ราชันเร้นลับ 636 : “จอมเชือด”

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 636 : “จอมเชือด” โดย Ink Stone_Fantasy

พลเรือเอกดวงดาว แคทลียา ครุ่นคิดสักพักก่อนจะมอบคำตอบ

“สองทุ่มคืนนี้ ที่ท่าเรือหมายเลขหก”

ไม่เลว พร้อมเริ่มงานตลอดเวลา…

ไคลน์พยักหน้ารับ

“ตกลง”

เมื่อกล่าวจบ แสงจากลูกบอลคริสตัลเริ่มลดความสว่าง จนกระทั่งร่างในชุดคลุมสีดำทรงโบราณเลือนหายไปกับความมืด

ไคลน์หันหลังและเปิดประตู ถือลูกบอลคริสตัลที่กลายสภาพกลับไปเป็นลูกแก้วธรรมดาเดินออกจากห้อง

ชำเลืองหางตาเล็กน้อย ชายหนุ่มพบเจ้าของร้านที่กำลังยืนเอนหลังพิงกำแพงในสภาพเมามายสุดขีด จึงโยนลูกบอลคริสตัลไปหาอีกฝ่ายโดยไม่ประณีตบรรจง

เมื่อเห็นเจ้าของร้านรับไว้ได้อย่างทุลักทุเล มันเดินลงบันไดและออกจากร้านของชำด้วยย่างก้าวไม่เร่งรีบ

ด้านนอกผับระบำวาฬคลั่ง ไคลน์หยิบนาฬิกาพกสีทองออกมาเปิดฝาตรวจสอบ

ใกล้เที่ยงตรง ผับส่วนใหญ่เริ่มเปิดให้บริการ…

ไคลน์ขึ้นรถม้าเช่าและพูดกับคนขับเป็นภาษาฟุซัคว่า ‘ไปผับลาร์ดาล’ เป็นภาษาถิ่นซึ่งมีความหมายเดียวกับ ‘สนธยา’ ถือเป็นอีกหนึ่งจุดรวมตัวของนักผจญภัยบนเกาะการ์กัส

สำหรับไคลน์ ข้อมูลข่าวสารคือสิ่งสำคัญในการดำรงชีพบนท้องทะเล เบาะแสเพียงเล็กน้อยที่ไม่สำคัญอาจช่วยให้มันเอาชีวิตรอดได้ในภายภาคหน้า ดังนั้น ถึงแม้จะไม่ชอบการเข้าผับสักเท่าไร แต่เพื่อความอยู่รอดก็จำเป็นต้องทำ ซึ่งวิธีการก็ไม่ซับซ้อนอะไรนัก เพียงสั่งเบียร์กลิ่นข้าวสาลีมานั่งดื่มในมุมหนึ่งของเคาน์เตอร์ คอยจับประเด็นสนทนาของนักผจญภัยรอบตัวโดยไม่ปล่อยให้ตกหล่น รอฟังเรื่องราวน่าสนใจและการผจญภัยทางท้องทะเล

นอกจากนั้น ไคลน์ยังต้องการทราบว่ารอย·คิงที่ถูกคุมขังอยู่ในบ้านพักนายกเทศมนตรีบายัมเมื่อสองเดือนก่อน ปัจจุบันถูกช่วยเหลือออกมาแล้วหรือยัง

วิล·อัสติน ‘อสรพิษปรอท’ มิได้เข้าฝันชายหนุ่มนานแล้ว และ ‘สภาแห่งชะตา’ ริคคาร์ดก็มิได้ส่งข่าวผ่านทางผู้ส่งสารถึงไคลน์ เพื่อแจ้งความคืบหน้าเกี่ยวกับสมบัติวิเศษที่เน้นพลังโจมตีเป็นหลัก

ยี่สิบนาทีถัดมา รถม้าหยุดลงหน้าป้ายขนาดใหญ่ที่เขียนเป็นภาษาฟุซัคว่า ‘ลาร์ดาล’

ไคลน์มองเห็นผับปลายทางอยู่ตรงหน้า

มันหยิบธนบัตรสองซูลจ่ายให้กับคนขับตามความเคยชินซูลจ่ายให้กับคนขับตามความเคยชิน

แต่เมื่อเห็นคนขับรถม้าเผยสีหน้าแปลกประหลาด ชายหนุ่มเริ่มฉุกคิดได้ว่า :

ที่นี่เป็นต่างประเทศ เป็นอาณานิคมของจักรวรรดิฟุซัค พวกมันมีเงินตราเป็นของตัวเอง!

