สถานที่ที่จิ่งเหิงปัวเยี่ยมชมเป็นลำดับแรกคือลานร่ายรำขับร้องด้านในวังหลวง ที่นั่นเป็นวงกลมแห่งหนึ่งซึ่งรอบลานปูด้วยกระเบื้องเคลือบสีเขียวน้ำทะเล พื้นลานใช้กระเบื้องเคลือบหลากสีก่อเป็นภาพสุริยันจันทรา 

 

 

“ออกแบบได้ไม่เลว” จิ่งเหิงปัววิจารณ์ว่า “เพียงแต่สี่ด้านไม่มีอัฒจันทร์ ตรงกลางขาดลูกเล่น” 

 

 

“อ้อ เจ้ามีความเห็นเช่นไร” กษัตริย์เทียนหนานมองไปรอบบริเวณ พลันรู้สึกว่าการร่ายรำเดี่ยวผู้เดียวไร้ผู้ชื่นชมคือเรื่องเปล่าเปลี่ยว ซ้ำรู้สึกว่าลานเต้นรำงามประณีตในยามปกตินั้นยังคล้ายแลดูว่างเปล่าเหลือเกิน 

 

 

“ข้ารู้สึกว่าท่านคือผู้ร่ายรำแลควรเป็นผู้ชมการร่ายรำเช่นกัน ได้ยินว่าท่านชอบตามหาโฉมงามในตลาดค้าทาสยิ่งนักหรือ ท่านควรให้เหล่าโฉมงามของท่านร่วมเสพสุขกับท่านด้วยสิ” จิ่งเหิงปัวเสวนาเรื่องใหญ่เป็นน้ำไหลไฟดับว่า “เช่นนั้น สี่ด้านแบ่งเป็นห้องส่วนตัวห้องเล็กแต่ละห้องละห้อง อืมห้องเล็กนั่นล่ะห้อยแพรบางด้านหลังมีตะเกียงประดับ ส่วนเพดานทำเป็นหลังคาครึ่งทรงกลมที่มีช่องโค้งน่าจะดีที่สุด ติดตั้งแสงตะเกียงที่สว่างทั้งทิวาราตรี ทั้งไข่มุกราตรีเอยผลึกแก้วที่หักเหรัศมีได้เอยย่อมนำมาใช้ได้ ท่านลองคิดดูสิว่ายามท่านร่ายรำ โคมระย้าผ่องอำไพจะสาดสะท้อนเครื่องประดับบนกายท่านจนทอประกายวิบวับดั่งเซียนดั่งแม่นางชาเขียว[1]ดั่งแม่นางดอกบัวขาว[2]ใช่หรือไม่ ท่านยังสามารถชมการร่ายรำโดยนั่งอยู่ตรงกลางลาน ให้เหล่าโฉมงามท่านร่ายรำในห้องส่วนตัวห้อยม่านแพรบางล้อมรอบนั้น จุดตะเกียงประดับบนผนังสว่างไสว ลองจินตนาการดูสิว่าแสงด้านหลังหลากสีสันผืนหนึ่งถูกแพรบดบังจนขมุกขมัว โฉมงามนับมิถ้วนหลังม่านแพรกำลังร่ายรำเพื่อท่าน หากไม่อยากร่ายรำท่านยังให้พวกเขาแสดงงิ้วได้ ให้พวกเขาวาดวางท่วงท่าหลากหลายที่ท่านชอบ ไม่ว่าท่านหันไปมุมใดล้วนมองเห็นเสน่ห์ที่แตกต่างกันได้…” 

 

 

“ดี!” กษัตริย์เทียนหนานสายตาทอประกายวิบวับ เหล่าขุนนางโดยรอบนึกถึงเสน่ห์งามเพริศแพร้วฉากหนึ่งนั้นล้วนอดจะเงยหน้าขึ้นมามิได้ สายตาเคลิบเคลิ้ม 

 

 

เหยียลี่ว์ฉียังคงลูบจมูกตนเองอยู่ 

 

