“แน่นอนว่าเป็นเขา” เจ๋อซิ่วมองพวกเขาราวกับมองคนปัญญาอ่อน
ก่อนที่จะเข้ามาในจิงตู เขายังไม่ได้บรรลุถึงขั้นทะลวงอเวจี ต่อให้สายเลือดของเผ่าหมาป่ามีพรสวรรค์เป็นพิเศษ ก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะผู้แข็งแกร่งในขั้นรวบรวมดวงดาวไปได้
เขาพูดขึ้นมาอีก “แต่ว่าถ้าหากสู้กับเขาในตอนนี้ ข้ามีความมั่นใจ”
ถังซานสือลิ่วถามขึ้นอย่างสงสัย “เจ้ามีความมั่นใจว่าจะเอาชนะเขาได้หรือ”
เจ๋อซิ่วพูดขึ้น “ไม่ ข้ามีความมั่นใจว่าจะตายไปพร้อมกับเขา”
ในชั่วพริบตาห้องก็เงียบสงัด ถังซานสือลิ่วคิดอย่างปวดหัว นอกจากตัวเองแล้ว เจ้าพวกที่อยู่ในสำนักฝึกหลวงนี้ล้วนเป็นพวกบ้า ไม่มีวิธีจะติดต่อกันได้จริงๆ
เฉินฉางเซิงมองมาที่เขาอย่างกะทันหันแล้วถามขึ้น “สรุปแล้วเจ้าคิดจะทำอะไร”
ตามเหตุผลแล้ว ด้วยนิสัยของถังซานสือลิ่ว ถึงเขาจะกำเริบเสิบสานอย่างไร ก็ไม่มีทางที่จะจงใจท้าทายบุคคลสำคัญอย่างประมุขตระกูลเทียนไห่ในหอเฉิงหูเช่นนี้ และทำให้เรื่องราวเปลี่ยนเป็นดุเดือดขึ้นมา
ถังซานสือลิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง จึงพูดขึ้น “พวกเราเคยวิเคราะห์กันว่าทั้งสองฝ่ายคิดจะทำอะไร บางทีใต้เท้าสังฆราชคิดจะให้เจ้าถูกขัดเกลาอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เช่นนั้นทำไมตระกูลเทียนไห่จึงยอมร่วมมือ”
“เพราะว่าพวกเขาคิดจะสร้างสถานการณ์…ท้ายที่สุดก็จะบีบให้ข้าเผชิญหน้ากับสวีโหย่วหรง”
“เจ้าคิดจะต่อสู้กับสวีโหย่วหรงจนถึงที่สุดหรือไม่”
เฉินฉางเซิงคิดอย่างจริงจัง จึงพบว่าตนไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะไปต่อสู้กับเด็กสาวที่ยังไม่เคยพบหน้าผู้นั้น จึงส่ายหัวขึ้น
“เช่นนั้นก็จบแล้ว”
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้น “เรื่องที่ข้าต้องทำในตอนนี้ ก็คือใช้วิธีรับมือที่พวกเขาล้วนคิดไม่ถึง หลังจากที่ทำเรื่องนี้เรียบร้อยแล้ว เจ้าก็จะสามารถอ่านหนังสือและบำเพ็ญเพียรได้อย่างสงบแล้ว”
“จะเป็นไปได้จริงๆ หรือ” เฉินฉางเซิงมองเขาแล้วถามขึ้นอย่างจริงจัง
คิ้วกระบี่ของถังซานสือลิ่วเลิกขึ้น พลางเอ่ย “ข้าเป็นใคร”
ทันใดนั้นเฉินฉางเซิงก็นึกถึงซูหลีที่ข้างบ่อน้ำพุร้อนบนภูเขาหิมะ และรู้สึกว่าเรื่องนี้ดูเหมือนจะพึ่งพาไม่ค่อยได้
“แต่ว่า ทำไมอีกฝ่ายถึงได้เพิ่มแรงกดดันที่มีต่อสำนักฝึกหลวงอย่างกะทันหันล่ะ”
เป็นถึงประมุขของตระกูลเทียนไห่ แน่นอนว่าไม่ใช่เพราะไม่ได้กินกุ้งมังกร ก็จะเปลี่ยนแปลงนโยบายที่กำหนดเอาไว้
ถังซานสือลิ่วมองแล้วยิ้มขึ้นมา ค่อนข้างจะดูมีเจตนาร้ายอยู่
“เห็นได้อย่างชัดเจน พ่อตาที่เจ้าโชคดีได้มาผู้นั้น ในตอนนี้รู้สึกว่าเจ้าไม่เลวอย่างมาก ตระกูลเทียนไห่กังวลใจอย่างมากว่าสวีโหย่วหรงจะชอบเจ้าขึ้นมาจริงๆ และหากเกิดไม่ยอมต่อสู้กับเจ้าขึ้นมาจะว่าอย่างไร”
เฉินฉางเซิงไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไร จึงเปลี่ยนหัวข้อไปอย่างแข็งกระด้างอยู่บ้าง “อันดับแรกพวกเราต้องจัดการปัญหาที่อยู่ตรงหน้าก่อน จะทำอย่างไรถึงจะไม่ถูกพวกเขาถมใส่จนตาย”