หน่วยเล็กสุดคือ ‘โควเพ็ก’ ถัดมาคือ ‘เงินฟุ’ และ ‘เหรียญทองโฮร์น’ โดยอัตราแลกเปลี่ยนระหว่างหน่วยจะเป็นแบบหนึ่งต่อสิบเสมอ ส่งผลให้คิดคำนวณได้ง่ายกว่าสกุลเงินของโลเอ็นที่ค่อนข้างซับซ้อน

ดันลืมแลกเปลี่ยนเป็นเงินโควเพ็กกับเงินฟุ… ของเก่าใช้หมดไปกับค่าที่พักและอาหารแล้ว…

ขณะไคลน์กำลังมองหาธนาคารเพื่อทำการแลกเปลี่ยน คนขับรถม้ารีบหยิบธนบัตรหนึ่งซูลจำนวนสองใบด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม ตรวจนับอย่างตั้งใจหลายรอบก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง

“ขอบคุณมาก! ขอบคุณสำหรับน้ำใจ!”

หือ… หมายความว่าสกุลเงินทองปอนด์ ซูล และเพนนียังมีค่าที่นี่? เป็นไปได้ เกาะการ์กัสอยู่ไม่ห่างจากเกาะทอสคาร์เตอร์กับโอลาวีมากนัก คงมีการแลกเปลี่ยนสินค้าอย่างต่อเนื่อง และคงมีนักผจญภัยชาวโลเอ็นที่ต้องการชมทัศนียภาพของทะเลวาฬขาวเดินทางแวะเวียนเข้ามา สกุลเงินของโลเอ็นจึงหมุนเวียนภายในเมืองนาสด้วย…

ดูเหมือนว่า ระบบเศรษฐกิจของโลเอ็นจะแข็งแกร่งกว่าฟุซัคมาก อาจมากกว่าที่เราคิดไว้ในตอนแรก ส่งผลให้ทองปอนด์แข็งค่ากว่าสกุลทองโฮร์นพอสมควร…

เดี๋ยวก่อน…

ขณะเตรียมเดินเข้าผับลาร์ดาล ไคลน์ฉุกคิดถึงความผิดปรกติเกี่ยวกับสีหน้าอันเบิกบานของคนขับเมื่อครู่

มันเพิ่งนึกขึ้นได้เมื่อสายว่า ค่าเงินหนึ่งทองปอนด์จะเทียบเท่ากับ 5.5 ทองโฮร์น!

หรือก็คือสองซูลเท่ากับ 5.5 เงินฟุ!

สำหรับเมืองสีขาวแห่งนี้ ค่าบริการรถม้าเช่าจะตกชั่วโมงละสี่เงินฟุ ถ้าไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงจะถูกปัดขึ้นเป็นหนึ่งชั่วโมง

ถึงว่าทำไมคนขับรถม้าต้องแสดงท่าทางดีใจขนาดนั้น…

ไคลน์รีบหันหลังกลับไปมอง และพบว่ารถม้าคันดังกล่าวหายไปจากการมองเห็นเรียบร้อย

ฟู่ว…

ชายหนุ่มพ่นลมหายใจพร้อมกับใช้มือกดหมวกลง ส่วนมืออีกข้างผลักเปิดประตูหน้าของผับลาร์ดาลที่มีน้ำหนักค่อนข้างมาก

สำหรับโลกใบปัจจุบัน ผับใกล้กับท่าเรือและย่านโรงงานมักขายอาหารกลางวันและค่ำ ส่งผลให้ส่วนใหญ่เปิดบริการตั้งแต่ก่อนสิบเอ็ดโมง โดยในช่วงเวลาดังกล่าว เหล่านักผจญภัยที่ว่างจะมารวมตัวกันหน้าเคาน์เตอร์บาร์ สั่งเครื่องดื่มพร้อมกับอาหารจำพวกปลารมควัน ซุปน้ำมัน ขนมปัง และกินอย่างเอร็ดอร่อย

หือ… ดื่มแลงติร้อนแรงกับเนโพสกันตั้งแต่เที่ยงวันเลยหรือ… คิดจะไม่พักตับบ้างรึไง… เป็นอีกหนึ่งวัฒนธรรมของฟุซัคที่เราจะไม่ทำตามโดยเด็ดขาด…

