เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังนั่งหลับตาเอนกายพักผ่อนอย่างสบายใจอยู่บนเก้าอี้ พลันรู้สึกเสียวสันหลังวาบขึ้นมา ตกใจลืมตาขึ้น ชะงักงันไปชั่วครู่ ยื่นมือไปแตะหน้าผากตัวเอง ก็ไม่ได้ผิดปกติอะไร จึงพึมพำเสียงเบาว่า “ไม่ได้ป่วยนี่ ทำไมอยู่ๆ รู้สึกหนาววูบขึ้นมาล่ะ”

 

 

เมื่อชิงหลวนและจูหลีที่เฝ้าอยู่ข้างๆ เห็นท่าทางของนาง จึงถามเสียงเบาด้วยความห่วงใยว่า “นายหญิง ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าเจ้าคะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวส่ายหน้า “เปล่า แค่อยู่ๆ ก็รู้สึกหนาวน่ะ”

 

 

หลังจากที่หวงฝู่อี้เซวียนพึมพำด้วยความโมโหเสร็จ ความคุกรุ่นในใจก็ได้ระบายออกไป จึงหลับตาลงอีกครั้ง ผ่อนคลายตัวลง แล้วก็ผล็อยหลับไป

 

 

เมิ่งซื่อรู้สึกสงสารอี้เซวียน เห็นว่าใช้เวลาเดินทางกลับมาบ้านแค่เพียงวันเดียว ไม่เพียงจะไม่ได้พักผ่อน ก็คงไม่ได้กินอิ่มด้วย เมื่อฟ้ามืดลง นางก็เดินไปห้องครัว เริ่มทำอาหาร ทั้งที่ยังไม่ถึงเวลา

 

 

ซุนเชี่ยนเข้าใจความรู้สึกของเมิ่งซื่อ จึงตามไปช่วยนาง

 

 

แม่ยายและสะใภ้ทั้งสองวุ่นอยู่ในครัว จนทำอาหารเสร็จ เมิ่งซื่อจึงสั่งให้เมิ่งเสียนไปเรียกอี้เซวียนมาทานข้าว และให้ซุนเชี่ยนไปเฝ้าแทนเมิ่งเชี่ยนโยว

 

 

ในระหว่างนั้น จางลี่แม่ลูกก็ตื่นมาอีกครั้งหนึ่ง ทานยาดื่มซุปโสมแล้วจึงหลับไปอีก

 

 

หลังจากที่ซุนเชี่ยนมา นางก็ให้เมิ่งเชี่ยนโยวกลับบ้านไปทานข้าว ตัวนางเองมาเฝ้าจางลี่แม่ลูกคู่นี้แทน

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวห้ามนาง สั่งชิงหลวงและจูหลี “พวกเจ้าอยู่เฝ้าที่นี่ ข้าทานข้าวแล้วจะมาช่วยดูแทนต่อ”

 

 

ทั้งสองขานรับ เมิ่งเชี่ยนโยวและซุนเชี่ยนกลับไปพร้อมกัน

 

 

อี้เซวียนถูกเมิ่งเสียนปลุกให้ตื่น เมื่อล้างหน้าเสร็จก็เดินไปห้องครัวทานข้าว

 

 

ในนี้ไม่มีคนนอกอยู่ บ้านตระกูลเมิ่งก็ไม่เห็นว่าเขาเป็นคนนอก ทุกคนต่างนั่งลงตามอัธยาศัยเหมือนอย่างตอนที่เขาเคยอยู่ที่นี่ เพื่อรอเขามาทานข้าว

 

 

มีเพียงเด็กน้อยเมิ่งจาวที่ไม่เคยเจอเขา เด็กน้อยจ้องมองเขาด้วยความสงสัยตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามาในครัว

 

 

อี้เซวียนเห็นอายุของเขา เดาว่าเป็นลูกชายของเมิ่งเสียน จึงโบกมือทักทาย “เส้าเอ๋อร์ มาหาลุงสิ”

 

 

เส้าเอ๋อร์ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเดินเข้าหาอย่างไม่ลังเล

 

 

อี้เซวียนถอดหยกที่อยู่ข้างเอวออก ยื่นให้เขา “ลุงรีบมาไปหน่อย ไม่ได้เตรียมของขวัญให้เจ้า ถือซะว่าข้าให้หยกนี้กับเจ้านะ”

