ตอนที่ 222-2 สองปู่หลานซุบซิบ

ยอดหญิงสกุลเสิ่น

เมื่อได้ยินท่านปู่เอ่ยถึงอาจารย์ซู เสิ่นเวยก็สนใจขึ้นมาในชั่วขณะ “ท่านปู่ๆ ท่านรู้จักอาจารย์ซูด้วยหรือ เขามีที่มาอย่างไรกันแน่ เล่าให้หลานฟังหน่อย!” นางเห็นอาจารย์ซูแวบแรกก็รู้สึกแล้วว่าเขามีที่มาไม่ธรรมดา ความรู้สึกนี้กระทั่งเข้าเมืองหลวงมาแล้วก็ยิ่งชัดเจน ให้ตายเถอะ อาจารย์ซูของนางเข้าใจเมืองหลวงดียิ่งนัก ตระกูลไหนจวนไหนเป็นใครบ้าง ชำนาญประหนึ่งเป็นสมบัติที่อยู่ในบ้าน ยังมีกิริยาของอาจารย์ซู นั่นไม่ใช่กิริยาที่ตระกูลธรรมดาจะบ่มเพาะออกมาได้

 

 

ดวงตานายท่านผู้เฒ่าโหวกะพริบวาบ “อาจารย์ซูไม่ได้บอกเจ้าหรือ ล้วนแต่เป็นเรื่องเก่าผ่านมาหลายปีแล้ว ไม่เอ่ยก็ไม่เป็นไร ไม่เอ่ยก็ไม่เป็นไร” เขาโบกมือ ท่าทางไม่อยากเอ่ยมากเท่าไร

 

 

เสิ่นเวยเห็นปู่นางไม่ยอมพูด ไหนเลยจะยอมหยุด รบเร้าเขา “อาจารย์ซูพูดเพียงแค่ให้ข้าเลี้ยงดูเขาวัยเกษียณ ไม่ได้เอ่ยถึงเรื่องของตัวเองเลย ก่อนหน้านี้ข้าเองก็เคยถาม เขาก็พูดทำนองว่าร่อนเร่พเนจร เสียใจจนละทางโลกต่างๆ เพื่อหลอกข้า ท่านปู่ใจดี ท่านบอกหลานหน่อยสิ ดูจากเจตนาในคำพูดของท่านแล้วเขาจะต้องเสียเปรียบจากสวตรีเรือนหลังมาก่อนแน่นอน อีกทั้งฐานะเดิมจะต้องไม่รรมดา ไม่แน่ว่าวันไหนหลานอาจจะพบเข้า ท่านเล่าให้หลานฟังหน่อย หลานจะได้เตรียมป้องกันล่วงหน้า” อันที่จริงนางสนใจเรื่องเล่าในอดีตของอาจารย์ซูอย่างยิ่งจริงๆ

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวคิดครู่หนึ่ง กล่าว “รู้จักมุขมนตรีฟังหัวหน้าคณะเสนาบดีใช่หรือไม่ อาจารย์ซูของเจ้าก็คือบุตรคนโตของเขา ข้างนอกต่างก็พูดว่าเขาเป็นบุตรคนโตของอนุภรรยา แต่ความจริงแล้วเขาเป็นบุตรภรรยาเอก บุตรภรรยาเอกที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่ว่ามารดาเขามีฐานะเดิมต้อยต่ำ สู้คนหลังไม่ได้ก็เท่านั้นเอง”

 

 

“ให้ตาย มุขมนตรีฟัง!” เสิ่นเวยปิดปากร้องอุทานหนึ่งครา แม้นางจะไม่สนใจราชสำนัก แต่กลับรู้จักมุขมนตรีฟังผู้นี้ อันที่จริงคนผู้นี้ก็ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง ไม่ต่างจากปู่ของนางนัก ซ้ำยังไม่ใช่บุคคลที่มีความรู้โดดเด่ดอะไร เพราะว่าบ้านยากจน อายุได้ยี่สิบห้ายี่สิบหกปีก็สอบได้บัณฑิตชั้นสูง แต่เขามีอีคิวสูงอย่างยิ่ง คาดไม่ถึงว่าดันตัวเองจากชั้นล่างเข้าไปในคณะเสนาบดีได้ ลูกศิษย์มีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง จะพูดเช่นนี้ก็ได้ เพียงเขาชูมือเรียก ปัญญาชนใต้หล้าก็ตอบรับกันนับไม่ถ้วน

