บทที่ 411.2 เรื่องบางเรื่องจำเป็นต้องรู้

กระบี่จงมา! Sword of Coming

ตรงทางสายเล็กนอกลานบ้าน ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดผู้นั้นทะยานตัวเป็นรุ้งยาวเส้นหนึ่งหลบหนีไปทางทิศตะวันตกของภูเขาตงหัว เมื่อเห็นท่าไม่ดี แน่ใจแล้วว่าการสังหารใครสักคนเป็นเรื่องที่เพ้อฝันเกินตัว เขาก็ถึงกับตัดใจสละทิ้งได้แม้กระทั่งกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตของตัวเอง

ชุยตงซานหาวหวอด ลุกขึ้นยืน “ดีนะที่เหมาเสี่ยวตงไม่ได้อยู่ในสำนักศึกษา ไม่อย่างนั้นเห็นภาพต่อไปนี้ อริยะแห่งสำนักศึกษาอย่างเขาอาจอับอายถึงขั้นขุดดินเป็นหลุมแล้วฝังกลบตัวเองลงไปก็เป็นได้”

แถบริมขอบของฟ้าดินขนาดเล็ก ทางทิศตะวันตกของภูเขาตงหัวมีเทวรูปร่างทองสูงหลายสิบจั้งปรากฏขึ้นมา คือกายธรรมของอริยะลัทธิขงจื๊อท่านหนึ่งที่ตั้งบูชาไว้ในศาลบุ๋น

ผู้ฝึกกระบี่ตกใจรีบบินทะยานหนีไปทางทิศเหนือ

แต่ตรงนั้นก็มีกายธรรมร่างทองของอริยะอีกท่านหนึ่งโผล่ขึ้นมายืนอยู่ท่ามกลางฟ้าดิน

คงเป็นเพราะวันนี้ชุยตงซานอารมณ์ไม่ดี ไม่อยากเสียเวลาเล่นแมวไล่จับหนูอะไรกับผู้ฝึกกระบี่ ทิศตะวันออกและทิศใต้จึงมีเทวรูปอีกสององค์ปรากฏขึ้นพร้อมกัน

ผู้ฝึกกระบี่กัดฟัน พลันพุ่งเป็นเส้นตรงทะยานขึ้นสู่ม่านฟ้าของฟ้าดินแห่งนี้

บนยอดเขาของภูเขาตงหัวปรากฏเทวรูปที่สูงใหญ่ที่สุด เทวรูปนั้นเป็นชายชราลัทธิขงจื๊อที่มีหน้าตาของราชครูชุยฉานแห่งต้าหลี เขายื่นฝ่ามือขนาดใหญ่สีทองออกมาคว้าผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้น พอกำไว้แน่น ในฝ่ามือก็เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว ประหนึ่งมีสายฟ้าร้องคำรามอยู่ในฝ่ามือของเทพเซียน

เด็กหนุ่มชุดขาวคนหนึ่งยืนอยู่บนไหล่ของกายธรรมซิ่วหู่ผู้เฒ่า หน้าตาของเขางดงามประดุจหยกสลัก กำลังนวดคลึงใฝแดงที่อยู่กลางหว่างคิ้วของตัวเอง รอให้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นถูกปราณวิญญาณที่เปี่ยมล้นของภูเขาตงหัวเผาผลาญตบะไปทีละนิด

แน่นอนว่าหากตาแก่ผู้นั้นยินดีทุบหม้อข้าวจมเรือ ระเบิดโอสถทองและทารกก่อกำเนิดของตัวเอง ชุยตงซานก็ไม่คิดจะขัดขวาง ถึงอย่างไรสิ่งที่เสียหายไปก็มีแค่โชคชะตาบุ๋นและปราณวิญญาณของภูเขาตงหัวเท่านั้น

