ตอนที่ 392 เม็ดบัวต้ม / ตอนที่ 393 เลือด

จอมใจจ้าวพิษ

ตอนที่ 392 เม็ดบัวต้ม 

 

 

ถังเฉียนยื่นมือออกไปขวางเสี่ยวจิน ตามใจมัน ปล่อยให้มันกัดปลายนิ้วตนเอง 

 

 

ไม่ว่าเพราะสาเหตุอะไร ไปถามคนคนนั้นตรงๆ ก็ได้ไม่ใช่หรือ 

 

 

นางร้องเรียกหรูอวี้ 

 

 

“หรูอวี้ เจ้าทำขนมเก่ง สอนข้าทำสักสองสามอย่างได้หรือไม่” 

 

 

เมื่อฉู่จิ่งเหยาทรงได้ยินกงกงทูลว่าพระสนมเฉียนขอเข้าเฝ้า ทรงนึกสงสัยทันทีว่ากงกงจะล้อเล่นกับพระองค์ แต่เมื่อทอดพระเนตรดูกงกง จึงทรงตระหนักว่าเขาไม่ใช่คนที่จะล้อเล่นด้วย 

 

 

พระองค์ทรงอดกลั้นความคิดที่อยากเสด็จออกไปรับถังเฉียนข้างนอก พยายามสงบพระทัย แล้วตรัสกับกงกงว่า 

 

 

“เชิญนางเข้ามา” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทรงคิดนับครั้งไม่ถ้วนถึงฉากที่ถังเฉียนเป็นฝ่ายขอมาพบพระองค์ แต่มันไม่เคยเกิดขึ้น ทำให้รู้สึกปวดร้าวพระทัย 

 

 

ถังเฉียนถือถาดกระเบื้องขาว ลำตัวยืดตรง นิ่งราวกับขุนเขา เวลาเดินทุกย่างก้าวอ่อนช้อยสวยงาม พอมาถึงปากประตูก็ย่อตัวคารวะ บนถาดวางชามหินอาเกตไว้ เม็ดบัวต้มในชามไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย 

 

 

พระองค์ทอดพระเนตรมองนางเดินเข้ามาใกล้ จากนั้นนางก็ย่อตัวต่ำลง กระโปรงจีบที่นางสวมอยู่ รอยจีบไม่สั่นไหวแม้แต่น้อย 

 

 

นี่คือท่วงท่าที่สวยที่สุด สง่างามสูงส่ง เต็มไปด้วยท่วงทำนองแบบหญิงตระกูลสูงศักดิ์ พอฉู่จิ่งเหยาทอดพระเนตรกลับรู้สึกหัวใจบิดม้วนเข้าหากัน 

 

 

พระองค์ทรงยินดีกับถังเฉียนซึ่งไร้มารยาท ขาดแบบแผนและเล่นสนุกกับเหล่านางกำนัลมากกว่า 

 

 

เพียงไม่ถึงสิบวันเท่านั้น จากถังเฉียนที่ความจำเสื่อมไม่รู้อะไรทั้งสิ้น เดี๋ยวนี้กลายเป็นถังเฉียนที่กิริยาท่าทางและคำพูดล้วนสอดคล้องกับแบบแผน ระหว่างนี้นางต้องผ่านอะไรมาบ้าง… 

 

 

ฉู่จิ่งเหยายื่นพระหัตถ์ไปรับถาด พระองค์ทรงทำตามพระทัย ใช้พระหัตถ์โอบเอวถังเฉียนไว้ พอทอดพระเนตรเห็นนางเสียแบบแผน ร้องด้วยความตกใจขณะที่ล้มลงในอ้อมกอดของพระองค์ ในที่สุดพระทัยก็สงบลงบ้าง 

 

 