 

 

เส้าเอ๋อร์หันไปมองเมิ่งเสียน

 

 

เมิ่งเสียนรีบห้าม “ปีก่อนๆ เจ้าฝากของขวัญกับโยวเอ๋อร์มาให้เขาเยอะพอแล้ว หยกก้อนนี้หลานรับไว้ไม่ได้หรอก”

 

 

ซุนเชี่ยนก็รีบเข้ามาห้าม

 

 

“พี่ใหญ่ ซ้อใหญ่” อี้เซวียนยิ้มและพูดว่า “หยกก้อนนี้ไม่มีค่าอะไรมากหรอก ให้เส้าเอ๋อร์เก็บไว้เถอะขอรับ”

 

 

เมิ่งเสียนและซุนเชี่ยนหวังจะปฏิเสธอีก เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นว่า “พี่ใหญ่ เห็นแก่ความตั้งใจของอี้เซวียนเขานะ ให้เส้าเอ๋อร์รับไว้เถอะ”

 

 

เมิ่งเสียนจึงพยักหน้า

 

 

หลังจากเส้าเอ๋อร์ยื่นมือไปรับหยกอย่างดีใจ พูดเสียงสดใสว่า “ขอบคุณท่านลุงขอรับ” ก็ถือหยกวิ่งกลับไปข้างๆ เมิ่งเชี่ยนโยว นางอุ้มเขาขึ้น วางลงบนเก้าอี้ข้างๆ หยิบหยกที่อยู่ในมือเขาคล้องใส่บริเวณเอวเขา ลูบหัวเขาและพูดว่า “ทานข้าวเถอะ”

 

 

ทั้งบ้านทานข้าวกันอย่างมีความสุข เมิ่งซื่อและซุนเชี่ยนรวมถึงเมิ่งเชี่ยนโยวเก็บกวาดอยู่ในห้อง ส่วนเมิ่งเอ้ออิ๋น เมิ่งเสียน และเมิ่งเจี๋ยก็นั่งพูดคุยกับอี้เซวียนที่เรือนหลัก

 

 

อี้เซวียนเล่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นในจวนอ๋องช่วงสองสามปีนี้อย่างผ่อนหนักผ่อนเบาให้พวกเขาฟัง เล่าจบ ก็ถามความเป็นอยู่ของเมิ่งเจี๋ย

 

 

ในระหว่างที่พวกเขาพูด เมิ่งเจี๋ยได้แต่นั่งนิ่งมองเขา ไม่ได้พูดอะไร จนในที่สุดอี้เซวียนถามถึงเขา จึงเผยรอยยิ้ม พูดขึ้นว่า “ปีหน้าท่านอาจารย์ให้น้องสอบถงเซิง[1]แล้วขอรับ”

 

 

เมิ่งเจี๋ยปีนี้อายุสิบเอ็ด อายุไม่ต่างจากตนในตอนนั้นมาก หากสอบถงเซิงผ่าน บ้านเมิ่งก็จะมีโอกาสสร้างชื่อเสียงอีก อี้เซวียนยิ้มและถามว่า “มั่นใจแค่ไหน”

 

 

“ท่านอาจารย์บอกว่า จากระดับความรู้ที่น้องมีตอนนี้ไม่น่าเป็นปัญหาขอรับ” เมิ่งเจี๋ยยืดอกพูดขึ้น

 

 

เมื่อเห็นท่าทางอวดดีของเขา อี้เซวียนยิ้มแล้วให้สัญญาว่า “หากเจ้าสอบถงเซิงผ่าน ข้าจะส่งเจ้าไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน”

 

 

เมิ่งเจี๋ยเบิ่งตาโต ถามอย่างดีใจแต่ก็ไม่แน่ใจว่า “จริงหรือขอรับ พี่อี้เซวียน พี่รักษาคำพูดใช่ไหมขอรับ หากน้องสอบถงเซิงผ่าน พี่จะให้น้องไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยนจริงๆ ใช่ไหม”

 

 

พยักหน้า ยิ้มและสัญญา “พี่อี้เซวียนรักษาคำพูด หากเจ้าสอบถงเซิงผ่าน จะส่งไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน”

 

 