เพียงแต่ว่าชุยตงซานยังคงหวังว่าจะรีดไถเอาของรางวัลเล็กๆ น้อยๆ มาจากมือของผู้ฝึกตนก่อกำเนิดคนนี้ได้ ยกตัวอย่างเช่น…กระบี่บินแห่งชะตาชีวิตที่ถูกกักอยู่ในท้องของคราบร่างเซียนชั่วคราวเล่มนั้น

ชุยตงซานหันหน้าไปมองทางเรือนเล็ก

กวางขาวตัวนั้นคือสัตว์วิเศษที่อยู่ข้างกายจ้าวซื่อชายชราลัทธิขงจื๊อจริง เพียงแต่ว่าถูกยอดฝีมือร่ายเวทลับใส่

ส่วนอาจารย์ผู้เฒ่าที่ถูกกายธรรมบีบไว้ในฝ่ามือย่อมไม่ใช่จ้าวซื่อ

แม้ว่าจ้าวซื่อจะเป็นเจ้าขุนเขาของสำนักศึกษาแห่งหนึ่งในโลกมนุษย์ ทว่าตัวเขาเองกลับไม่มีพรสวรรค์ในการฝึกตน ความรู้ก็ไม่ถึงขั้นที่คนฟ้าสื่อสัมผัสถึงกัน วันใดวันหนึ่งเมื่อ ‘อ่านตำราจนถึงขั้นรู้ใจอริยะ’ ก็กลายเป็นถ้ำสวรรค์ขนาดเล็กได้ด้วยตัวเองอย่างกะทันหัน ดังนั้นอยู่ดีๆ จะเปลี่ยนมาเป็นผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดที่หายากได้อย่างไร ในแจกันสมบัติทวีป ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดนั้นมีน้อยจนนับนิ้วได้

เซียนดินน่าสงสารที่ลอบสังหารไม่สำเร็จผู้นี้ ต่อให้ชุยตงซานใช้ก้นคิด ใช้หัวเข่าเดาก็ยังรู้ว่าอีกฝ่ายต้องไม่ใช่ผู้ฝึกตนของแจกันสมบัติทวีป

มีความเป็นไปได้เกินครึ่งว่าจะเป็นนักรบเดนตายที่ติดตามอยู่ข้างกาย ‘จางไต้’ จ้วงหยวนคนใหม่ของต้าสุย

ลูกศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักจ้งเหิง ใช้ตัวตนลับหลากหลายรูปแบบท่องไปทั่วใต้หล้า ข้างกายมักจะมีผู้ฝึกตนใหญ่หนึ่งถึงสองคนทำหน้าที่เป็นนักรบเดนตายให้เสมอ

ชุยตงซานนั่งขัดสมาธิ จุ๊ปากพูด “ถือว่าเจ้าหนีได้เร็ว ยิงธนูดอกเดียวได้นกสองตัว นับว่าเป็นแผนการที่ดี สกุลซ่งต้าหลีกับสกุลเกาต้าสุยล้วนถูกเจ้าเล่นงานไปพร้อมๆ กัน มีมาดของข้าในอดีตอยู่บ้างจริงๆ พวกเราควรมาพูดคุยกันดีๆ นะ เจ้าคิดดูสิ อีกนิดเดียวเจ้าก็เกือบจะทำให้งานใหญ่ของข้าพังแล้ว ไม่ยัดจิตวิญญาณของเจ้าเข้าไปในเนื้อหนังมังสาของสตรี ข้าก็ไม่ควรใช้แซ่เดียวกับเจ้าหรอกหรือ? อืม ยังต้องเป็นร่างของคุณหนูในห้องหอด้วย! ให้เจ้าได้รู้ว่าคำกล่าวที่ว่าบุรุษหลั่งเลือดไม่หลั่งน้ำตา อันที่จริงยังไม่นับว่าเป็นวีรบุรุษชายชาตรีอะไร”