“วันนี้เป็นวันอะไร อาหรูน่าของเจิ้นถึงกับเป็นฝ่ายมาหาเจิ้นเอง” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาเลิกพระขนงขึ้น แย้มพระสรวลอย่างล้อเล่น พลางทอดพระเนตรถังเฉียนซึ่งกำลังดิ้นรนในอ้อมกอดของพระองค์ 

 

 

นางดิ้นรนในอ้อมกอดของฉู่จิ่งเหยา ผ่านไปครู่หนึ่งในที่สุดนางก็รับรู้ถึงความแตกต่างระหว่างพละกำลังของกันและกัน สีหน้านางแดงเรื่อ แล้วทูลว่า 

 

 

“ฝ่าพระบาทเพคะ อย่าทรงแกล้งหม่อมฉันเลย หม่อมฉันเพียงแต่ยกขนมมาถวาย เป็นการขอบพระทัยที่ทรงส่งหรูอวี้กลับไปเพคะ” 

 

 

ใบหน้าถังเฉียนแต้มสีแดงเข้มแถบหนึ่ง ขับให้ใบหน้าเรียวเล็กที่ขาวซีดแบบคนป่วยดูสดใสขึ้นไม่น้อย สายพระเนตรของฉู่จิ่งเหยาหยุดอยู่ที่ริมฝีปากถังเฉียนซึ่งเผยอออกเล็กน้อยครู่หนึ่ง แล้วจู่ๆ ก็หันพระพักตร์ไป 

 

 

พระองค์คลายพระหัตถ์ออกกระแอมสองที แล้วตรัสว่า 

 

 

“เจ้าถอยไปก่อน เจิ้นจะชิมขนมถ้วยนี้…เจ้าทำเองหรือ” 

 

 

ถังเฉียนเห็นฉู่จิ่งเหยาคลายพระหัตถ์ ก็ใบหน้าแดง แล้วขยับตัวเล็กน้อย ร่างไหลออกจากพระวรกายของพระองค์ลงมา จากนั้นจึงยืนก้มหน้าอยู่ด้านข้าง โผล่ออกมาเพียงหูสองข้างซึ่งปลายหูย้อมเป็นสีแดง 

 

 

“เออ…นี่เป็นครั้งแรกที่หม่อมฉันทำ ไม่รู้ว่าจะอร่อยหรือไม่ ขอฝ่าพระบาทอย่าทรงรังเกียจ…” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทรงอามรณ์ดีเป็นพิเศษ ยกชามขึ้นเสวย เพียงครู่เดียวก็ทรงวางลง แล้วเช็ดพระโอษฐ์อย่างพอพระทัย จากนั้นจึงตรัสอย่างมีความหมายว่า 

 

 

“ไม่เลว หวานมาก” 

 

 

“หวานมาก” 

 

 

ถังเฉียนตกใจ นางจำได้ว่าไม่ได้เติมน้ำตาล 

 

 

นางเงยหน้าขึ้นมองชาม ว่างเปล่าแล้ว จึงได้แต่ก้มหน้าลงด้วยความผิดหวัง หรือว่า…ตนจำผิดไป 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทอดพระเนตรตามสายตานางมองดูชามเปล่า แล้วแย้มพระสรวล  

 

 

“ว่าไง เจ้าก็อยากกินอย่างนั้นหรือ แต่น่าเสียดายที่เจิ้นกินหมดแล้ว ถ้าเจ้าอยากชิม ในปากเจิ้นยังเหลืออยู่นะ” 

 

 

“เช่นนี้…” ถังเฉียนก้มหน้าลง แล้วบ่นเบาๆ “ถ้ารู้แต่แรก หม่อมฉันน่าจะชิมก่อน” 

 

 

ถังเฉียนไม่เห็น จู่ๆ ฉู่จิ่งเหยาก็ทรงตะลึงงัน จากนั้นก็แย้มพระสรวลอย่างอ่อนโยนและจนพระทัย 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 393 เลือด 

 

 

