บทที่ 652 ตัวประกัน

บัลลังก์พญาหงส์

ถาวจวินหลันอึ้งกับวิธีจัดการสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินของถาวซินหลันครู่ใหญ่ จากนั้นก็หัวเราะ พลางส่ายหน้า “นางรู้ว่าสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินกลัวอะไร ก็ถูก ทำเช่นนี้ยิ่งทำให้สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินรู้สึกแย่กว่าวิธีของข้านัก” 

 

 

ถาวซินหลันให้เฉินจิ่งลูกชายคนโตตระกูลเฉินตบแต่งสู่ขอผิงชี* ใช่แล้ว ผิงชี 

 

 

ปกติแล้วไม่ค่อยเห็นใครตบแต่งสู่ขอผิงชี นี่ถือเป็นเรื่องพิเศษอย่างมาก นอกจากทั้งสองตระกูลตกลงกันว่าจะตบแต่งสู่ขอผิงชีตั้งแต่ตอนแรก เรื่องที่ว่าแต่งภรรยาแล้วรับผิงชีมาทีหลังจึงพบเห็นน้อยมาก อย่างแรกเพราะภรรยาคนแรกไม่ยอมเป็นแน่ อย่างที่สองก็เพราะมีกฎหมายเขียนเอาไว้ หากคนเดิมไม่ได้ทำผิดร้ายแรง ก็ไม่อนุญาตให้ตบแต่งสู่ขอผิงชีมาคานกับตำแหน่งของคนเดิม 

 

 

อีกทั้งตบแต่งผิงชีก็ไม่ค่อยเห็นในตระกูลสูงศักดิ์ 

 

 

ถาวซินหลันคงคิดหนักเลยทีเดียว แต่นี่ก็ถือเป็นวิธีลงโทษสะใภ้ใหญ่ที่ดียิ่ง 

 

 

สะใภ้ใหญ่โอหังมาโดยตลอด คิดว่าฐานะของตนเองสูงส่ง ครอบครัวมีหน้ามีตา แต่วันนี้สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่อาจช่วยนางได้แม้แต่น้อย ยังคงต้องลืมตามองตำแหน่งของตนเองถดถอยลงไป สามีก็ตบแต่งผู้หญิงอีกคนเข้าบ้านมาแก่งแย่งกับตนเอง 

 

 

แน่นอนว่าต้องแย่งชิง สิทธิดูแลครอบครัว ฐานะของลูก และอีกมามายหลายอย่างล้วนต้องแย่งชิงมาทั้งนั้น หากสะใภ้ใหญ่กับเฉินจิ่งรักใครกันดีก็แล้วไป แต่… 

 

 

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนี้ เพียงแค่พูดว่าหลังจากนี้สะใภ้ใหญ่ออกไปข้างนอกได้ยินสิ่งที่คนอื่นพูดถึงนาง เห็นสายตาที่คนอื่นใช้มองนาง สะใภ้ใหญ่คงข่มความโกรธไม่ได้ อาจถึงขั้นเป็นบ้าเลยเสียด้วยซ้ำ 

 

 

ทำให้คนไม่พอใจนั้นง่ายดาย เพียงแย่งชิงสิ่งที่อีกฝ่ายเย่อหยิ่งโอหังมากที่สุดไป จนอีกฝ่ายสูญเสียที่พึ่ง ล้มลงบนกองฝุ่น และถาวซินหลันก็เลือกใช้วิธีนี้อย่างง่ายดายและหยาบกระด้าง 

 

 

คราวนี้สะใภ้ใหญ่คงเกลียดถาวซินหลันเข้าไส้แล้วกระมัง? แต่เกลียดแล้วมีประโยชน์อะไร? อย่างไรก็ทำอะไรได้ ความรู้สึกไร้ด้อยสามารถเช่นนั้นคงติดตามสะใภ้ใหญ่ไปทั้งชีวิต 

 

 