มองดูเหมือนชุยตงซานเอาแต่พร่ำบ่น ทว่าแท้จริงแล้วสมาธิครึ่งหนึ่งของเขาอยู่ในฝ่ามือของกายธรรม ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นอยู่ที่ท้องของสือโหรว

สำหรับนักรบเดนตายที่ปรากฏตัวเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องใช้ทัณฑ์ทรมานอะไร เพราะบนร่างของพวกเขาไม่มีทางพกวัตถุใดๆ ที่จะเปิดเผยเบาะแสความลับของตัวเองมาด้วย

ชุยตงซานถึงได้ต้องจับตามองกระบี่บินหลีหว่อเล่มนั้นอย่างระมัดระวังไม่ใช่หรือ?

แม้ว่าเขาจะมีสมบัติอาคมนับไม่ถ้วน แต่ใต้หล้านี้มีใครบ้างที่รังเกียจว่ามีเงินมากเกินไป?

ต่อให้ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นไม่สามารถควบคุมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตได้ แต่พลังการต่อสู้ก็ยังไม่ธรรมดาอย่างถึงที่สุด เขาใช้จิตหยางกายนอกกายทำลายหมัดของกายธรรมร่างทองจนเละเทะ จากนั้นก็ปล่อยจิตหยินออกจากร่าง ทั้งสามฝ่ายแยกย้ายกันหนีไปคนละทิศทาง

ร่างจริงที่บาดเจ็บสาหัส มองดูเหมือนหนีได้ช้าที่สุด อยู่ดีๆ ก็เหมือนสายฟ้าที่วาดตัวเป็นวงโค้งตกลงมายังเรือนเล็กที่อยู่เบื้องล่างอย่างเร่งร้อน ยังคงไม่ถอดใจเรื่องลอบสังหาร

ชุยตงซานที่ยังคงนั่งอยู่บนไหล่ของกายธรรมถอนหายใจ “คิดจะแข่งเรื่องการวางแผนชั่วร้ายกับข้า หลานคนดีอย่างเจ้าได้พบบรรพบุรุษแล้วก็ควรต้องโขกหัวคำนับสิ”

จิตหยินที่ออกจากร่างถูกกายธรรมร่างทองอริยะลัทธิขงจื๊อที่อยู่ฝั่งตรงข้ามประกบสิบนิ้วตบจนแหลกลาญ ปราณวิญญาณที่กระเพื่อมแผ่ออกมา ถือเป็นการชดเชยให้แก่ภูเขาตงหัว

จิตหยางกายนอกกายก็ถูกกายธรรมร่างทองอริยะลัทธิขงจื๊ออีกตนหนึ่งตบเข้าไปในทะเลสาบของสำนักศึกษา กายธรรมยกเท้ากระทืบตามไป คลื่นยักษ์โถมตัวสาดกระเซ็น กายนอกกายถูกกระทืบจนแหลกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย

ก่อกำเนิดเฒ่าที่จิตวิญญาณไม่ครบถ้วน อีกทั้งยังไม่สามารถควบคุมกระบี่บินได้เตรียมจะระเบิดโอสถทอง หมายจะลากให้เรือนเล็กทั้งหลังต้องพินาศไปพร้อมกันด้วย

เพียงแต่ว่าร่างของผู้เฒ่าพลันแข็งทื่อ

‘จินชิว’ กระบี่บินของเซียนที่ชุยตงซานได้มาเพราะชนะการเล่นหมากล้อมกับคนผู้หนึ่งในปีนั้นปักตรึงลงไปในโอสถทองของผู้เฒ่าแล้วปั่นป่วนมันจนเละเทะ

จากนั้นบนร่างของผู้เฒ่าก็ถูกอักษรโบราณแปลกประหลาดที่เป็นสีดำเหลือบทอง ‘ไต่คลานยั่วเยี้ย’ เต็มร่าง ไม่เหมือนกับตัวอักษรสีทองของปราณแห่งความเที่ยงธรรมยามที่เหมาเสี่ยวตงเป็นผู้พิทักษ์ฟ้าดินขนาดเล็กแห่งนี้สักเท่าไหร่