เพราะว่ายังเป็นเด็ก จึงดีใจจนอดไม่ได้ที่จะกระโดดโลดเต้น “พ่อ พี่ใหญ่ พวกท่านได้ยินแล้วใช่ไหม พี่อี้เซวียนตกลงจะส่งลูกไปเรียนที่กั๋วจื่อเจี้ยน”

 

 

กั๋วจื่อเจี้ยนเป็นสถาบันแบบไหน ท่านอาจารย์ที่สอนไม่เพียงแต่จะมีความรู้กว้างขวาง ศิลปะทั้งสี่แขนง [2] กำลังวังชาอย่างกังฟู ขี่ม้า ยิงธนู ทุกอย่างของที่นี่มีอาจารย์สอนเฉพาะทางหมด นั่นเป็นสถานที่ที่ผู้มีเชื้อพระราชวงศ์เท่านั้นจึงจะเข้าไปได้ เมิ่งเอ้ออิ๋นและเมิ่งเจี๋ยได้ยินดังนั้นก็ดีใจมาก อี้เซวียนกลับยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “พี่หมายถึงหลังจากเจ้าสอบผ่านถงเซิงแล้วนะ หากไม่ผ่าน ก็ไม่มีโอกาสนี้นะ”

 

 

เมิ่งเจี๋ยรีบพยักหน้า “พี่อี้เซวียนวางใจเถอะขอรับ น้องสอบผ่านแน่นอน”

 

 

เมิ่งซื่อและซุนเชี่ยนเก็บกวาดห้องครัวเสร็จแล้ว เดินออกมา ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักจากในบ้าน ทั้งสามจึงรีบเดินเข้าไป ยิ้มแล้วถามว่า “พวกเจ้าคุยอะไรกันอยู่เหรอ สนุกสนานจริงเชียว”

 

 

เมิ่งเจี๋ยบอกเรื่องที่อี้เซวียนสัญญาไว้ให้พวกเขาฟังอย่างดีอกดีใจ

 

 

แม้ไม่รู้ว่ากั๋วจื่อเจี้ยนดีมากเพียงใด แต่เห็นทุกคนดีใจแบบนี้ เมิ่งซื่อก็ดีใจตามด้วย

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองอี้เซวียนแวบหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร

 

 

อี้เซวียนเหมือนจะรู้ว่านางกำลังคิดอะไร พูดขึ้นว่า “วางใจเถอะ ข้ามีคนช่วย ไม่มีใครกล้ารังแกเขาหรอก”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนเรื่อง พูดเชิงใบ้ว่า “ข้าจะไปที่เรือนพี่รองดูแลลี่เอ๋อร์สองแม่ลูก เจ้าจะไปหาพี่รองและซ้อรองหน่อยไหม”

 

 

ผ่านวันชิวอิกไปแล้ว เมิ่งฉีรับหวังเยียนและเซิ่งเอ๋อร์กลับมาแล้ว ไม่อยู่ที่นี่

 

 

อี้เซวียนรู้ว่านางกำลังบอกใบ้ หยักหน้า ลุกขึ้นพูดว่า “วันนี้คนเยอะ ไม่ได้คุยกับพี่รองเลย ข้าไปพร้อมเจ้าแล้วกัน จะได้เจอซ้อรองกับลูกนางด้วย”

 

 

เมื่อตอนที่อี้เซวียนจากไป เมิ่งฉียังไม่ได้แต่งงาน เมื่อเขาพูดเช่นนี้ ก็ไม่มีใครเอะใจอะไร

 

 

ทั้งสองเดินออกไป

 

 

ฟ้ามืดมน ไม่มีแม้แต่แสงและเงาคน เมื่อออกจากบ้าน อี้เซวียนก็จูงมือเมิ่งเชี่ยนโยว โอบนางเดินเข้าไปในความมืด พูดเสียงเบาข้างหูนางว่า “ท่านแม่จัดแจงให้ข้านอนห้องฝั่งตะวันตกของท่านลุงคนที่สี่ เจ้าค่อยตามมาตอนดึกแล้วกัน”

 

 

เมื่อได้ยินเขาพูดจาคลุมเครือด้วยน้ำเสียงเช่นนี้ หน้าเมิ่งเชี่ยนโยวก็ร้อนผ่าว ใช้ศอกกระทุ้งเบาๆ ไปที่ตัวเขา ตอบเสียงเบาว่า “รู้แล้ว”

 

 

