ส่วนที่ 4 ตอนที่ 190 ซากฟอสซิลหยกต้นไม้

ความลับแห่งจินเหลียน

หนิงซั่งหวาคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะส่ายหน้าพูดขึ้นว่า “เอาเถอะๆ ใครใช้ให้หลานสาวผมพาพวกคุณมากันล่ะ มาเถอะ” พูดพลางเขาก็เดินนำซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายไปยังลานหลังบ้าน “สินค้าที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้จริงๆ ก็เป็นสินค้าที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ส่วนสินค้าเก่าเเก่โบราณน่ะเก็บไว้อยู่ด้านหลัง พวกนี้ก็เป็นของที่ผมเลือกมาเองกับมือ ราคาไม่น้อยทั้งนั้น”

“ขอแค่คุณยืนยันว่าเป็นสินค้าดี พวกเราก็ไม่สนใจเรื่องเงินหรอกครับ” จ่านป๋ายปริปากพูดด้วยท่าทีสบายๆ

หนิงซั่งหวาได้ยินแล้วขมวดหัวคิ้วอีกครั้ง แม้ว่าผู้อาวุโสเดิมพันหินยังไม่วางตัวใหญ่ขนาดนี้เลย? ไม่สนใจเรื่องเงินเหรอ? เดิมพันหินสายนี้ไม่ได้แพ้สายอื่นๆ เลย มีเงินเท่าไหร่ก็เดิมพันเท่านั้น เดิมพันหินหากไม่ทุ่มเงิน ก็คงมีปัญหาทางด้านสายตาแล้ว

แรกเริ่มเขาเคยคิดว่าจ่านป๋ายเป็นคนเดิมพันหิน ส่วนซีเหมินจินเหลียนเป็นแค่แฟนสาวที่ติดสอยห้อยตามเขามา แต่คิดไม่ถึงว่าคนเดิมพันจริงๆ จะเป็นซีเหมินจินเหลียน เฮ้อ…คงจะเป็นแค่พวกลูกคุณหนูมีเงินที่ชอบโอ้อวดออกมาเที่ยวเล่นสินะ

เพราะฉะนั้นเขาเลยพาพวกเขาไปยังอีกห้องเพื่อพิสูจน์สายตาของพวกเขา แต่ผลสุดท้ายเขาก็ยิ่งตกตะลึงมากกว่าเดิม

ซีเหมินจินเหลียนดูหินหยกอย่างรวดเร็ว ดูแล้วไม่เหมือนกับคนชำนาญการ ลักษณะท่าทางเหมือนมือใหม่ แม้กระทั่งไฟฉายกับแว่นขยายเธอยังไม่ได้ใช้

เพียงแต่มือใหม่ทั่วไป หากเห็นเนื้อน้ำแข็งสีเขียวอ่อนหรือเนื้อแก้ว เกรงว่าคงต้องวู่วามเก็บอาการอยากได้ไว้ไม่อยู่ เพราะคิดว่าตัวเองเจอของดีแล้ว

แต่การกระทำของเธอไม่ใช่อย่างนั้น กลับกันเธอยังดูถูกสินค้าของเขา…เนื้อแก้วสีเขียวอ่อน เธอกลับไม่สนใจ? เอาเถอะ ดูสิว่ามีอะไรพอจะกระแทกตาเธอได้บ้าง

ด้านหลังบ้านมีประตูเหล็กบานใหญ่ล็อกไว้อยู่ หนิงซั่งหวาหยิบกุญแจมาไขประตู เมื่อประตูเปิดออก บนพื้นก็เต็มไปด้วยหินหยกขนาดเล็กใหญ่สิบกว่าก้อนวางสะเปะสะปะ น้ำหนักมากที่สุดก็น่าจะประมาณเจ็ดแปดสิบกิโลกรัม น้อยที่สุดน่าจะขนาดเท่ากำปั้น