ชุยตงซานมายืนอยู่ตรงหน้า ‘จ้าวซื่อ’ ผู้นี้ ยกมือปาดไปบนใบหน้าผู้เฒ่า ปลด ‘หน้ากาก’ ชั้นเยี่ยมที่สร้างขึ้นจากวิชาลับของสำนักโม่ซึ่งตอนนี้โชกไปด้วยเลือด จากนั้นค่อยใช้ปลายนิ้วกรีดเนื้อหนังชั้นที่เดิมทีเป็นใบหน้าดั้งเดิมของผู้เฒ่า สะบัดสองสามทีสลัดเอาเลือดและเศษชิ้นเนื้อทิ้งไป ก่อนจะเก็บไว้ในชายแขนเสื้อ เงยหน้ามอง ‘ใบหน้า’ น่ากลัวที่เห็นกระดูกขาวโพลน กล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบใจนะที่ช่วยให้ข้าได้กำไรก้อนเล็กๆ”

ผู้เฒ่าไร้คำพูดตอบโต้ ไม่เพียงแต่กล้ามเนื้อทั่วร่างปริแตกเหมือนรอยแตกบนผิวเครื่องกระเบื้อง แม้แต่ดวงตาก็เต็มไปด้วยรอยแตก สภาพเละเทะไม่เหลือชิ้นดี มีเพียงส่วนลึกในหัวใจของผู้เฒ่าที่สั่นสะเทือนรุนแรง เปี่ยมไปด้วยความเคียดแค้นและไม่ยินยอม

ชุยตงซานถลึงตาใส่ เดินไปข้างหน้าหนึ่งก้าว จ้องตากับอีกฝ่ายเขม็ง “ทำไม คิดจะใช้สายตาสังหารข้ารึ? มาๆๆ ข้าให้โอกาสเจ้า!”

ครู่หนึ่งต่อมาชุยตงซานก็ดีดนิ้วลงบนหน้าผากของอีกฝ่าย ร่างของผู้เฒ่าที่อันที่จริงพลังชีวิตขาดสะบั้นหมดสิ้นแล้วปลิวกระเด็นออกไป แล้วแหลกสลายกลายเป็นฝนเลือดอยู่กลางอากาศ

ชุยตงซานยืนอยู่ในลาน เดินไปทางห้องหลัก ระหว่างนั้นเดินผ่านเซี่ยเซี่ยที่นอนพังพาบหมดสติอยู่กับพื้นก็กล่าวอย่างมีโทสะว่า “เจ้าคนไม่ได้เรื่อง”

แล้วก็เตะเซี่ยเซี่ยปลิวไปกระแทกกำแพง

อวี๋ลู่ที่ยืนอยู่ที่เดิมได้แต่ยิ้มจืดชืด

ชุยตงซานเดินสวนไหล่กับเขาแล้วก็พูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ข้าไม่อยากพูดกับเจ้า”

ขยับเข้าไปใกล้ขั้นบันได

ชุยตงซานตบศีรษะตัวเอง นึกขึ้นมาได้ว่าอาจารย์ของตนใกล้จะกลับมาถึงพร้อมเหมาเสี่ยวตงแล้ว จึงรีบยื่นมือไปคว้าร่างของเซี่ยเซี่ยเอามา ‘วาง’ ไว้ตรงระเบียงไม้ไผ่มรกต ชุยตงซานยังวิ่งเข้าไปนั่งยองอยู่ตรงหน้านาง ยื่นมือลูบๆ คลำๆ บนใบหน้าของนาง