แม้ว่านางจะไม่ได้ชิม แต่เห็นฉู่จิ่งเหยาทรงมีท่าทางพอพระทัยมาก รสชาติคงจะไม่เลว 

 

 

ถังเฉียนปลาบปลื้มที่ได้เจอความสามารถเล็กๆ อย่างหนึ่ง จากนั้นก็จ้องมองฉู่จิ่งเหยา เมื่อเห็นว่ารอยพระสรวลที่มุมพระโอษฐ์ยังไม่จางหาย จึงตัดสินใจทูลจุดมุ่งหมายในการมาครั้งนี้ 

 

 

“ฝ่าพระบาทเพคะ หม่อมฉันมีเรื่องหนึ่งอยากทูลถาม…” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทรงเอนพิงพระเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แล้วทรงโอบเอวถังเฉียนให้เข้าใกล้พระองค์หลายก้าว แย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า 

 

 

“ที่แท้อาหรูน่ามีเรื่องจะถามเจิ้น มิน่าเหตุใดจู่ๆ ก็กระตือรือร้นมาหาเจิ้น พูดมาเถอะ ไม่ง่ายเลยที่อาหรูน่าจะมาถามเจิ้น ถ้าเจิ้นรู้ย่อมตอบเจ้า” 

 

 

ถังเฉียนกัดริมฝีปาก เหลือบมองพระเนตรฉู่จิ่งเหยา แล้วทูลเสียงแผ่วเบาอย่างช้าๆ 

 

 

“ฝ่าพระบาท หม่อมฉันอยากรู้เรื่องราวก่อนที่สูญเสียความจำเพคะ…” 

 

 

“หือ?” ดวงพระเนตรที่ปิดลงเล็กน้อยเบิกกว้างขึ้นทันที มีแสงประหลาดสายหนึ่งวาบขึ้นในดวงพระเนตร 

 

 

“เจ้านึกอะไรขึ้นได้บ้าง” 

 

 

ถังเฉียนสั่นศีรษะ 

 

 

“ไม่เลย นึกอะไรไม่ออกเลย เพียงแต่…มักจะนอนหลับไม่สนิท ดูเหมือนมีคนสำคัญมากคนหนึ่งรอให้หม่อมฉันไปหาเพคะ” 

 

 

นางตกใจอย่างกะทันหัน มือที่โอบเอวนางไว้จู่ๆ ก็ออกแรงเต็มที่ กอดกระชับแน่น จนรู้สึกเจ็บ 

 

 

นางร้องด้วยความตกใจ 

 

 

“ฝ่าพระบาท?” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาเหมือนทรงตั้งพระสติได้ทันทีเมื่อถูกเรียก พระองค์เงยพระพักตร์ขึ้น มองถังเฉียนแวบหนึ่ง แย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า 

 

 

“คงเพราะเจ้าคิดถึงพ่อแม่ ตอนที่พ่อแม่เจ้าจากไป เจ้าไม่ได้อยู่กับพวกท่าน เจ้าจึงมักกลัดกลุ้มที่ไม่ได้เห็นพวกท่านครั้งสุดท้าย เรื่องนี้คงจะคาใจเจ้ามาก จึงทำให้ฝันเช่นนี้” 

 

 

ถังเฉียนสบตากับฉู่จิ่งเหยา นางจ้องมองพระองค์เช่นนี้ครู่หนึ่ง แล้วจึงเบนหน้าไปทางอื่น แล้วทูลอย่างใช้ความคิดว่า 

 

 

“เป็นเช่นนี้เองหรือ” 

 

 

นางชะงักเล็กน้อย ไม่ได้ทูลว่าที่ตนเห็นในฝันนั้นดูเหมือนจะเป็นชายหนุ่มคนหนึ่ง 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาแย้มพระสรวลแล้วตรัสว่า 

 

 