หนิงซั่งหวาเปิดไฟภายในห้องให้สว่าง โคมไฟเก่าแก่แสงสีเหลืองนวล ภายใต้บรรยากาศแบบนี้เวลาดูสินค้าเท่ากับทดสอบสายตาตัวเองล้วนๆ

ซีเหมินจินเหลียนแอบด่าหนิงซั่งหวาอยู่ในใจว่าไม่มีความซื่อสัตย์ ใช้แสงไฟแบบนี้มาดูหิน ไม่ว่าจะเป็นความอิ่มน้ำหรือสีก็ต้องมีผิดเพี้ยนจากเดิมบ้างไม่ใช่เหรอไง? แต่ไม่เป็นไร แม้ไม่มีแสงไฟก็ไม่มีผลกระทบต่อการมองเห็นของเธอ

“จริงสิ ผมยังไม่ทราบเลยว่าคุณผู้หญิงชื่ออะไร?” จู่ๆ หนิงซั่งหวาก็พลันถามขึ้น

“ฉันแซ่ซีเหมินค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนพูด “ชื่อซีเหมินจินเหลียน!”

หนิงซั่งหวานิ่งอึ้งไปเล็กน้อย ซีเหมินจินเหลียน? ทำไมชื่อนี้ถึงฟังดูคุ้นหูชอบกล ราวกับเคยได้ยินที่ไหนมาก่อน อืม? ใช่สิ เจ้าหญิงหยกในตำนาน ในงานเดิมพันใหญ่ที่ผ่านมาก็เกิดเหตุการณ์ที่ทำให้บริษัทหมิงฮุยจิวเวอรี่แพ้พ่ายจนล้มละลายลงไม่เป็นท่า แม้ว่าข่าวลือจะดูเว่อร์ไปหน่อย แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าเจ้าหญิงหยกในตำนานจะมีความสามารถในการเดิมพันหินที่ประหม่าไม่ได้

หากรู้ตั้งแต่แรกว่าเป็นเธอ เขาก็น่าจะพาเธอมาที่นี่เลย ไม่น่าพาเธอไปดูสินค้าอีกห้อง

“คุณก็คงจะเป็นคุณจ่านใช่ไหมครับ?” หนิงซั่งหวามองไปทางจ่านป๋าย

“ใช่ครับ ไม่ทราบว่าคุณหนิงรู้ชื่อผมได้อย่างไรครับ” จ่านป๋ายยิ้ม

หนิงซั่งหวามองไปที่ซีเหมินจินเหลียนเหมือนกำลังขบคิดอะไรบางอย่าง “หรือคุณจ่านจะไม่รู้ว่าบนโลกนี้ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่รู้สึกอิจฉาคุณที่สามารถอยู่ข้างกายเจ้าหญิงหยกได้?”

“ผมก็รู้สึกเป็นเกียรติมากครับ” จ่านป๋ายยิ้ม

“พวกเราไปดูกันข้างนอกเถอะครับ อย่ารบกวนคุณซีเหมินดูสินค้าเลย” หลังจากรู้ตัวตนของซีเหมินจินเหลียนแล้ว หนิงซั่งหวาก็ไม่ได้คอยเฝ้าระวังจับจ้องเหมือนเมื่อสักครู่อีก และไม่ได้แนะนำหินหยกอีกต่อไป เขาชักชวนให้จ่านป๋ายออกไป…ในใจก็รู้สึกเสียใจอยู่บ้าง ด่าตัวเองที่ไม่รู้เรื่องรู้ราว น่าจะถามชื่อของเธอตั้งแต่ตอนแรกด้วยซ้ำ

จ่านป๋ายมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน เห็นซีเหมินจินเหลียนส่งสายตาสื่อเป็นนัยว่าให้เขาออกไป ไม่นานเขาก็ตามหนิงซั่งหวาออกไปด้านนอก หนิงซั่งหวามีมารยาทมากขึ้นและเรียกให้ลูกสาวของเขานำผลหมากรากไม้มาต้อนรับจ่านป๋าย