สุดท้ายจึงกลายเป็นเซี่ยเซี่ยที่นั่งพร้อมอมยิ้มบางๆ

ชุยตงซานมองดูแล้วก็ค่อนข้างจะพอใจกับฝีมือของตัวเอง เพียงแต่ยิ่งมองก็ยิ่งโมโห เงื้อมือตบฉาดลงบนใบหน้าของเซี่ยเซี่ย ปลุกให้ฟื้นตื่น ไม่รอให้เซี่ยเซี่ยที่ยังมึนงงพูดอะไรก็ตบนางให้สลบไปอีกครั้ง “ยังคงเป็นใบหน้ายิ้มเมื่อครู่นี้ที่มองแล้วสบายตามากกว่า”

จากนั้นก็ง่วนจัดท่าทางให้อีกฝ่าย

เซี่ยเซี่ยจึงยังคงอยู่ในท่านั่งอมยิ้มน้อยๆ

ชุยตงซานตรวจจนแน่ใจก่อนว่า กระบี่บินหลีหว่อที่อยู่ในหน้าท้องของสือโหรวซึ่งสลบไปกำลังส่งเสียงร้องอย่างเศร้าสลด แต่ไม่มีความเป็นไปได้ว่าจะหลุดพ้นจากกรงขังมาชั่วคราว

เขาถึงได้ชูมือสองข้างขึ้นสูงแล้วตบหนักๆ

สลายฟ้าดินขนาดเล็กของสำนักศึกษาภูเขาตงหัวทิ้ง

จูเหลี่ยนย้อนกลับมาที่เรือน นั่งลงข้างโต๊ะหิน ก้มหน้ามองท้องด้วยความรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ผู้ฝึกกระบี่ก่อกำเนิดคนนั้นไม่กล้าลงมือเต็มที่นัก บาดแผลของตนจึงไม่สาหัสมากพอ ทั้งสองฝ่ายต่อสู้กันได้ไม่เต็มคราบ

ชุยตงซานวิ่งตุปัดตุเป๋เข้าไปในห้องหลัก ไปเคาะประตูห้องหนังสือ พูดประจบว่า “เป่าผิงน้อย เดาดูสิว่าข้าคือใคร?”

……

การลอบสังหารที่อันตรายซึ่งอย่าว่าแต่พวกไช่เฟิง เหมียวเริ่น แม้แต่ฮ่องเต้ต้าสุยเองก็ยังถูกปิดหูปิดตา ก็ได้ปิดฉลากลงเช่นนี้

หลังจากเหมาเสี่ยวตงใช้เสียงในใจบอกกล่าวแก่รองเจ้าขุนเขาและอาจารย์ผู้เฒ่าทั้งหลาย ตลอดทั้งสำนักศึกษาก็ทำการเก็บกวาดซากเละเทะอย่างเป็นระเบียบ

ตรงหน้าประตูสำนักศึกษา เหมาเสี่ยวตงกำลังเดินขึ้นเนินเขามาพร้อมกับเฉินผิงอัน

เหมาเสี่ยวตงยิ้มบางๆ กล่าวว่า “สักวันหนึ่งเจ้าเองก็จะสามารถปกป้องคนข้างกายที่เจ้าห่วงใยไว้ในเรือนหลังหนึ่ง ต่อให้ด้านนอกจะมีลมพัดฝนกระหน่ำ ภูเขาและแม่น้ำแปรเปลี่ยน ก็ล้วนไม่อาจทำร้ายพวกเขาได้แม้แต่นิดเดียว แน่นอนว่าเมื่อเติบใหญ่แล้ว เดินออกไปจากเรือนแห่งนั้น เว้นเสียจากว่าเจอคนที่ไร้เหตุผลเกินไป ไม่อย่างนั้นอะไรที่พวกเด็กรุ่นหลังควรต้องเสียเปรียบก็ปล่อยให้พวกเด็กๆ ได้สัมผัสด้วยตัวเองไปเถอะ ไอ้ที่ควรร้องไห้ก็ร้องไห้ ไอ้ที่ควรหลั่งเลือดก็หลั่งเลือด หาไม่แล้วต่อให้จะอายุมากแค่ไหน ก็เหมือนว่าไม่เคยเติบโตเลยตลอดชีวิต”