 

พังหรือ 

 

 

… 

 

 

“ส่วนตรงกึ่งกลางลาน” จิ่งเหิงปัวกล่าวถึงการเสริมสวยแต่งหน้าระบำประดับเป็นน้ำไหลไฟดับว่า “เตียนโล่งอัปลักษณ์ ระบำดีเพียงใดยังต้องการอุปกรณ์ประกอบที่งดงาม พื้นดวงดาราทิวาราตรีของท่านนี้งดงามยิ่งทว่าเคลื่อนไหวเปลี่ยงแปลงมิได้ หากท่านเพิ่มกลไกใต้พื้นให้หมุนเวียนวนเรียงร้อยกลายเป็นรูปแบบที่ท่านต้องการได้ เช่น ดาวนักปราชญ์เจ็ดดวงเอย สุริยันจันทราร่วมเคลื่อนคล้อยเอย จากนั้นสร้างเวทีร่ายรำแห่งหนึ่งใต้พื้น ยามกลไกได้ตามต้องการเวทีเลื่อนขึ้นมา บนเวทีสร้างอุปกรณ์ที่ท่านใช้ร่ายรำหรือต้นไม้หรือดอกไม้ เช่น ดอกบัวผลึกแก้วดอกหนึ่งแย้มบานเชื่องช้า ท่านเยื้องกรายร่ายรำในนั้นจะงามเพียงใด…” 

 

 

“ข้าไม่ชอบผลึกแก้ว” กษัตริย์เทียนหนานเอ่ยแทรกขึ้นมา หันหน้าถามข้าราชบริพารข้างกายว่า “ในโรงเก็บของคล้ายมีบัลลังก์ดอกบัวทองคำ ทว่ารูปร่างคร่ำครึ…เจ้าชอบดอกไม้อะไร” นางถามจิ่งเหิงปัวโดยพลัน 

 

 

“ดอกอิงซู่[3] ดอกไม้นี้มีอยู่ที่นี่เช่นกัน รูปร่างเช่นร่างเดิมของดอกไม้มารนั้น” จิ่งเหิงปัวตอบโดยไม่คิดแม้แต่น้อยว่า “เป็นดอกไม้ควรจะเป็นอิงซู่ ทั้งงามลุ่มหลง งามเพริศแพร้ว งามล้ำล่มแคว้นพาคนสิ้นชีวา!” 

 

 

“ดี!” กษัตริย์เทียนหนานปรบมือเอ่ยว่า “จงมา ไปหลอมบัลลังก์ดอกบัวทองคำนั้น! หลอมเป็นดอกไม้มารดอกใหญ่หนึ่งดอก!” 

 

 

“ดอกไม้ต้องหมุนเวียนวนได้ จะให้ดีทุกคราที่วนหนึ่งรอบก็ผลิบานกลีบดอกกลีบหนึ่ง! เช่นนี้ผู้อยู่ในนั้นค่อยๆ ผุดเผยรูปร่างเพิ่มความรู้สึกลึกลับ เกสรจะให้ดีต้องแข็งแรงหน่อยจนปีนไปร่ายรำพลองเหล็กบนนั้นได้…” จิ่งเหิงปัวเพิ่มเติมอย่างตื่นเต้นดีใจ 

 

 

“ดียิ่งนัก! ทำเกสรกระเบื้องเคลือบสีแดงเข้มหรือผลึกแก้ว! ต้องแข็งแรง! ใต้แสงไฟยิ่งแวววาว!”กษัตริย์เทียนหนานเอ่ยชมไม่ขาดปาก 

 

 