ถาวจวินหลันจึงอดหัวเราะไม่ได้ ถึงดีใจแต่ก็เจ็บปวดเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ตอนที่ถาวซินหลันยังไม่เข้าวังหลวง ยังเป็นหญิงสาวน่ารัก ไร้เดียงสา ไม่รู้เรื่องโลกภายนอก นิสัยอ่อนโยนบริสุทธ์ แต่เพียงแค่ชั่วพริบตากลับแตกต่างจากหน้ามือเป็นหลังมือ น้องสาวน่ารักในความทรงจำของนาง เมื่อมาเทียบกับความจริงตอนนี้ ช่างแตกต่างจนนางแอบสลดใจ 

 

 

แต่โดยภาพรวมก็ยังดีใจ ถาวซินหลันเป็นเช่นนี้หมายความว่านางปกป้องตนเองได้แล้ว คนอื่นคงรังแกนางได้ยาก ต่อให้ถูกกลั่นแกล้ง นางเองก็สวนหมัดกลับไปได้ เทียบได้กับลูกนกที่เติบใหญ่ สยายปีกบินกลางอากาศได้ด้วยตนเอง นี่ย่อมทำให้แม่นกปลาบปลื้มแน่นอน 

 

 

ถาวจวินหลันก็เหมือนกับแม่นก 

 

 

ชุนฮุ่ยมองท่าทีของถาวจวินหลัน ยิ้มพลางถ่ายทอดคำพูดของถาวซินหลัน “สะใภ้สามยังพูดอีกว่า พระชายาองค์รัชทายาทไม่ต้องเป็นห่วงนางมากนัก นางต้องใช้ชีวิตอย่างดี นางยังรอดูท่าทีร้องไห้เจ็บปวดใจของสะใภ้ใหญ่เสียด้วยซ้ำ” 

 

 

ถาวจวินหลันยิ้มพลางพยักหน้า จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พูดว่า “ครั้งหน้าตอนที่เจ้าไปหาซินหลัน เอาไม้หอมสงบใจไปให้เฉินฮูหยินแทนข้าด้วย แล้วบอกเฉินฮูหยินว่าซินหลันสร้างเรื่อง แม้ตอนนี้สะใจ แต่ภัยร้ายที่เหลือทิ้งเอาไว้ก็ไม่น้อย ขอให้นางต้องเหนื่อยเสียหน่อย” 

 

 

นางให้เฉินฮูหยินเหนื่อยจัดการภัยร้ายที่เหลือทิ้งเอาไว้ แต่ไม่ได้บอกว่าถาวซินหลันทำผิด อีกทั้งไม่คิดขัดขวาง นางแสดงออกมาอย่างชัดเจนแล้ว 

 

 

สุดท้ายถาวจวินหลันก็คิดถึงตระกูลเฉินอีกครั้ง ฉับพลันรอยยิ้มก็จางหายไป น้ำเสียงเริ่มเย็นเยียบ “ไปบ้านตระกูลเฉินอีกรอบ เตือนพวกเขาว่าตระกูลเฉินยังมีหญิงสาวต้องไปสู่ขอ แต่การตบแต่งสู่ขอผิงชี ไม่ได้ปลดภรรยาก็นับว่าไว้หน้าตระกูลเฉินมากแล้ว บอกให้พวกเขาสั่งสอนสะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินให้ดีด้วย” 

 

 

สะใภ้ใหญ่ตระกูลเฉินทำร้ายถาวซินหลัน นางไม่ปล่อยไปง่ายๆ เช่นนี้แน่นอน ตักเตือนตระกูลเฉินเสียหน่อย ให้ตระกูลเฉินไปกดดันสะใภ้ใหญ่ก็ถือว่าได้แก้แค้นแล้ว 

 

 

“เกรงว่าสะใภ้สามคงรู้เรื่ององค์หญิงเก้าแล้วเพคะ” ชุ่นฮุ่ยคิดถึงท่าทีของถาวซินหลัน จึงพูดเรื่องที่ตนเองคาดเดาเสียงเบา 

 

 