เหมาเสี่ยวตงพูดอย่างปลงอนิจจัง “ผู้ที่เป็นบิดามารดา ผู้ที่เป็นอาจารย์ ล้วนไม่เคยดูแลปกป้องใครไปได้ตลอดชีวิต ปรมาจารย์มหาปราชญ์ที่มีความรู้สูงส่งถึงเพียงนั้นสามารถดูแลสิ่งมีชีวิตทั้งหมดในใต้หล้าไพศาลได้หรือ? ทำไม่ได้หรอก”

เฉินผิงอันพยักหน้ารับ “คือเหตุผลนี้”

พอเหมาเสี่ยวตงคิดว่าอีกเดี๋ยวจะต้องได้เจอกับเจ้าคนแซ่ชุยผู้นั้น โทสะก็ไม่รู้ว่าผุดพุ่งมาจากไหน

เหมาเสี่ยวตงเงียบงันไปนาน ขณะที่เดินอยู่บนเส้นทางนอกเรือนหลังเล็กที่พังราบก็พลันเอ่ยคำพูดที่ทำให้เฉินผิงอันประหลาดใจอย่างมาก

“ข้ารู้สึกว่าสถานที่ที่ไม่มีควรเกิดปัญหามากที่สุดในใต้หล้า ไม่ใช่บนบัลลังก์มังกร แม้แต่บนภูเขาก็ยังไม่ใช่ แต่เป็นในห้องเรียนน้อยใหญ่ของบนโลก หากเกิดปัญหาขึ้นที่นี่ก็ยากที่จะช่วยเหลือได้”

“พวกซิ่วไฉยากจน ไร้ตำแหน่งไร้ชื่อเสียง อาจารย์สอนหนังสือทั้งหลายที่อาจจะได้ยินเสียงหมาเห่าเสียงไก่ขันทุกวันก็คือผู้ตัดสินอนาคตของหนึ่งแคว้น”

“ชุยตงซาน หรือควรจะเรียกว่าชุยฉาน ไม่ว่าจะอยู่เบื้องหน้าหรือเบื้องหลังของราชวงศ์ต้าหลี เขาก็ได้ทำเรื่องที่ร้ายกาจ หรือไม่ก็เรื่องสกปรกมากมายนับไม่ถ้วน ในความเห็นของข้า มีเพียงเรื่องเดียวที่แม้แต่ปรมาจารย์มหาปราชญ์ก็ไม่อาจหาข้อตำหนิได้

ราชครูชุยฉานที่อยู่ในราชวงศ์ต้าหลีเชิดชูหลักการ ‘ความเจริญรุ่งเรืองของบ้านเมืองต้องมาจากการเคารพครูบาอาจารย์’ ด้วยเรื่องนี้เขายังเสนอนโยบายมากมายที่ให้ปฏิบัติต่ออาจารย์ผู้สอนหนังสือให้ดี อีกทั้งยังจับตามองขุนนางท้องถิ่นด้วยตัวเอง รวมเรื่องนี้ไว้ในหัวข้อการประเมินเพื่อพิจารณาการเลื่อนขั้นของขุนนางในท้องถิ่น ราชครู ราชครู นี่ต่างหากถึงจะเป็นสิ่งที่ราชครูสมควรมี”

ต้าสุยพ่ายแพ้ที่เหล่าบัณฑิตส่วนใหญ่มีเพียงการศึกษาค้นคว้าที่เป็นทฤษฎี แต่คนเถื่อนต้าหลี ไม่เพียงแต่มีกองกำลังทหารแข็งแกร่ง ยังชนะที่เหล่าบัณฑิตลงมือปฏิบัติจริงอย่างสุดความสามารถ