เหล่าข้าราชบริพารรับโองการรีบเร่งนำไปปฏิบัติ กษัตริย์เทียนหนานเหลียวมองรอบด้าน นึกถึงลานเต้นรำที่ปรับปรุงเสร็จแล้วคงจะต้องงามตะลึงส่องประกายพร่างพราวทั่วอัฒจันทร์ อดจะสีหน้าปริ่มเปรมหายใจออกเฮือกหนึ่งไม่ได้ ยิ้มให้จิ่งเหิงปัวครั้งหนึ่ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มครั้งหนึ่งเช่นกัน สตรีรักสวยรักงามอย่างยิ่งสองคนมาเจอกัน ขณะนี้กลับค้นหาจิตวิญญาณสายหนึ่งร่วมกันได้ เจตนาร้ายเมื่อครู่จืดจางไปมากนัก แม้กษัตริย์เทียนหนานยังคงไม่กล้าแก้มัดให้นางแต่รับสั่งให้เปลี่ยนมาใช้เส้นไหมมัดนางเพื่อหลีกเลี่ยงทิ้งรอยมัดไว้ 

 

 

“ต้าหวัง พาข้าไปชมห้องแต่งหน้าและห้องลองอาภรณ์ของท่านเถิด ระบำบางชนิดต้องใช้อาภรณ์พิเศษ ข้าต้องแนะนำท่านหน่อย” จิ่งเหิงปัวชำเลืองมองห้องน้อยพวกนั้นพลางแนะนำกษัตริย์เทียนหนาน 

 

 

“ได้”กษัตริย์เทียนหนานนำพานางและคนกลุ่มหนึ่งนั้น ขณะกำลังจะก้าวเท้า จิ่งเหิงปัวยิ้มพราวขึ้นมาแล้ว 

 

 

“ต้าหวังของข้า ท่านเข้าใจความสำคัญของความรู้สึกแปลกใหม่หรือไม่ ระบำงามตะลึงพรึงเพริดหนึ่งครั้ง การแต่งโฉมพิเศษหนึ่งครา อาภรณ์อัศจรรย์หนึ่งชุดกระทั่งรองเท้าพิเศษไร้ผู้ใดเหมือนหนึ่งคู่ล้วนเป็นความงดงามครั้งแรกครั้งเดียวของคนผู้หนึ่ง ก่อนจะได้สายตาและความสนใจที่รวมกันจนมากเพียงพอเหตุใดจึงให้ผู้อื่นมองเห็นได้โดยง่าย” 

 

 

กษัตริย์เทียนหนานหยุดฝีเท้า 

 

 

สตรีนางนี้กำเริบเสิบสานร้ายกาจน่าเกรงทว่ามิได้ด้อยปัญญา รู้สึกได้รำไรว่าในวาจานี้มีความจริงของชีวิตอยู่บ้าง ครุ่นคิดชั่วครู่พยักหน้าเอ่ยว่า “พวกเจ้ามิต้องตามมา” 

 

 

จิ่งเหิงปัวยิ้มแย้ม 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีตามติดไม่ห่างสักฝีก้าวน่ารำคาญชะมัด ถ้าไม่สลัดเขาออกไปจะล้างสมองแม่เซ่อซ่านางนี้ได้อย่างไร 

 

 

“ต้าหวัง มีผู้บุกเข้าประตูวัง!” เงาคนสายหนึ่งพุ่งมาดั่งสายฟ้า รีบเร่งโค้งกายเบื้องหน้ากษัตริย์เทียนหนาน ท่าทางจนตรอกทั้งร่างหายใจหอบฮืดฮาด 

 

 

“คนเยอะเยี่ยงนี้ขวางคนผู้เดียวไว้มิได้หรือ” กษัตริย์เทียนหนานตกใจอย่างยิ่งเอ่ยว่า “ไปเฝ้าเบื้องหน้าไว้ให้หมด! อย่าให้เขาบุกเข้ามา! จับเป็น! จำไว้ว่าจับเป็นนะ! อย่าทำให้ใบหน้าของเขาเป็นรอยเชียวนะ!” 