อี้เซวียนอดใจไม่ไหวก้มลงหอมแก้มนาง แล้วจึงปล่อยนาง เดินจูงมือกันจนถึงบ้านเมิ่งฉี

 

 

บ่าวหญิง คนใช้ในเรือนเห็นทั้งสองคนเดินจูงมือกันมา ต่างก้มหน้าหน้าแดงพร้อมคารวะ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยังคงหน้าบางเกินไป คิดจะสลัดมือออก แต่อี้เซวียนเหมือนรู้ความคิดนาง จับมือนางแน่น นางจะสลัดอย่างไรก็สลัดไม่ออก เชี่ยนโยวหันขวับไปมองเขา ใช้สายตาบอกเขาว่าเจียมตัวหน่อย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนยิ้มให้นางอย่างเย้าแหย่ ยังคงไม่ปล่อยมือ

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเลี่ยงไม่ได้ จึงเดินจูงมือเขาเข้าไปเรือนของเมิ่งฉี

 

 

อาการบาดเจ็บของจางลี่สองแม่ลูกดีขึ้น เมิ่งฉีก็ไม่ต้องคอยกังวลอยู่วันยันค่ำ ตอนนี้กำลังกอดและหยอกเล่นกับเซิ่งเอ๋อร์อยู่

 

 

ทั้งสองเข้ามาถึงตัวเรือน เมื่อบ่าวหญิงที่เฝ้าอยู่ตรงประตูเห็นท่าทางที่สง่าผ่าเผย ท่าทีสูงส่งของหวังฝู่อี้เซวียนแล้ว ก็ชะงักไปครู่หนึ่ง รายงานอย่างรนรานว่า “คุณชาย คุณหญิง มีแขกผู้มีเกียรติมา!”

 

 

เมิ่งฉีและหวังเยียนที่อยู่ในห้องได้ยินเสียงบ่าวหญิงรายงานอย่างรนรานก็ชะงักไปครู่หนึ่ง สบตากัน รีบออกไปต้อนรับแขก

 

 

ยังไม่ทันที่ทั้งสองจะเดินถึงประตู เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะแล้วพูดว่า “พี่รอง ซ้อรอง ข้ากับอี้เซวียนเอง แขกผู้มีเกียรติอะไรที่ไหนเล่า”

 

 

เมื่อนางพูดจบ สามีภรรยาเมิ่งฉีเดินถึงหน้าประตูแล้ว เมิ่งฉียังดี แต่หวังเยียนเพิ่งเคยเจออี้เซวียนครั้งแรก เมื่อเห็นรูปลักษณ์อันหล่อเหลาของเขา ก็ตะลึงงัน แล้วรีบทักทายอย่างคนสนิทว่า “น้องเล็กกับอี้เซวียนเองเหรอ ข้างนอกหนาว รับเข้ามานั่งข้างในเถอะ”

 

 

เมื่อได้ยินน้ำเสียงเป็นธรรมชาติและเป็นกันเอง อี้เซวียนเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ก่อนจะหลบสายตา ขานเรียกอย่างมีมารยาทว่า “พี่รอง ซ้อรอง”

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า “เข้าไปข้างในเถอะ”

 

 

อี้เซวียนปล่อยมือเมิ่งเชี่ยนโยวแล้ว ทั้งสองเดินตามกันเข้าไปในบ้าน

 

 

เมิ่งฉีและหวังเยียนเดินตามเข้าไป ยิ้มพลางบอกให้ทั้งสองนั่งลง สั่งบ่าวหญิงยกน้ำชามา

 

 

อี้เซวียนยิ้มและพูดขึ้นว่า “วันนี้คนในบ้านเยอะเกินไป ไม่มีเวลาคุยกับพี่รองเลย หลังจากทานมื้อเย็นแล้ว ไม่มีอะไรทำ ข้าจึงมานี่กับโยวเอ๋อร์ หวังว่าจะไม่ได้รบกวนพี่รองกับซ้อรองนะขอรับ”

 

 

หวังเยียนยิ้มเอ่ยปากว่า “เราเพิ่งทานมื้อเย็นไป กำลังหยอกเล่นกับเซิ่งเอ๋อร์อยู่เลย รบกวนที่ไหนกัน แต่เจ้านี่สิ ได้ยินพี่รองบอกว่าเจ้าเดินทางหามรุ่งหามค่ำเพื่อกลับบ้านมา คงเหนื่อยแย่เลย พวกเราก็คิดว่าเจ้าจะไปพักผ่อนแล้ว ก็เลยไม่ได้ไปรบกวนเจ้า”