สุดท้ายเหมาเสี่ยวตงหยุดเดิน กล่าวว่า “แม้ว่าอาจทำให้ตัวเองดูคล้ายคนถ่อย แต่ข้าก็ยังต้องพูดสักหน่อย ตอนนี้มหามรรคาของชุยตงซานถูกผูกมัดไว้กับเจ้า แต่บนโลกใบนี้มีใครบ้างที่จะเล่นงานตัวเอง? สืบสาวราวเรื่องกันถึงแก่นแล้ว เขาก็ยังคงสนิทสนมกับชุยฉานมากว่า แม้ว่าในอนาคตคนทั้งสองอาจไม่รวมกันเป็นหนึ่งเสมอไป แต่เจ้าก็ต้องระวังไว้ เจ้าตะพาบเฒ่าและเจ้าลูกกระต่ายคู่นี้มีแต่ความคิดชั่วร้ายอยู่เต็มหัว พวกเขาเป็นคนประเภทวันใดไม่วางแผนเล่นงานคนอื่นก็จะครั่นเนื้อครั่นตัว”

ตรงหน้าประตูเรือนเล็ก ชุยตงซานที่ตรงหน้าผากยังมีรอยตราประทับสีแดงเต้นผางผรุสวาท “เหมาเสี่ยวตง ข้าผู้อาวุโสไปขุดหลุมศพบรรพบุรุษของเจ้าหรือไปล่อลวงเมียเจ้ามากันแน่? เจ้าถึงได้ยุแยงให้ความสัมพันธ์ระหว่างอาจารย์และศิษย์ของพวกเราแตกร้าวเช่นนี้?!”

เหมาเสี่ยวตงโบกชายแขนเสื้อหนึ่งครั้ง บังคับเอาแผ่นหยกที่ชุยตงซานซ่อนไว้กลับมาอยู่ในมือของตัวเอง “ใช้สิ่งของทุกอย่างให้คุ้มค่าที่สุด เจ้าตามข้าและเฉินผิงอันไปทบทวนสถานการณ์หมากกระดานนี้ที่ห้องหนังสือ เรื่องราวไม่มีทางยุติลงเพียงแค่นี้แน่”

ชุยตงซานเตรียมจะแผดเสียงด่าเหมาเสี่ยวตง นาทีถัดมาคนทั้งสามก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องหนังสือเสียแล้ว

ทั้งสามคนนั่งลง

ชุยตงซานไม่ต่อปากต่อคำอีก นี่ทำให้เหมาเสี่ยวตงประหลาดใจเล็กน้อย

เหมาเสี่ยวตงเล่าเหตุการณ์การลอบฆ่าตอนที่พวกเขาไปเยือนศาลบุ๋นคร่าวๆ หนึ่งรอบ

เฉินผิงอันคอยเสริมช่องโหว่ที่อีกฝ่ายเล่าตกหล่นไปเป็นระยะ

หลังจากฟังจบ ชุยตงซานก็จ้องเป๋งมองเหมาเสี่ยวตง

เหมาเสี่ยวตงถลึงตาใส่ “ควบคุมตาสุนัขของเจ้าไว้ให้ดี”

ชุยตงซานถอนหายใจหนึ่งที “หยวนเกาเฟิงก็บอกคำตอบทั้งหมดแก่เจ้าแล้วไม่ใช่หรือ? เพียงแต่หูตาของเจ้าเหมาเสี่ยวตงคับแคบเกินไป เทียบกับเว่ยเซี่ยนผู้นั้นก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันสักเท่าไหร่ หยวนเกาเฟิงอุตส่าห์หวังดี แถมยังใจกล้า ขาดก็แค่ไม่ได้บอกความจริงกับเจ้าอย่างตรงไปตรงมาเท่านั้น นี่เจ้ายังฟังไม่ออกอีกหรือ? หยวนเกาเฟิงผู้นั้นด่าเจ้าว่าอย่างไรแล้วนะ ต่อรองราคา ลูกไม้สำนักการค้า ทำลายภาพลักษณ์!”

—–