 

 

กรีดให้ลายพร้อยไปเลย! จิ่งเหิงปัวภาวนาอย่างชั่วร้าย 

 

 

ถ้าลายพร้อยมหาเทพก็ไม่หยิ่งยโสแล้ว! 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีหันหลังมองไปยังประตูวัง ลุกขึ้นพาคนไปแล้วโดยอัตโนมัติ คงจะไม่อยากให้กงอิ้นบุกเข้ามาเช่นกัน ครุ่นคิดจะต้านเขาไว้สักครั้ง 

 

 

เขาเดินไปพลางลูบจมูกไปพลาง มองจมูกของเหล่าบุรุษข้างกายตลอดเวลา 

 

 

… 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นเหยียลี่ว์ฉีจากไปแล้ว ชิดใกล้กษัตริย์เทียนหนานอย่างสนิทสนม 

 

 

“ต้าหวัง” นางกดเสียงแผ่วเบากล่าวว่า “ท่านงดงามเปี่ยมปัญญาเช่นนี้ เรียนรู้เรื่องเหล่านี้รวดเร็วยิ่งนัก แต่ว่านะข้าเตือนท่านสักหน่อย ศิลปะที่ข้าสอนท่านเพียงพอปราบปรามบุรุษทั่วทุกแหล่งหล้า ทว่าหากท่านหวังเพียงผูกคอสิ้นชีพใต้ต้นไม้คอเอียงต้นหนึ่ง[4] ข้ารู้สึกว่าท่านเรียนได้ก็ไม่คุ้มค่าแล้ว” 

 

 

“เจ้าหมายความว่ากระไร” กษัตริย์เทียนหนานสายตาผละกลับมาจากกายเหยียลี่ว์ฉีโดยพลัน ถามอย่างระแวดระวัง 

 

 

“เช่นนั้น ข้าจะบอกท่านว่าหากท่านเชื่อวาจาของข้า จะให้ดีถอนกำลังองครักษ์เอยกองกำลังเอยพวกนั้นที่ปากประตูวังของท่านกลับมา” คางของจิ่งเหิงปัวพยักพเยิดไปทางประตูวังกล่าวว่า “มิต้องสิ้นเปลืองเรี่ยวแรง หากมีผู้สิ้นชีพขึ้นมาสุดท้ายแล้วไม่เหลืออะไรสักอย่าง ยังถูกผู้อื่นแย่งบ้านไปทำรังอีก” 

 

 

“อืม” กษัตริย์เทียนหนานขมวดคิ้วที่กันจนเรียวบางเอ่ยว่า “เจ้าหมายความว่ากระไร เอ่ยให้ชัดแจ้ง” 

 

 

“ต้าหวัง ข้าถามท่านหน่อย” จิ่งเหิงปัวเขยิบไปใกล้นางกล่าวอย่างลึกลับซับซ้อนว่า “พ่อรูปงามผู้นี้ท่านรู้หัวนอนปลายเท้าหรือไม่” 

 

 

“เขาเอ่ยว่าเขานามว่าเหยียลี่ว์ฉี เป็นพ่อค้าเศรษฐีจากแคว้นต้าเยียน ออกจากชายแดนมาค้าขายสินค้าทว่าถูกปล้น ตนเองได้รับบาดเจ็บ ผู้ติดตามสิ้นชีพทั้งหมดจึงพเนจรมาเขตซีเอ้อ ถูกข้าพบเข้าช่วยกลับมาโดยมิได้ตั้งใจ กระไรหรือ มีสิ่งใดผิดแผก เจ้าอย่าได้คิดจะยุยงความสัมพันธ์ของข้ากับคุณชายเหยียลี่ว์ มิฉะนั้นระวังข้าจะเอาเจ้าไว้มิได้!” ประโยคสุดท้ายสีหน้าวาจาคร่ำเคร่ง ไอสังหารสะสมกลางหว่างคิ้ว 

 

 

เสียดายว่าสำหรับบางคนที่ไม่ใส่ใจอะไรเลยแล้วเปรียบเหมือนลมเย็นพัดผ่านหู จิ่งเหิงปัวขยับเข้าไปใกล้ขึ้น 

 

 

