราะ “ไม่เป็นไรค่ะ แค่แผลนิดหน่อย เดี๋ยวก็หาย”
“แผลนิดหน่อย? ทุกครั้งที่เธอมีแผลก็บอกว่าแผลนิดหน่อย หลายปีที่เธอมาอยู่ที่นี่ ฉันเห็นเธอเจ็บมาหลายครั้งแล้วนะ”
ไป๋ซู่เย่ยิ้มไม่ตอบ
เผลอหันกลับมาสบตาที่ปนด้วยความสงสัยของเย่เซียว เธอกดเสียงต่ำอธิบาย “คุณรู้ว่าลักษณะงานของฉันบางทีก็ต้องมีแผลบ้าง หลีกเลี่ยงไม่ได้”
เย่เซียวเม้มปากแน่นไม่ตอบรับ ไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนที่มีงานอันตรายขนาดนี้แล้วยังเป็นปกติได้!
“พ่อหนุ่ม เธอต้องดูแลแฟนให้ดีนะ ข้างนอกลมแรง มีแผลที่หัวก็พยายามอย่าออกมาเดินข้างนอก” คุณย่าพูดอยู่ๆ ก็โยงมาที่ตัวเขา
เย่เซียวไม่ใช่คนที่ถนัดต่อบทสนทนากับคนแปลกหน้า ต่อให้อีกฝ่ายเป็นมิตรและกระตือรือร้นมากเพียงใดเขาก็แกล้งแสดงท่าทีอ่อนโยนและใจดีไม่เป็น สักพักถึงเค้นเสียงจากปากได้ว่า ‘อืม’ ไป๋ซู่เย่ไม่ได้อธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเย่เซียวให้คุณย่าเพราะมันเป็นความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนจริงๆ
ตอนนี้ถือว่าอยู่บ้านเดียวกันได้แล้ว
แม้ว่า…
จะเหลืออีกแค่สิบกว่าวันเท่านั้น…
“หลายปีนี้ดูเหมือนว่าคุณจะบาดเจ็บมาไม่น้อย” ทั้งคู่เดินขนาบข้างกันไปตลาด เย่เซียวถามเธออย่างไม่ใส่ใจเหมือนชวนคุยเล่นๆ
เธอเองไม่ได้ปกปิดอะไร “เคยบาดเจ็บมาไม่กี่ครั้งมั้ง แต่มันจำเป็นก็ไม่มีอะไรให้ต้องโอดครวญ”
น้ำเสียงราบเรียบเหมือนลมผะแผ่ว
เข้มแข็งแต่ก็หัวรั้น ท่าทางที่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ยอมแพ้
ท่าทางแบบนี้ยิ่งเรียกให้เย่เซียวรู้สึกหงุดหงิด
เมื่อวานทั้งที่ตอนที่เธอเย็บแผล เจ็บมากขนาดนั้นแท้ๆ…
เขาแค่นเสียงพูดเย้ย “เมื่อก่อนตอนที่อยู่กับผม ไม่เห็นว่าที่แท้คุณจะเป็นคนทุ่มเทกับงานขนาดนี้ ตอนนั้นแค่แผลเล็กๆ น้อยๆ ก็…”
พูดถึงตรงนี้เขาหยุดชะงักเพียงเท่านั้น ไม่ได้พูดคำว่า ‘น้ำตา’ ออกมา
……………………………….