ไคลน์พึมพำพลางเดินไปทางเคาน์เตอร์บาร์โดยปราศจากอารมณ์บนใบหน้า เลือกนั่งลงตรงมุมหนึ่งและทำการเคาะแผ่นไม้กระดาน

“ขนมปังปิ้งสองแผ่นพร้อมไส้กรอก เนื้อวาฬรมควันหนึ่งจาน ซุปผักข้นหนึ่งถ้วย และเบียร์เกราสหนึ่งแก้ว”

เบียร์เกราสได้รับความนิยมอย่างมากทางแถบชายฝั่งตะวันออกของฟุซัค เช่นเดียวกันกับบนเกาะโซเนียและหมู่เกาะการ์กัส

“หน้าใหม่?” บาร์เทนเดอร์เงยหน้ามองไคลน์ “สี่เงินฟุกับหกโควเพ็ก”

ถ้าไม่ดื่มเหล้าจะถือเป็นพวกหน้าใหม่?

ไคลน์มิได้ใส่ใจกับถ้อยคำไร้สาระของอีกฝ่ายมากนัก เพียงยื่นธนบัตรหนึ่งซูลไปสองใบ

ดังที่กล่าวไปข้างต้น มูลค่าของสองซูลเท่ากับ 5.5 เงินฟุ หรือเทียบเท่าห้าเงินฟุ กับอีกห้าโควเพ็ก

เมื่อพิจารณาจากอุปนิสัยส่วนตัวของเกอร์มัน·สแปร์โรว์ ไคลน์ตัดสินใจไม่รอเงินทอนและถือว่านั่นคือทิป

เหนือสิ่งอื่นใด ด้วยปริมาณอาหารข้างต้น หากเป็นผับของกรุงเบ็คลันด์จะมีราคาตกประมาณสองซูลอยู่แล้ว

หลังจากได้รับทิปจำนวนหนึ่ง บาร์เทนเดอร์เลิกพล่ามและรีบรินเบียร์ให้หนึ่งแก้ว จากนั้นก็ดันมาวางด้านหน้าไคลน์

สีของเบียร์ชนิดนี้จะเข้มกว่าปรกติ แถมยังมีฟองมาก รสสัมผัสแรกที่เข้าปากคือความรู้สึกคล้ายลำคอถูกแผดเผา หากกลั้วไปสักพักจะเริ่มสัมผัสถึงรสหวานฉ่ำซึ่งกระตุ้นให้เกิดความกระหาย แต่ในทางกลับกัน ปริมาณแอลกอฮอล์กลับสูงจนไคลน์นึกสงสัยว่า ทางร้านแอบใส่เหล้าอย่างอื่นผสมไปด้วยหรือไม่

ขณะกำลังรออาหารเสิร์ฟ ไคลน์จิบเบียร์อย่างรื่นรมย์ คอยเงี่ยหูฟังบทสนทนาของนักผจญภัยรอบตัว

เรื่องราวส่วนใหญ่จะหนีไม่พ้นทำนอง : ใครบางคนโชคดีถูกเงินหล่นทับ ใครบางคนถูกโจรสลัดฆ่าตาย ใครบางคนสังหารกัปตันโจรสลัดแต่ไม่นำค่าหัวไปขึ้นเงิน เลือกจะกลายเป็นกัปตันโจรสลัดคนใหม่ด้วยลูกเรือของเหยื่อ ใครบางคนที่แอบมีลูกลับๆ กับหญิงชาวนาส ใครบางคนที่มีลีลาบนเตียงห่วงแตกจนโสเภณีในช่องแอบนินทาลับหลัง

ขณะซุปผักข้นสูตรพิเศษของการ์กัสซึ่งทำจากหัวผักกาด หอมใหญ่ กะหล่ำปลี แคร์รอต ปลา และครีมถูกยกมาวางตรงหน้า ไคลน์เริ่มได้ยินบทสนทนาที่น่าสนใจ

นักผจญภัยคนหนึ่งหรี่เสียงพูดกับเพื่อนในวงเหล้าของตนว่า :

“พวกนายได้ยินข่าวใหม่รึยัง? ถัดไปทางตะวันออกของการ์กัส ใต้ทะเลที่นั่นมีมรดกของยุคสมัยที่สี่ซ่อนอยู่!”