“เรื่องราวมั่วซั่ว! เชื่อมิได้แม้แต่คำเดียว!” นางกล่าวอย่างมั่วซั่วว่า “ต้าหวัง ท่านไม่สังหารข้าซ้ำยังทำดีต่อข้า ข้าซาบซึ้งยิ่งนักจึงย่อมเสี่ยงตายเอ่ยความจริงกับท่าน เหยียลี่ว์ฉีผู้นี้นอกจากนามนั้นที่เป็นเรื่องจริงที่เหลือล้วนเป็นเรื่องลวง เขามิใช่ชาวต้าเยียนทว่าเป็นชาวตงถัง ภูมิหลังเป็นจารชน ภายหลังทรยศพรรคเพราะความรักถูกพรรคไล่ล่าสังหารสุดขอบฟ้าจึงหนีมาตลอดทางจนถึงซีเอ้อ เขาถูกไล่ล่าสังหารจนเหน็ดเหนื่อยแล้วจึงคิดจะหาสถานที่ที่ปกป้องเขาได้ ทว่าพรรคของเขานั้นทั้งยิ่งใหญ่ทั้งร้ายกาจ คนธรรมดาคุ้มครองเขามิได้ เขาเคยไปเป็นแม่ทัพแคว้นต้าเยียน เคยไปเป็นผู้อาวุโสเมืองอวิ๋นเหลย เคยไปเป็นราชบุตรเขยแคว้นเหยา แต่เพราะว่าไม่มีอำนาจที่แท้จริงจึงอยู่ได้ไม่นาน…” 

 

 

“ราชบุตรเขย” กษัตริย์เทียนหนานขัดคำพูดของนาง เสียงเพี้ยนไปเสียแล้ว 

 

 

“ราชบุตรเขย” จิ่งเหิงปัวพยักหน้าจริงจังกล่าวว่า “ทว่าต้าหวังท่านวางใจ ตำแหน่งราชบุตรเขยของเขานี้เป็นเรื่องลวง โอ๊ยแท้จริงแล้วเขาเป็นรับนะ เรื่องนั้นน่ะไม่ไหวหรอก…” 

 

 

“ไม่ไหวหรือ” กษัตริย์เทียนหนานเบิกตาโพลง 

 

 

“ชู่…” จิ่งเหิงปัวเบิกตาโพลงเช่นกัน กล่าวว่า “ให้เขาได้ยินข้าเสร็จแน่!” 

 

 

“เจ้าเอ่ยวาจาไร้แก่นสาร!” 

 

 

“ไม่ไร้แก่นสารหรอก…” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีมองกษัตริย์เทียนหนานด้วยหางตากล่าวว่า “เขารู้จะกับท่านสักพักหนึ่งแล้วใช่หรือไม่ ท่านงดงามตรึงใจเช่นนี้ เขามีไมตรีลึกล้ำเป็นห่วงเป็นใยท่านเช่นนี้ ตามปกติควรจะเปลวเพลิงเจือเชื้อไฟลามลุกทั่วเตียงเนิ่นนานแล้ว พวกท่านลามลุกหรือยัง” 

 

 

“นี่ด้วยเพราะ…” กษัตริย์เทียนหนานพอจะเอ่ยวาจาก็ชะงักไป 

 

 

“เขาหาเหตุผลร้อยพันมาเลี่ยงหลีกใช่หรือไม่ เช่นบาดแผลยังไม่หายดีเอยปวดศีรษะเหลือเกินเอย” จิ่งเหิงปัวหัวเราะแผ่วเบาครั้งหนึ่งกล่าวว่า “นี่ ท่านเชื่อแล้วหรือ เขามีวรยุทธสูงเช่นนั้นจะถูกโจรขโมยธรรมดาไล่ล่าสังหารจนโดดเดี่ยวผู้เดียวได้เช่นไร เขามีวรยุทธสูงเช่นนั้นจะบาดเจ็บจนแม้บุรุษก็เป็นไม่ไหวจริงหรือ” 

 

 