ถาวจวินหลันพยักหน้า ไม่ได้รู้สึกแปลกใจนัก “รู้ก็เป็นเรื่องปกติ แต่เดิมนางเองก็มีความคิดของตนเองอยู่แล้ว ข้าก็ไม่คิดปิดบังนาง ในเมื่อนางรู้แล้ว ไม่ได้ก่อเรื่องวุ่นวายอะไร คิดว่าคงใจเย็นมากนัก” 

 

 

ถาวซินหลันใจเย็นอย่างที่ถาวจวินหลันว่า เพราะนางรู้ว่าใจร้อนไปก็ไม่ช่วยให้หาองค์หญิงเก้าเจอ สิ่งที่นางทำได้มีเพียงให้เฉินฟู่ไปช่วยเหลือตระกูลถาว และรักษาร่างกายตัวเองให้ดี 

 

 

รักษาร่างกายให้ดี นางถึงจะช่วยอะไรได้บ้าง รวมถึงคิดแผนการแก้แค้นด้วย 

 

 

ในเรื่องนี้ถาวซินหลันมองภาพกว้างกว่าถาวจวินหลันอยู่เล็กน้อย 

 

 

องค์หญิงเก้าหายไปเป็นวันที่แปด สุดท้ายพวกหลี่เย่ก็หาองค์หญิงเก้าพบ ตอนนั้นองค์หญิงเก้ากำลังคลอด และถาวจิ้งผิงก็เป็นคนนำเข้าไปช่วยด้วยตนเอง 

 

 

ถาวจิ้งผิงพุ่งตรงเข้าไปในห้องคลอด สีหน้าตึงเครียดและร้อนรน 

 

 

องค์หญิงเก้าสบตากับถาวจิ้งผิง ก็ชาไปทั้งร่าง ลืมแม้แต่ความเจ็บปวด 

 

 

ถาวจิ้งผิงซูบผอมไปมาก โหนกแก้มก็นูนสูงเด่นชัด ดูแล้วน่ากลัวเล็กน้อย และใต้ตาของเขาก็เป็นสีเขียวคล้ำวงใหญ่ เห็นชัดว่าหลายวันมานี้ไม่ได้นอนเท่าไรนัก 

 

 

ทันทีที่องค์หญิงเก้าเห็นถาวจิ้งผิง ก็รู้สึกผ่อนคลายไปทั้งตัว เห็นชัดว่าคลายกังวลแล้ว ฉับพลันก็รู้สึกคัดจมูก แต่มากไปกว่านั้นคือความน้อยใจ นางยื่นมืออกไปหาถาวจิ้งผิง ตะโกนเรียก “จิ้งผิง ช่วยข้า!” 

 

 

ถาวจิ้งผิงแทบจะถลาเข้าไปหาทันที 

 

 

จากนั้นหมอตำแยข้างกายองค์หญิงเก้าก็ตะคอกเสียงดัง “หยุด! ถ้ากล้าเดินขึ้นมาอีกก้าว ข้าจะฆ่านาง!” ไม่รู้ว่าหญิงชราคนนั้นหยิบกรรไกรมาตั้งแต่เมื่อไร ตอนนี้กำลังวางจ่ออยู่บนคอขององค์หญิงเก้า 

 

 

ถาวจิ้งผิงชะงักฝีเท้าทันที เขารู้สึกหงุดหงิดเล็กน้อย แต่ระแวงมากกว่า “คนที่อยู่ด้านนอกถูกควบคุมตัวหมดแล้ว เจ้าทำเช่นนี้ก็ไร้ประโยชน์ ทำตามที่ข้าพูดดีกว่า แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” 

 

 

แต่หญิงชราคนนั้นไม่ได้สั่นคลอน เพียงแค่แค่นหัวเราะ “ไว้ชีวิตข้าอย่างนั้นหรือ? ต่อให้เจ้าไว้ชีวิตข้า ก็คงตายทั้งเป็น” 

 

 