เมื่อซีเหมินจินเหลียนรอให้หนิงซั่งหวากับจ่านป๋ายออกไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เธอก็เริ่มเพ่งสายตาไปยังหินหยกตรงหน้า เธอชอบหินหยกก้อนใหญ่ แน่นอนว่าต้องเริ่มจากก้อนใหญ่ก่อน

แต่ดูติดต่อกันหลายก้อนแล้วก็ยังทำให้เธอไม่พอใจ เหมือนที่หนิงซั่งหวาพูด ลักษณะของหินหยกพวกนี้ดีกว่าข้างนอกตั้งหลายร้อยเท่า สิ่งที่สำคัญก็คือเธอดูหินหยกมาทุกก้อนแล้ว ไม่มีหินไร้ค่าจริงๆ วิสัยทัศน์การขายหินหยกของคุณหนิงซั่งหวาคนนี้ถือว่าใช้ได้

แต่ในเวลาเดียวกันก็ไม่มีหินหยกอย่างที่เธอคาดหวังไว้ในใจ

เธอฉวยโอกาสนั่งไปบนหินหยกและเก็บหินหยกก้อนเล็กๆ ขึ้นมาชั่งน้ำหนักในมือ หินหยกก้อนนี้ใหญ่กว่ากำปั้นมือเล็กน้อย น่าจะไม่ถึงสองกิโลกรัม ผิวสีน้ำตาลแกมเทา ประสาทสัมผัสจากมือไม่เลว พื้นผิวราบเรียบ แต่เผยให้เห็นสีเขียว น่าจะเป็นชนิดเนื้อแก้ว

ซีเหมินจินเหลียนวิเคราะห์อยู่ในใจ ระหว่างที่คิดนั้นก็ใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่าน ผิวสีน้ำตาลแกมเทาค่อยๆ เลือนหายไป ปรากฏเป็นภาพสีเพลิงไฟอยู่ในนั้น…

“หยกไฟ?” ซีเหมินจินเหลียนงงงัน ในมือของเธอมีหยกสีแดงไม่น้อยเลย ไม่ว่าจะเป็นแดงกุหลาบ แดงเลือด แดงสีปัดแก้ม แต่สีแดงสว่างจ้าเหมือนกำลังสุมไฟอยู่นั้น เธอไม่เคยเห็นมาก่อน

เธอชอบสีแดงสดใสแบบนี้ ตรงกันข้ามไม่ค่อยที่จะสนใจหยกสีเขียวในตำนานเท่าไหร่

จากการวิเคราะห์ของเธอเมื่อสักครู่ เป็นชนิดเนื้อแก้วไม่ผิดเพี้ยน คริสตัลมีความละเอียดอ่อนมาก ความอิ่มน้ำเต็มตัว สดใสเปล่งปลั่ง เสียดายที่เล็กไปหน่อย เธอได้แต่รู้สึกเสียใจอยู่ในใจ แต่คิดกลับกัน เธอเป็นคนชอบหยกก้อนใหญ่ อย่างน้อยซื้อกลับไปเธอจะเอาไปตัดทำอะไรก็ได้ อยากจะทำเครื่องประดับหรือของตกแต่ง อยากจะแกะสละอะไรก็ไม่ต้องยำเกรงว่าวัตถุดิบจะไม่พอ

แต่ยิ่งหินหยกใหญ่ขึ้น ราคาก็ยิ่งสูงขึ้น ความเสี่ยงก็ยิ่งมาก ดังนั้นนักเดิมพันจำนวนหนึ่งจึงยอมเลือกซื้อสินค้าขนาดเล็กไปเดิมพัน ไม่กล้าใช้ของใหญ่มาเดิมพัน

หากนำไปทำเครื่องประดับก็ไม่จำเป็นต้องใช้หินหยกก้อนใหญ่

ซีเหมินจินเหลียนยกมุมปากอย่างชอบใจ นำหยกสีไฟวางอีกฝั่ง…อย่างน้อยวันนี้ก็ไม่ได้มาเสียเปล่า เลือกได้สักก้อนก็ยังดี