“ย่อมต้องเป็นเช่นนี้ วางใจเถอะ อีกระยะหนึ่ง เจิ้นจะพาเจ้าออกไปนอกวัง ไปเซ่นไหว้สุสานของพวกท่าน ก็จะไม่ฝันเช่นนี้อีกแล้ว” 

 

 

ถังเฉียนพยักหน้า ลังเลเล็กน้อยแล้วจึงทูลว่า 

 

 

“ฝ่าพระบาทเพคะ พระองค์ทรงรู้ไหมว่าเลือดหม่อมฉันมีอะไรต่างออกไป” 

 

 

“อะไรนะ” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาทรงงลุกขึ้นยืนทันที แล้วดึงอกเสื้อนางทำท่าจะถอดเสื้อนางออก ถังเฉียนตกตะลึง รีบกุมเสื้อตัวเองไว้ 

 

 

“ฝ่าพระบาท!” 

 

 

“เจ้าบาดเจ็บตรงไหน มีใครเอาเลือดเจ้าไปหรือ” 

 

 

ถังเฉียนก้าวถอยหลังสองสามก้าว ฉู่จิ่งเหยาทรงรู้แล้วว่าทรงลืมพระองค์ไป ทรงกระแอมสองสามที ประทับนั่งลงไปใหม่แล้วตรัสถาม 

 

 

“เกิดอะไรขึ้นกันแน่” 

 

 

ถังเฉียนแปลกใจที่เห็นฉู่จิ่งเหยาทรงตื่นเต้นมากขนาดนี้ แล้วทูลเล่าว่าเสี่ยวจินช่วยรักษาแผลให้นาง นางบังเอิญเอาเลือดตนเองป้ายลงบนแผลของนางกำนัลจึงพบเรื่องนี้ 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกผ่อนคลายลง แล้วตรัสด้วยท่าทีจริงจังว่า 

 

 

“อาหรูน่า เจ้าควรรู้ว่าเลือดเจ้ามีความพิเศษมาก” 

 

 

“ตั้งแต่เด็กเจ้าได้กินยาที่ล้ำค่า ทำให้เลือดเจ้าสามารถรักษาสารพัดโรค รักษาบาดแผลได้ เลือดในหัวใจเจ้ายังช่วยให้คนตายฟื้นขึ้นได้ อย่าให้คนอื่นรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นถ้าแพร่งพรายออกไป แม้แต่เจิ้นก็คุ้มครองเจ้าไม่ได้” 

 

 

ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง… 

 

 

ถังเฉียนนึกถึงสรรพคุณของเลือด นางเชื่อเรื่องนี้อย่างสนิทใจ แต่เดิมยังอยากถามว่าเสี่ยวจินเป็นอะไร แต่เมื่อคิดถึงประโยชน์ในการรักษาที่แปลกของมันและท่าทางตื่นเต้นมากของฉู่จิ่งเหยา จึงกลืนคำพูดกลับลงไป 

 

 

จากนั้นถังเฉียนจึงไม่ถามอะไรอีก ฉู่จิ่งเหยาดึงนางให้ตรวจอ่านฎีกาด้วย กลับลืมเรื่องที่ห้ามฝ่ายในแทรกแซงงานราชสำนักอย่างสิ้นเชิง 

 

 

ถังเฉียนอยู่ต่อครู่หนึ่ง เห็นท้องฟ้าใกล้ค่ำแล้วจึงลุกขึ้นทูลลากลับ ฉู่จิ่งเหยาทรงส่งนางออกจากห้องทรงพระอักษร 

 

 

ถังเฉียนเดินไปไม่กี่ก้าว หรูอวี้ก็เอาเสื้อหนังจิ้งจอกมาคลุมให้นาง นางหันกลับมาทันที เห็นฉู่จิ่งเหยายังคงทอดพระเนตรดูนาง แล้วจู่ๆ ก็หลุดปากออกมา 

 

 

“ฝ่าพระบาทเพคะ ทรงรู้เรื่องเลือดของหม่อมฉันด้วย…”