ถาวจิ้งผิงนิ่งเงียบไป ต้องพูดว่าหญิงชราพูดถูกแล้วจริงๆ 

 

 

หญิงชราคนนั้นไม่คิดจะปล่อยองค์หญิงเก้าให้หนีรอดหรือต่อต้าน และถาวจิ้งผิงก็ไม่มีวิธีที่ดีกว่านี้ไปช่วยองค์หญิงเก้า ไม่นาน ทั้งสองฝ่ายก็ได้แต่ประจันหน้ากันเงียบๆ บรรยากาศภายในห้องทั้งอึมครึมและอึดอัด 

 

 

องค์หญิงเก้าก็เริ่มหวาดกลัวเล็กน้อย ไม่นานความเจ็บปวดที่มีก่อนหน้านี้ก็กลับมา จึงส่งเสียงร้องโอดครวญ 

 

 

ถาวจิ้งผิงไม่เคยเห็นเหตุการณ์เช่นนี้มาก่อน ลนลานจนทำอะไรไม่ถูก แต่เขาก็ยิ่งหงุดหงิดและทำตัวไม่ถูก เขานิ่งมองหญิงชราอย่างเย็นชา สุดท้ายก็กลัวว่าจะบีบฝ่ายตรงข้ามเกินไปจึงยอมถอยออกมา สุดท้ายเขาก็เอ่ยปากพูดว่า “ข้าอยู่ด้วย เจ้าอย่ากลัวไป” 

 

 

องค์หญิงเก้าฝืนยิ้ม แต่ไม่นานนางก็ต้องหน้าบิดเบี้ยวเพราะความเจ็บปวดอีกครั้ง นางไม่สนใจเรื่องอื่น กัดฟันพูดตะกุกตะกัก “เจ้าไป” 

 

 

ถาวจิ้งผิงนิ่งอึ้งไป คิดว่าตนเองฟังผิดไป จึงเริ่มร้อนใจ “ข้าจะไปได้อย่างไร?” 

 

 

องค์หญิงเก้าฝืนพูดอีกสองคำ “อย่ามอง” 

 

 

ทุกคนเข้าใจความหมายขององค์หญิงเก้าโดยพลัน ความจริงแล้ว ผู้ชายไม่ควรเข้ามาภายในห้องคลอด ยิ่งไม่ต้องพูดถึงมาดูองค์หญิงเก้าคลอดลูก 

 

 

หลังจากถาวจิ้งผิงเข้าใจแล้ว หลังที่ฝืนเกร็งก็ผ่อนคลายลงทันที เขาส่ายหน้า “ข้าไม่ไป เจ้าอย่าคิดมาก คลอดลูกอย่างสบายใจก็พอแล้ว ข้าจะอยู่กับเจ้า” เขาย่อมไม่กล้าจากไป ไม่ต้องพูดว่าออกไป แม้แต่สายตาเขาก็ไม่กล้าละไปไหนแม้แต่น้อย อย่างไรสถานการณ์ในตอนนี้ก็ใช้กฎเกณฑ์มารยาทอะไรไม่ได้แล้ว ไม่ว่าที่นี่จะเป็นที่ไหน ดูได้หรือไม่ เขาก็ต้องเฝ้าอยู่ที่นี่ 

 

 

องค์หญิงเก้าย่อมรู้ว่าสถานการณ์คับขัน อีกทั้งเรื่องคลอดลูกก็ทนรอไม่ได้แล้ว ดังนั้นแม้นางไม่ยินยอมให้ถาวจิ้งผิงเห็นสภาพเช่นนี้ของนาง ก็ยังเลือกมองข้ามไปอย่างจนปัญญา 

 

 

ที่จริงแล้วโยนเรื่องเขินอายออกไป ถาวจิ้งผิงเป็นห่วงนางจนไม่เกรงกลัวข้อห้ามเช่นนี้ นางกลับดีใจเสียยิ่งกว่า 

 

 

องค์หญิงเก้ายังรู้สึกโชคดีเล็กน้อย คิดว่าตนเองถูกลักพาตัวครั้งนี้ก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป 