จิ่งเหิงปัวพิงเก้าอี้ชำเลืองมองสีหน้าอึมครึมของกษัตริย์เทียนหนาน เห็นการโจมตีจิตใจได้ผลจึงหัวเราะแผ่วเบาอย่างเฉื่อยเนือย 

 

 

ตอนนี้เหยียลี่ว์ฉีคงไม่สามารถเริงร่าเหมือนเสือเหมือนมังกรแล้วล่ะ 

 

 

กงอิ้นเคยเอ่ยว่าอาวุธลับของเขาไม่ใช่สิ่งที่คนธรรมดาจะรับไหว ในครึ่งปีนี้เหยียลี่ว์มิอาจสูญเสียพลังจิงชี่อีก มิฉะนั้นจะเป็นอันตรายต่อชีวิต 

 

 

เหยียลี่ว์ฉี ฉันมอบการพานพบงดงามฉากหนึ่งให้นาย ต้องการหรือไม่ต้องการ 

 

 

นางพิงบนหัวไหล่ของกษัตริย์เทียนหนานผู้กำลังเงียบงัน กระซิบแผ่วเบาข้างหูนางว่า “จะบอกความลับยิ่งใหญ่สะเทือนทั่วพื้นปฐพีให้ เหยียลี่ว์ฉีเป็นบุรุษแลมิใช่บุรุษ เขาเป็นฝ่ายรับ ฝ่ายรับคือคณิกาชายในหอคณิกาชายเช่นนั้น ท่านเข้าใจสินะ เขาคู่กับไอ้หน้ามนชุดขาวที่บุกวังข้างนอกผู้นั้น ผู้นั้นถึงเป็นรักแท้คู่รักคู่กัดของเขา พวกเขาสองคนลักพาตัวข้ามาวางแผนเรื่องราววันนี้ทั้งสิ้น ให้ข้าเข้าใกล้ข้างกายท่านลอบทำร้ายท่าน พวกเขาสองคนร่วมมือกันทั้งข้างนอกข้างใน ผู้ชุดขาวสังหารผู้มีฝีมือสูงของท่านจนสิ้นอยู่ข้างนอก ส่วนเหยียลี่ว์ฉีเปิดประตูจากข้างใน พวกเขายึดวังหลวงของท่าน แย่งอำนาจของท่าน ซ้ำยังอาศัยวังเทียนหนานของท่านสะสมกำลังต่อต้านพรรค นับแต่บัดนี้คู่รักเพศเดียวกันคู่หนึ่งยึดครองตำแหน่งกษัตริย์เทียนหนานของท่าน ร่วมเรียงเคียงคู่ พลอดรักทั้งทิวาราตรี…” 

 

 

นอกประตูวังกงอิ้นสั่นสะท้านครั้งหนึ่งโดยพลัน 

 

 

ในประตูวังเหยียลี่ว์ฉีลูบแขนพึมพำกับตนเองว่า “ไฉนจึงรู้สึกหนาวขึ้นมา…” ครุ่นคิดไปมาแล้วคลึงจมูกอีกครั้ง 

 

 

… 

 

 

“วาจาที่เจ้าเอ่ยมาข้าไม่เชื่อแม้แต่คำเดียว!” กษัตริย์เทียนหนานโต้ตอบรุนแรง 

 

 

รุนแรงก็ถูกแล้ว น้ำเสียงเข้มแข็งมักจะกล่าวเพื่อให้กำลังจิตใจอ่อนแอภายในน่ะ 

 

 

แกล้งเหยียลี่ว์ฉีสักนิดจัดการกงอิ้นสักหน่อย ถ้าพี่ต้าปัวของเราได้หนีอีกครั้งแผนการนี้ก็สมบูรณ์ไร้ที่ติแล้ว 

 

 