“ไม่จริงน่า ใครเป็นคนพบ?” พวกพ้องซักถามด้วยน้ำเสียงประหลาดใจเจือความอยากรู้อยากเห็น

นักผจญภัยกวาดตามองรอบตัวและเล่าออกไปตามธรรมชาติ

“แกเร็ธเป็นคนไปเจอมา! พวกนายคงรู้อยู่แล้วว่าเจ้านั่นเป็นนักเดินเรือที่ดำน้ำได้เก่งกาจ ในวันหนึ่งขณะแกเร็ธกำลังเมาหัวราน้ำ ลมพายุได้พัดมันตกจากเรือและจมลงก้นทะเลลึก ช่วยให้เจ้านั่นพบกับซากอาคารที่สร้างจากโลหะเข้าโดยบังเอิญ! เป็นอาคารโลหะซึ่งเกิดจากฝีมือของมนุษย์ไม่ผิดแน่!”

“แล้วยังไงต่อ” พวกพ้องซักถาม

นักผจญภัยหัวเราะในลำคอ

“แกเร็ธตัดสินใจดำสำรวจซากอาคารดังกล่าวจนพบบ่อน้ำร้างขนาดใหญ่ที่ก้นทะเล แม้ในบ่อจะเต็มไปด้วยน้ำทะเล แต่กลับยังมอบความรู้สึกชวนขนหัวลุกเพียงได้มองลงไป… โอ้พระองค์วายุสลาตัน! ปลายทางของบ่อน้ำนั่นต้องเป็นแกนโลกแน่! แกเร็ธเล่าว่า มันได้ยินเสียงใครบางคนกำลังเรียกหาจากด้านล่าง นั่นยิ่งทำให้มันไม่กล้าสำรวจต่อ รีบร้อนว่ายขึ้นผิวน้ำอย่างลนลาน”

บ่อน้ำร้างขนาดใหญ่ใต้ทะเล… แรงดึงดูดประหลาดพร้อมกับเสียงเรียก… อาจไม่ใช่แค่ยุคสมัยที่สี่ แต่ย้อนไปไกลถึงยุคสมัยที่สามหรือสอง… เดอะซันน้อยเคยเล่าว่า ในช่วงยุคแห่งความมืด สัตว์ทะเลทรงพลังทั้งหมดยอมจำนนต่อราชาเอลฟ์·ซอนญาธริม ช่วยให้ท่านปกครองทะเลอย่างสมบูรณ์…

หวาน เค็ม และเปรี้ยวกำลังพอดี…

ไคลน์จิบซุปผักข้นพลางใช้ส้อมจิ้มเนื้อวาฬขาวรมควันยัดใส่ปาก

นักผจญภัยคนเดิมมิได้กล่าวถึงแกเร็ธต่อ เนื่องจากเรื่องราวมิได้เกี่ยวข้องกับทองคำแท่ง เครื่องเพชร หรือสมบัติวิเศษที่มีเนื้อหาน่าสนใจ

บทสนทนาเปลี่ยนไปเป็นการซุบซิบนินทา พวกมันเริ่มเล่าถึงนักผจญภัยที่กำลังขัดแย้งกัน เย้ยหยันเรื่องที่อีกฝ่ายแต่งงานกับหญิงสาวพื้นเมืองหน้าตาสะสวย แต่หลังจากผ่านไปราวสามปีห้าปี พวกหล่อนกลับอ้วนขึ้นมากและมีพละกำลังเทียบเท่าผู้วิเศษลำดับต่ำ

ในตอนสุดท้าย มันลงความเห็นตรงกันว่า สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะหญิงสาวชาวพื้นเมืองล้วนมีเลือดของคนยักษ์ไหลเวียนในร่างกายอย่างเจือจาง

จนกระทั่งเวลาผ่านไปนาน ไคลน์จัดการอาหารกลางวันเสร็จและหันมาสนใจกับแก้วเครื่องดื่ม ตลอดระยะเวลาดังกล่าวไม่มีข่าวที่น่าสนใจหลุดจากปากกลุ่มนักผจญภัยรอบตัว ความเปลี่ยนแปลงเพียงอย่างเดียวคือ แขกในร้านเริ่มเพิ่มจำนวนขึ้นทุกขณะ

ทันใดนั้น ประตูหนักหน้าร้านถูกเปิดกระแทกกำแพงจนเกิดเสียงดังโครม

ชายหนุ่มซึ่งสวมหมวกทรงสูงและมีเชื้อสายโลเอ็นวิ่งพรวดเข้ามาด้านใน จากนั้นก็ตะโกนถามอย่างประหม่า

“มีใครเป็นสมาชิกของสหภาพนักผจญภัยบ้างไหม…?”