คำพูดนี้เขาเพิ่งจะเคยพูดที่หอเฉินหู
ในตอนที่สำนักฝึกหลวงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ถังซานสือลิ่วกลับมาจากสุสานเทียนซู มือซ้ายถือชามน้ำเต้าหู้ มือขวาถือปาท่องโก๋ เขาอยู่ที่หน้าประตูสำนักฝึกหลวงแล้วพูดอย่างมีพลัง เรื่องนี้เขาจะมาแก้ไขเอง หลังจากนั้นก็เอาปาท่องโก๋จิ้มลงไปในน้ำเต้าหู้อย่างแรง พลางพูดขึ้นว่าจะกดพวกเขาให้จม ในตอนนี้เฉินฉางเซิงอยากรู้อย่างมาก วิธีที่ว่าน้ำมาให้เอาดินถม กองทัพมาให้ทหารสกัดเห็นได้ชัดว่าไม่สามารถใช้ต่อไปได้แล้ว เขายังคิดจะถมอย่างไร
ถ้าหากไม่มีวิธีการอะไรรับมือ เขาทำได้เพียงไม่ไปคำนึงถึงเรื่องนี้ให้มากนัก และตรงเข้าไปขอพบใต้เท้าสังฆราชที่พระราชวังหลีเลย
“จม มีวิธีการอยู่หลายแบบ” ถังซานซื่อลิ่วพูดขึ้นอย่างมีแผนการในใจ “วิธีการของข้าต่อจากนี้ เรียกว่าใช้น้ำจมเจ็ดกองทัพ”
“น้ำจมเจ็ดกองทัพ?” เฉินฉางเซิงไม่เข้าใจอย่างมาก
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “ก่อนหน้านี้ได้ยินว่ากองทัพของนิกายหลวงได้จับนักท่องเที่ยวจากต่างเมืองสองกลุ่มที่คิดจะลอบเข้ามาดูทิวทัศน์ของสำนักฝึกหลวงได้อีกแล้ว”
ในใจของเฉินฉางเซิงคิด นี่เกี่ยวอะไรกับเรื่องที่พวกเรากำลังพูดกันอยู่หรือ
ถังซานสือลิ่วพูดขึ้นต่อ “เรื่องนี้ให้เตือนอะไรบางอย่างให้กับข้า ในเมื่อมีคนมากมายล้วนอยากเข้ามาดู ไม่สู้พวกเราขายตั๋วไปเลย ยังสามารถหาเงินได้อีก”
เฉินฉางเซิงกับเซวียนหยวนผ้อก็ยังไม่เข้าใจ
ถังซานสือลิ่วมองพวกเขาแล้วพูดขึ้นอย่างจริงจัง “ที่ข้าอยากจะพูดคือ สำนักฝึกหลวงกว้างใหญ่อย่างมาก…กลับมีแค่พวกเราไม่กี่คน ไม่รู้สึกเหงาหรืออย่างไร”
……
……
เช้าตรู่ของวันที่สอง ในยามที่ฟ้าเพิ่งจะเริ่มสว่าง ที่นอกสำนักฝึกหลวงก็มีชาวเมืองจำนวนมากที่มาดูเรื่องสนุกกัน
เห็นได้อย่างชัดเจน เรื่องที่เมื่อวานกองทัพของนิกายหลวงจับนักท่องเที่ยวสามกลุ่มที่คิดจะลอบเข้าไปในสำนักฝึกหลวงได้ ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อความรู้สึกของคนอื่นๆ เลย
โดยเฉพาะเมื่อวานเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอเฉิงหู ไปจนถึงความโกรธเกรี้ยวของประมุขตระกูลเทียนไห่ที่ตามมา ได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งจิงตูแล้ว ทุกคนล้วนรู้กัน เพียงแค่วันนี้วันเดียว ก็มีผู้บำเพ็ญเพียรที่แข็งแกร่งถึงสี่สิบกว่าคนมาท้าประลองสำนักฝึกหลวง…ต้องรู้ว่าไม่กี่วันก่อน รวมแล้วก็เป็นเพียงแค่การต่อสู้นับสิบครั้ง
ความคึกคักเช่นนี้ ใครจะยอมพลาดไป
แน่นอนว่าสำนักฝึกหลวงสามารถทำเหมือนกับสองวันแรกนั่น ถ่วงเวลาออกไปก่อนได้ แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว วันนี้มีสาสน์ท้าประลองมาสี่สิบกว่าฉบับ เชื่อว่าพรุ่งนี้จะต้องมีสาสน์ท้าประลองมามากยิ่งกว่าเดิมอีกแน่ เหมือนเกล็ดหิมะที่โปรยปรายลงมาไม่หลุด บอลหิมะที่กลิ้งไปเรื่อยๆ เมื่อถึงตอนนั้นที่หิมะบนพื้นทับถมจนหนาขึ้นเรื่อยๆ บอลหิมะที่กลิ้งจนก้อนสูงกว่าประตู เด็กหนุ่มเหล่านั้นในสำนักฝึกหลวงจะยังสามารถทำอะไรได้