“เชื่อหรือไม่ ลองดูสิ” จิ่งเหิงปัวยิ้มตาหยีตีมือของนางกล่าวว่า “เช่นนั้น อย่าสิ้นเปลืองผู้มีฝีมือสูงของท่านปะทะกับไอ้หน้ามนอีกเลย ฟูมฟักผู้ยอดเยี่ยมผู้หนึ่งไม่ง่ายนะท่าน มิสู้ปล่อยเขาเข้ามาดูสิว่าเขาจะทำเช่นไร ที่นี่เป็นถิ่นของท่าน ท่านกลัวอะไร จะได้สังเกตความสัมพันธ์ลับระหว่างเขากับเหยียลี่ว์ฉีพอดีมิใช่หรือ คืนนี้ฉวยโอกาสพาเหยียลี่ว์ฉีผู้เป็นฝ่ายรับน้อยไปนอนด้วยอีกครั้ง หากเขาไม่นอนกับท่าน เขาต้องมีปัญหาแน่!” 

 

 

กษัตริย์เทียนหนานเงียบงัน สีหน้าอึมครึมไม่สงบ ทั้งปรารถนาบางส่วนว้าวุ่นบางส่วน ทั้งลังเลบางส่วนเ**้ยมโหดบางส่วน 

 

 

จิ่งเหิงปัวรอคอยพลางจัดการเวลาว่างไปด้วย นางรู้สึกว่าสตรีข้างหน้านางนี้หลงตัวเองใจว้าวุ่น ขี้ระแวงความรู้สึกไว คำแนะนำของนางตรงกับความปรารถนาของนางพอดี กษัตริย์เทียนหนานต้องตะครุบเหยื่อแน่นอน 

 

 

“เช่นนั้นเหตุใดเจ้าไม่ลองเองเล่า” กษัตริย์เทียนหนานครุ่นคิดเนิ่นนานคล้ายสะกิดใจ เอ่ยโดยพลันว่า “ในเมื่อเจ้าเอ่ยว่าเขาสองคนเป็นคู่กันล้วนมิได้สนใจในสตรี เช่นนั้นเจ้าพิสูจน์ให้ข้าเห็นเสียก่อน! เจ้าเชี่ยวชาญวิถีแห่งสตรีเช่นนี้ หากทุ่มเทสำแดงกำลังจนสิ้น บุรุษย่อมไม่มีเหตุผลจะปฏิเสธ หากใช้เสน่ห์แห่งสตรีของเจ้าจนสิ้นแล้วยังมิอาจทำให้ไอ้หน้ามนนั่นลุ่มหลงได้ ข้าจะเชื่อเจ้า! ปล่อยเจ้าไป สังหารเหยียลี่ว์ฉี ปกป้องเจ้า เชิญเจ้าเป็นนางข้าหลวงนางแรกของข้า มิเช่นนั้น…” เสียงนางเปลี่ยนเป็นเย็นชาน่าครั่นคร้ามดังมีดเอ่ยว่า “เจ้าจงจำไว้ว่าข้ารังเกียจผู้ที่หลอกลวงข้าเป็นที่สุด จงจำไว้ว่าที่นี่คือถิ่นของข้า หากเจ้าโกหกข้า ข้าจะต้องทุ่มเทกำลังทั้งสิ้นสังหารเจ้าเสีย!” 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] แม่นางชาเขียว คำแสลงสมัยใหม่ เปรียบเปรยหญิงสาวที่ดูเรียบร้อย ใสซื่อบริสุทธิ์ อ่อนต่อโลก แต่มักมากในกาม 

 

 

[2] ดอกบัวขาว คำแสลงสมัยใหม่ เปรียบเปรยหญิงที่ภายนอกซื่อใสบริสุทธิ์เช่นดอกบัว แต่แท้จริงมีพฤติกรรมมัวหมอง คิดเรื่องไม่ดีงาม 

 

 

[3] ดอกอิงซู่ หรือดอกฝิ่น ชื่อวิทยาศาสตร์ Papaver somniferum 

 

 

[4] ผูกคอสิ้นชีพใต้ต้นไม้คอเอียงต้นหนึ่ง อุปมาว่าชายและหญิงไม่เหมาะสมกันทั้งสองฝ่าย