ฉันเองสหาย… บิลต์ยังค้างการจ้างงานครั้งที่สามของฉันอยู่เลย…

ไคลน์พบว่าสุภาพบุรุษหนุ่มคนดังกล่าวคอยเหลียวหลังเป็นระยะอย่างกังวล คล้ายกับถูกใครบางคนตามล่าเอาชีวิต

โดยไม่รอให้อีกฝ่ายแจ้งความประสงค์หรือขอความช่วยเหลือ นักผจญภัยสามคนลุกยืนอย่างพร้อมเพรียงตามแต่ละจุดภายในร้าน มีคนหนึ่งเด่นสะดุดตาไคลน์เป็นพิเศษ สูงสองเมตรกว่า ไหล่กว้างและกล้ามเนื้อบึกบึน เส้นผมสีทองอ่อน ดวงตาน้ำเงินเข้ม

แข็งแกร่งสอดคล้องกับรูปลักษณ์…

คงมีลำดับพอตัวอยู่เหมือนกัน…

ไคลน์เบือนหน้ากลับ ตัดสินใจเป็นเพียงผู้ชมเงียบขรึมตามเดิม สายตาหันไปมองประตูหน้า

ไม่นานหลังจากนั้น บุรุษสวมเสื้อเชิ้ตลินินและแจ็คเก็ตน้ำตาลเดินเข้ามาในร้าน ส่วนสูงและรูปร่างสันทัด ริมฝีปากม่วงคล้ำ ดวงตาสีน้ำตาลคล้ายกับพยายามระงับจิตสังหาร แต่สุดท้ายก็ปกปิดไม่อยู่

นี่มัน…

ไคลน์เห็นภาพซ้อนทับกับใบประกาศจับ!

ผู้ช่วยกัปตันของราชาอมตะ·อาการิธ!

‘จอมเชือด’ จิลเซียส ค่าหัวเก้าพันห้าร้อยปอนด์!

โจรสลัดคนดัง…!

พลังวิญญาณของไคลน์เริ่มไหลเวียน ดวงตาเพ่งจ้องใบหน้าอีกฝ่ายโดยที่มือซ้ายลดต่ำลงตามสัญชาตญาณ เตรียมพร้อมตอบสนองต่อทุกเหตุการณ์ผิดปรกติที่อาจเกิดขึ้น

จิลเซียสจ้องชายกำยำสูงสองเมตรก่อนจะหันมามองไคลน์ ทันใดนั้น มันรีบหันหลังกลับและเดินออกจากบาร์ลาร์ดาลโดยปราศจากท่าทีลังเล

ตัดสินใจได้เด็ดขาดและระมัดระวังตัวมาก…

ไคลน์ขมวดคิ้วพลางเชื่อว่าตนมิได้เผลอปล่อยจิตสังหารออกไปแน่นอน และแววตาก็ยังถูกควบคุมด้วยพลังตัวตลกเพื่อมิให้แฝงความมุ่งร้ายจนเกินพอดี

จิลเซียสแค่กลัวชายร่างยักษ์ หรือจะมีประสาทสัมผัสเฉียบแหลมกว่านั้น? เหมือนกับพวกปีศาจที่สามารถหยั่งถึงอันตรายล่วงหน้า…

ไคลน์เร่งกระดกเบียร์จนหมดโดยไม่คิดร่วมวงสนทนากับสหภาพนักผจญภัย รีบตรงออกจากร้านและเดินมายังริมถนน

ตัวมันในตอนนี้มีเป้าหมายเพียงการตามหานางเงือก ไม่ใช่เวลามัวเพิ่มปัญหาจนการพัฒนาลำดับต้องเลื่อนออกไป

กวาดตามองไปรอบตัว เมื่อไม่พบร่องรอยของจอมเชือด·จิลเซียส ไคลน์รีบเดินทางกลับโรงแรมที่ตนพักทันที

เมืองเงินพิสุทธิ์ ภายในหอคอย

เป็นอีกครั้งที่เด็กหนุ่มเดอร์ริคถูกหัวหน้าสภาอาวุโส โคลิน·อีเลียด เรียกตัวเข้าพบ

มันยังจำได้แม่นยำ ย้อนกลับไปเมื่อราวเจ็ดสิบวันก่อน ตนถูกเกริ่นล่วงหน้าว่าจะมีภารกิจสำรวจภายในสองเดือน จึงเตรียมตัวเป็นอย่างดีเมื่อถูกเรียกเข้าพบ

……………………