 

 

แต่นางก็ไม่มีเวลามาคิดเรื่องนี้อีกต่อไป เพราะนางใกล้คลอดแล้ว ตัวนางเองรู้สึกได้ว่าเด็กกำลังดันออกมาข้างนอก คล้ายมีคนกำลังออกแรงผลักเด็กออกมาจากในท้อง ตัวนางเองไม่อาจควบคุมได้แม้แต่น้อย 

 

 

ในเสี้ยวนาทีนั้น องค์หญิงเก้าลืมไปแล้วว่าถาวจิ้งผิงยืนดูอยู่ข้างๆ พยายามร่วมมือเบ่งเด็กในท้องออกมาเต็มแรง 

 

 

หมอตำแยเห็นสถานการณ์ภายในห้องสะกดจนนิ่งอึ้งไปแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่อาจสนใจอะไรมากมายได้อีก รีบทำคลอดเด็กอย่างคล่องแคล่ว เอากรรไกรมาตัดรกออก แล้วจัดการกับเด็กอย่างคล่องแคล่วโดยไม่คิดอะไรมาก 

 

 

แม้แต่หมอตำแยยังหันไปแสดงความยินดีกับถาวจิ้งผิงอีกด้วย “แสดงความยินดีกับนายท่าน เป็นเด็กชายเจ้าค่ะ!” 

 

 

ถาวจิ้งผิงรีบมองไปที่มือของหมอตำแยโดยเร็ว ที่จริงแล้วยังมองไม่ชัดก็ถอนสายตาไปก่อน กรรไกรยังจ่ออยู่บนคอขององค์หญิงเก้า เขาไม่กล้าละสายตาไปแม้แต่น้อย 

 

 

แต่ถาวจิ้งผิงก็แอบเต็มตื้น เขาเป็นพ่อคนแล้ว เขามีลูกชายแล้ว นี่คือเลือดเนื้อของเขากับองค์หญิงเก้า… 

 

 

องค์หญิงเก้าก็เกือบหลั่งน้ำตาด้วยความดีใจ นางคลอดลูกต้องใช้แรงมากเพียงใด ตอนนี้ยังพอมีแรง นางผ่อนหายใจออกมา มองดูถาวจิ้งผิงพลางหัวเราะน้อยๆ ถามเขาว่า “ท่านดีใจหรือไม่?” 

 

 

ถาวจิ้งผิงเองก็แย้มยิ้มให้นาง “ดีใจสิ” 

 

 

“เช่นนั้นท่านต้องเอ็นดูเขาให้มาก” องค์หญิงเก้าเหนื่อยแล้ว ค่อยๆ หลับตาลง 

 

 

ถาวจิ้งผิงเหมือนจับสังเกตอะไรได้ รีบตะโกนเสียงดังทันที “ไม่ได้!” 

 

 

หญิงชราคนนั้นปล่อยองค์หญิงเก้า แล้วรีบพุ่งไปที่หมอตำแย เป้าหมายของนางคือเด็กในมือของหมอตำแย 

 

 

องค์หญิงเก้าเพิ่งคลอดลูกเสร็จ คงไม่ฟื้นเร็วๆ นี้ แม้ใช้เป็นตัวประกันก็ได้ผลไม่น้อย แต่เด็กไม่เหมือนกัน ทั้งเล็กและบอบบาง อุ้มไว้ในมือก็พาตัวไปได้เลย ช่างเหมาะใช้เป็นตัวประกันมาข่มขู่ถาวจิ้งผิง 

 

 

อีกทั้งองค์หญิงเก้าเป็นแค่สตรี แต่เด็กคนนั้นกลับเป็นสายเลือดของตระกูลถาว จะใช้คนไหนก็รู้ชัดอยู่แล้ว 

 

 

 

 

 

*ผิงชี เป็นตำแหน่งภรรยาเทียบเท่ากับภรรยาหลวง สูงกว่าอนุภรรยา