แผงขายดอกไม้ที่นอกตรอกล้วนมากันแล้ว ที่รีบมาจองที่ที่ดีเอาไว้ก็เป็นพวกแผงขายของที่มาแต่เช้า ผู้คนกินซาลาเปาร้อนๆ กับบะหมี่เย็นอันสดชื่นไปพลาง และพูดคุยกันถึงเรื่องนี้กันด้วยใบหน้าที่กระตือรือร้น กลิ่นเนื้อบดกับแตงกวาที่ลอยอยู่ในอากาศ ทำให้พวกเด็กสาวที่หลงรักถังซานสือลิ่วพวกนั้นแทบจะเอาดอกไม้ซ่อนเข้าไปไว้ในอก เพราะกลัวว่ากลิ่นหอมของดอกไม้จะถูกทำลาย
ฝูงคนค่อยๆ เงียบเสียงลงอย่างกะทันหัน เพราะว่าหน้าศาลาที่ตรงข้ามถนน มีคนจำนวนมากปรากฏตัวขึ้นมา คนเหล่านั้นบ้างก็แก่บ้างก็เด็ก บ้างก็สูงบ้างก็เตี้ย ซึ่งทั้งหมดล้วนนิ่งเงียบ เห็นได้ชัดว่าไม่ใช่ชาวเมืองที่มาชมเรื่องสนุก เพราะว่าบนร่างของพวกเขาล้วนปล่อยกลิ่นอายที่แสนอันตรายออกมา ล้วนเป็นยอดฝีมืออย่างแท้จริง ล้วนเป็นยอดฝีมือที่มาท้าประลองสำนักฝึกหลวง
มองดูยอดฝีมือนับสิบคนนี้ที่ถูกตระกูลเทียนไห่เรียกมาจากสำนักต่างๆ ไปจนถึงเมืองต่างๆ คนจำนวนมากล้วนอดไม่ได้ที่จะเป็นกังวลแทนสำนักฝึกหลวง ในใจคิดว่าเช่นนี้แล้วจะสู้ได้อย่างไร จะต่อสู้ให้หมดได้อย่างไร
ก็เป็นในตอนนี้เอง ประตูสำนักของสำนักฝึกหลวงพลันมีเสียงดังจากการถูกคนจากด้านในเปิดออก
บนถนนนอกสำนักเงียบเป็นเป่าสาก บรรยากาศค่อนข้างน่าประหลาดอยู่บ้าง แม้แต่เด็กสาวพวกนั้นก็ยังใช้เพียงสายตาที่เต็มไปด้วยความหวังมองมาทางนั้น แต่กลับไม่เหมือนหลายวันก่อนนั้นที่ตะโกนชื่อถังซานสือลิ่วไม่หยุด และพูดประโยคคำพูดบ้าๆ อย่างข้าจะต้องแต่งงานกับเจ้าให้ได้อะไรเทือกนั้น
ที่เดินออกมาจากสำนักฝึกหลวงไม่ใช่ถังซานสือลิ่ว และก็ไม่ใช่เฉินฉางเซิง แต่เป็นอาจารย์ซิน
อาจารย์ซินมองผู้คนที่อยู่รอบด้าน โดยเฉพาะยอดฝีมือที่อยู่ไกลออกไปเหล่านั้น อดไม่ได้ที่จะส่ายหน้า สีหน้าค่อนข้างจะซับซ้อน แต่กลับมองไม่ออกว่าเป็นกังวลใจแทนสำนักฝึกหลวงหรือว่าอย่างไร
เขาล้วงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาจากอก สั่งให้ลูกน้องนำไปแปะไว้ที่กำแพงด้านข้างสำนักฝึกหลวงอย่างละเอียด หลังจากนั้นก็หันกลับมามองฝูงคน กระแอมคอ แล้วพูดขึ้นเสียงดัง “วันนี้สำนักฝึกหลวงจะหยุดรับคำท้าประลองเป็นการชั่วคราว”
ตรอกไป่ฮวาไปจนถึงถนนที่ไกลออกไปล้วนเงียบเป็นเป่าสาก การรับมือของสำนักฝึกหลวงเช่นนี้อยู่ในการคาดการณ์ของทุกคน แต่ก็เป็นอย่างที่ทุกคนคิดเช่นนั้น ว่าไม่อาจจะยืดเวลาออกไปได้ตลอด เช่นนั้นสำนักฝึกหลวงจะต้องมีลูกเล่นใหม่ และถ้าหากว่ากันตามเหตุผลแล้ว ต่อไปนักบวชของพระราชวังหลีผู้นี้จะต้องมีคำพูดที่จะพูดอีกแน่ ไม่แน่ว่าจะมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้น
เป็นอย่างที่คิด อาจารย์ซินพูดต่อ “วันนี้ สำนักฝึกหลวงจะเริ่มต้นรับนักเรียนใหม่อย่างเป็นทางการ!”