 

 

“เมื่อบ่ายท่านแม่เก็บกวาดห้องให้ ได้พักผ่อนไปครู่หนึ่งแล้ว ตอนนี้ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยขนาดนั้นแล้วขอรับ” อี้เซวียนอธิบายพลางยิ้ม

 

 

หวังเยียนพยักหน้า

 

 

แล้วทั้งหมดก็คุยกันต่อ เมิ่งเชี่ยนโยวเล่าเรื่องที่ไปเสี้ยนเฉิงมาวันนี้ให้เมิ่งฉีและหวังเยียนฟัง พูดว่า “เพราะเรื่องนี้อี้เซวียนจึงรีบกลับมาน่ะ”

 

 

เมื่อทั้งสองฟังจบ หวังเยียนก็พูดขึ้นว่า “ทำชั่วย่อมได้รับชั่ว บ้านตระกูลเฉียวไร้ซึ่งความเมตตา ตอบแทนความดีด้วยความแค้น มีจุดจบเช่นนี้ก็สมควรแล้วล่ะ”

 

 

เมิ่งฉีก็พยักหน้าเห็นด้วย “บ้านตระกูลเฉียวหาเรื่องใส่ตัวจริงๆ ไม่มีค่าให้เห็นใจแม้แต่น้อย แล้วก็คนเบื้องหลังก็ไม่ควรปล่อยไปเช่นกัน มีหนึ่งก็มีสอง ครั้งนี้เขาวางแผนทำร้ายบ้านเรา ครั้งหน้าก็จะใช้วิธีโหดเ**้ยมกว่าเดิมอีก”

 

 

คนเบื้องหลังคือใคร อี้เซวียน เมิ่งเชี่ยนโยว และเมิ่งฉีต่างรู้ดีแก่ใจ

 

 

อี้เซวียนพยักหน้า พูดว่า “ข้ารู้ขอรับ ข้าสั่งคนให้ไปสอบสวนหวังเต๋อเซิ่งแล้ว เชื่อว่าจะได้หลักฐานเร็วๆ นี้ ถึงตอนนั้นข้าจะรายงานฮ่องเต้ ครั้งนี้จะต้องตรวจสอบให้รู้แล้วรู้รอดเลยขอรับ”

 

 

เมิ่งฉีไม่ค่อยรู้เรื่องในวัง จึงไม่ได้พูดอะไร

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวกำชับทั้งสองคนว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับท่านพ่อท่านแม่ตนเอง พูดว่า “อี้เซวียนบอกว่าเขาคิดถึงบ้าน จึงกลับมาหา พี่รองและซ้อรองอย่าหลุดปากเชียวล่ะ”

 

 

เมิ่งฉีและหวังเยียนตอบตกลง

 

 

เมื่อสามารถกำจัดบ้านตระกูลเฉียว หวังเต๋อเซิ่งก็ถูกจับ อันตรายของบ้านตะกูลเมิ่งก็ถูกขจัดไปแล้ว เมิ่งฉีและหวังเยียนค่อยมีอารมณ์คุยเล่นหน่อย ทั้งสี่คนหัวเราะกันครู่หนึ่ง อี้เซวียนลุกขึ้นขอลา

 

 

คิดได้ว่าเขาคงเหนื่อยแล้ว เมิ่งฉีก็ไม่ได้รั้งไว้

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพูดขึ้นว่า “พี่รอง ข้าต้องอยู่ดูแลลี่เอ๋อร์สองแม่ลูก พี่ไปส่งอี้เซวียนกลับบ้านเถอะ”

 

 

เมิ่งฉีพยักหน้า ส่งอี้เซวียนกลับไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไปถึงห้องของจางลี่สองแม่ลูก ทั้งสองคนยังหลับสนิทอยู่ ชิงหลวนและจูหลีรายงานอาการให้นางฟังด้วยเสียงเบา

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า นั่งลงบนเก้าอี้ในห้อง

 

 