นั่งอยู่บนหินหยกอยู่อย่างนั้นด้วยสติเลื่อนลอย และมองไปยังหินหยกอีกสองก้อน เพียงแต่ลักษณะธรรมดาๆ มาก แต่ในนั้นมีก้อนหนึ่งที่เป็นเนื้อน้ำแข็งสีเขียวอ่อน ขนาดน่าจะประมาณสิบกว่ากิโลกรัม ผิวสีขาวทราย มีจุดหยกและเส้นลายหยก เกรงว่าถ้าจะซื้อ ราคาคงไม่ได้ถูกๆ

ซีเหมินจินเหลียนครุ่นคิดไปมา หนิงซั่งหวาคนนั้นรู้จักเธอ เรื่องราคาคงตกลงกันไม่ได้ง่ายๆ แน่…การเดิมพันหินย่อมมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้น หากไม่ใช่คนทำธุรกิจ เขาคงไม่ให้ดูสินค้าคุณภาพดีหรอก หากทำธุรกิจ เขาก็พร้อมนำสินค้าดีๆ ออกมาวางหลาให้ดู เพียงแต่ราคาสูง หากเจอเถ้าแก่ที่ไร้คุณธรรม คงได้ขึ้นราคาให้สูงลิ่วเป็นว่าเล่น ทำให้คนไม่กล้าซื้อกลับไป สุดท้ายเขารอให้นักธุรกิจไปแล้วค่อยเจียระไนตัดออกมาขายวัตถุดิบ

เพราะราคาเนื้อหยกกับหินหยก มันแตกต่างกันลิบลับ

สัมผัสไปที่ผิวสีขาวทรายอย่างเบาแรง ซีเหมินจินเหลียนก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มกล้ำกลืน การต่อรองราคาก็เป็นทักษะที่ต้องเรียนรู้ นำหินก้อนนั้นมาวางรวมกันไว้กับหยกสีไฟและยืนขึ้น เตรียมตัวเรียกหนิงซั่งหวามาเจรจาราคา

แต่ในระหว่างที่เธอลุกขึ้นกลับรู้สึกสับสน ภายในโกดังในบ้านมีหินหยกทั้งหมดแค่สิบกว่าก้อน เพราะตัดปัญหาเรื่องการมองตกหล่นเธอจึงมองทั้งหมดดูคร่าวๆ เธอลืมดูหินก้อนที่เธอหย่อนก้นนั่งลงไป

เมื่อก้มหน้าก้มตามองไปยังหินก้อนแบนราบ ลักษณะของหินหยกกลมรี ผิวสีเหลืองน้ำตาล อย่าพูดถึงเรื่องจุดหยกเส้นลายหยกเลย แม้แต่ผิวยังดูหยาบกร้านกว่าหินหยกอื่นๆ ไปอีกหนึ่งขั้น

แต่สายตาของหนิงซั่งหวาไม่น่าผิดพลาด หินหยกในนี้ไม่มีสักก้อนที่เป็นหินไร้ค่า หินหยกที่ดูไม่สะดุดตาถูกวางไว้ข้างในนี้มันต้องมีเค้ามูลอะไรบางอย่าง?

ในใจคิดไปแบบนั้น ซีเหมินจินเหลียนก็เอื้อมมือสัมผัสต่อไป ผิวทรายดูธรรมดา หยาบกร้านเหลือเกิน แม้จะเป็นหยกแต่ไม่น่าจะเป็นชนิดเนื้อแก้ว

ในใจของเธอได้สรุปไปแล้วคร่าวๆ ถ่ายทอดพลังในฝ่ามือให้ความร้อนไหลผ่าน ผิวสีเหลืองน้ำตาลค่อยๆ เลือนหายไป ข้างในเป็นหินสีขาวว่างเปล่าไม่ได้สวยงาม แต่ในเวลานี้ในก้นบึ่งของดวงตาเธอกลับปรากฏภาพหนึ่งที่แปลกประหลาด…