อี้เซวียนกลับไปถึงบ้าน ทักทายทุกคนสักพัก ก็ไปเรือนที่เมิ่งซื่อจัดแจงไว้ให้ ไม่ได้จุดไฟ ถอดเสื้อนอกออกในความมืด ลืมตามองไปนอกหน้าต่าง เฝ้ารอเมิ่งเชี่ยนโยวมาอย่างเงียบๆ

 

 

คนในชนบทเข้านอนกันเร็ว หลังจากที่เมิ่งฉีส่งอี้เซวียนแล้ว ก็ไปเรือนพักฟื้นของจางลี่สองแม่ลูก ถามไถ่เมิ่งเชี่ยนโยว เมื่อไม่มีธุระอันใดแล้ว ก็กำชับบ่าวหญิงที่เฝ้าหน้าประตูให้ตื่นตัว แล้วจึงกลับห้องไปพักผ่อน

 

 

หลังจากที่เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งบนเก้าอี้ในห้องไปชั่วโมงยาม คิดว่าคนในบ้านน่าจะเข้านอนกันหมดแล้ว จึงลุกขึ้น เดินไปหน้าประตู พูดกับบ่าวหญิงที่เฝ้าหน้าประตูว่า “ลี่เอ๋อร์สองแม่ลูกไม่เป็นอะไรแล้ว วันนี้อากาศหนาวเย็น พวกเจ้าก็เฝ้ามาหลายวันแล้ว คืนนี้กลับไปนอนพักผ่อนเถอะ พรุ่งนี้เช้าค่อยมาเช้าหน่อย”

 

 

บ่าวหญิงที่เฝ้าหน้าประตูดีใจ กล่าวขอบคุณ แล้วเดินจ้ำอ้าวไปพักผ่อนที่ห้องตนเอง

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหันหลัง พูดเสียงเบากับชิงหลวนและจูหลีว่า “คืนนี้ข้าต้องไปอยู่กับอี้เซวียน ฝากพวกเจ้าสองคนดูแลลี่เอ๋อร์สองแม่ลูกด้วยนะ จำไว้เชียวว่าห้ามบอกใคร ถ้าพรุ่งนี้เช้ามีคนถามถึง ก็บอกไปว่าข้าไปฝึกวิชาแล้ว”

 

 

เมื่อครั้นอยู่ในเมืองหลวง ทั้งสองคนเคยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันแล้ว ชิงหลวนกับจูหลีจึงไม่รู้สึกแปลกอะไร แล้วพยักหน้า

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินออกไป กลับเข้าบ้าน แต่ไม่กล้าเดินทางประตูใหญ่ นางเดินเข้าทางด้านหลังของเรือน แล้วเดินไปถึงเรือนของอี้เซวียนในความมืด

 

 

อี้เซวียนคอยฟังเสียงข้างนอกตลอด เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าเบาๆ ก็รู้ว่านางมาแล้ว ลุกจากเตียงไปเปิดประตู

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้าไป ยังไม่ทันพูดอะไร ก็ถูกเขาอุ้มขึ้นไปวางบนเตียง และประกบริมฝีปากลงไปทันที

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวยื่นแขนไปโอบคอเขาไว้ พยายามผ่อนรับผ่อนสู้กับเขา แต่ไม่รู้หวงฝู่อี้เซวียนเป็นอะไร จูบอย่างกระหาย จนทำให้เมิ่งเชี่ยนโยวหายใจไม่ทัน เริ่มใช้มือทุบตีหลังเขา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่ได้ปล่อย แต่กลับยิ่งจูบอย่างดูดดื่ม จนเมื่อเมิ่งเชี่ยนโยวรู้สึกว่าตนกำลังจะขาดอากาศหายใจตาย หวงฝู่อี้เซวียนจึงปล่อยนาง หายใจหอบ ถามด้วยเสียงถมึงทึงว่า “เจ้าเห็นร่างเปลือยเปล่าของจูหลานแล้วรึ”

 

 

 

 

[1] ถงเซิง การสอบระดับเด็ก จัดสอบเป็นประจำทุกปี รับสมัครผู้เข้าสอบตั้งแต่วัยรุ่นตอนต้น โดยเป็นการสอบในท้องถิ่น และมีการแบ่งระดับชั้นของถงเซิงเป็น 3 ระดับ

 

 

[2] ศิลปะทั้ง 4 แขนง ได้แก่ การเล่นขิม การเล่นหมากรุก การเขียนพู่กันจีน การวาดภาพ