“นี่คืออะไรกัน?” ซีเหมินจินเหลียนมองไปที่หินหยกก้อนนั้นอย่างงุนงัน ข้างในหินหยกก้อนนั้นต้องมีอะไรบางอย่างแน่ๆ แต่ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตเหมือนในหยกราชางู ความสามารถในการมองทะลุผ่านของเธอพิสูจน์ได้แล้วว่าข้างในเป็นซากฟอสซิลหยก แต่นี่มันช่างมหัศจรรย์เกินไปแล้ว?

“นำมันกลับไปด้วยแล้วค่อยตัดออกมาวิจัยดูดีไหมนะ?” เส้นประสาทของเธอถูกกระตุ้นโดยไม่รู้ตัว ของเล่นนี้น่าสนุกเกินไปแล้ว ดูแล้วเหมือนเป็นต้นไม้?

เธอรู้ว่าภายใต้ท้องทะเลยังมีปะการัง หรือว่าข้างในหยกจะมีต้นไม้? น่าเสียดายที่ต้นไม้ในหยกนี่ไม่ได้สวยเท่าไหร่ สีน้ำตาลเทา แต่แค่มีความชุ่มชื่นราบเรียบพิเศษของหยกเท่านั้น

“หรือว่าต้นไม้ก็สามารถกลายเป็นซากฟอสซิลของหยกได้?” เธอเคลือบแคลงใจไม่หยุด หากตอนนั้นต้นไม้นี่อยู่ในการก่อตัวของหยกในตอนนั้นแล้วแข็งเป็นซากฟอสซิล แล้วทำไมหินหยกราชางูกับราชาหยก รวมถึงหินลายน้ำถึงมีสัตว์อยู่ข้างใน ไม่ได้เป็นซากฟอสซิลล่ะ?

แต่การที่สิ่งนี้ปรากฏตัว ก็พอพิสูจน์อะไรกับเธอได้ การก่อตัวของหยกในตอนแรกน่าจะเกิดบนเปลือกผิวโลก จากนั้นน่าจะได้รับการเคลื่อนไหวของเปลือกโลกถึงถูกฝังไว้ใต้พื้นโลก

หยกก้อนนี้ก่อตัวขึ้นได้อย่างไร? หากเป็นเพราะเรื่องของอุณหภูมิ ต้นไม้ต้นนี้คงไม่ได้เป็นซากฟอสซิล มีความเป็นไปได้อย่างหนึ่ง เป็นเพราะอุณหภูมิลดลงต่ำมาก…แช่แข็ง ถึงทำให้ต้นไม้ยังคงรักษาสภาพเดิมไว้อยู่ และช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมาได้กลายเป็นหยกซากไม้ฟอสซิล

แน่นอนว่าไม่ได้เห็นร่องรอยของใบไม้ สิ่งที่เหลือมีเพียงลำต้นกิ่งก้านที่แห้งแก่น ยากที่จะตัดสินได้ว่าข้างในเป็นต้นไม้อะไร หากอยากจะอาศัยต้นไม้ต้นนี้ในการดูปีก่อตัวของหยกในตอนนั้นก็ยังคงมีปัญหา

แม้จะไม่สวย แต่ฉันก็อยากจะนำมันกลับไปสำรวจ! ซีเหมินจินเหลียนพูดในใจ

เมื่อเลือกหินหยกอย่างดิบดี หลังจากนั้นก็ต้องไปถามเถ้าแก่หนิงซั่งหวาเพื่อถกเถียงต่อรองราคา พอเรียกหนิงซั่งหวามาแล้ว ซีเหมินจินเหลียนชี้ไปที่หินหยกก้อนใหญ่พร้อมพูดขึ้นว่า “คุณหนิงคะ หินหยกก้อนนี้ราคาเท่าไหร่คะ”