 

 

“เอ๋ ไม่น่าใช่ อาจารย์ซูแซ่ซูไม่ได้แซ่ฟัง อีกทั้งลูกทั้งสามของมุขมนตรีฟังล้วนไม่โดเด่น หากอาจารย์ซูเป็นบุตรคนโตของเขา เหตุใดถึงปล่อยให้เขาเร่ร่อนอยู่ข้างนอกเล่า ไม่ใช่ควรจะเลี้ยงดูให้ดีเพื่อเป็นผู้สืบทอดหรอกหรือ” เสิ่นเวยสงสัยอย่างถึงที่สุด

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวหัวเราะเยาะหนึ่งครา “นี่ก็คือผลกรรมที่แซ่ฟังอย่างไรเล่า ลูกทั้งสามเทียบไม่ได้แม้แต่พ่อเจ้าลุงเจ้าด้วยซ้ำ ทว่าคนที่โดดเด่นที่สุดผู้นี้กลับถูกตัดชื่อไล่ออกจากบ้าน สมน้ำหน้าที่เขาไม่มีผู้สืบทอด ใครให้เขาลดขั้นภรรยาเอกเป็นอนุภรรยาเล่า เหอะ สมน้ำหน้ากรรมตามสนอง!” นายท่านผู้เฒ่าโหวยินดีบนความโชคร้ายของผู้อื่น

 

 

“เรื่องนั้นของอาจารย์ซูของเจ้าพูดขึ้นมาแล้วก็ผ่านมาเกือบยี่สิบกว่าปีแล้ว นั่นยังคงเป็นตอนที่ฮ่องเต้องค์ก่อนดำรงตำแหน่งอยู่ ตอนนั้นเขายังอายุน้อยเป็นผู้สอบได้จอหงวน ความรู้นั้น กิริยานั้น ความสุขุมนั้น คุณชายยอดเยี่ยมในเมืองหลวงตอนนี้หากไปอยู่ต่อหน้าเขายังสู้ไม่ได้เลย แต่จู่ๆ วันหนึ่งก็เกิดเรื่องเขาข่มขืนอนุภรรยาของบิดา อีกทั้งยังอยู่ภายใต้สายตาที่จับจ้องของทุกคน ตอนนั้นทั่วทั้งเมืองหลวงต่างก็ตกตะลึง ภายใต้ความโกรธมุขมนตรีฟังก็ลงโทษเขากับมือด้วยการโบยเขาเกือบตาย จากนั้นก็เปิดศาลบรรพบุรุษลบชื่อของเขาออกจากตระกูล ภายหลังก็ไม่มีใครเห็นเขาอีก” นายท่านผู้เฒ่าโหวทอดถอนใจ

 

 

“ตอนแรกที่เห็นเขาที่หมู่บ้านตระกูลเสิ่นปู่ก็รู้สึกว่าเขาคุ้นหน้าหลายส่วน ก่อนหน้านี้บังเอิญเจอมุขมนตรีฟังในวังจึงนึกขึ้นได้ว่าเขาเป็นใคร หน้าตาของเขาเหมือนมุขมนตรีฟังตอนหนุ่มห้าส่วน”

 

 

“ท่านปู่ เป็นไปไม่ได้กระมัง อาจารย์ซูเป็นผู้มีคุณธรรมสูงส่งเช่นนั้นจะข่มขืนอนุภรรยาของบิดาได้อย่างไร จะต้องถูกคนใส่ร้ายแน่นอน ขุนนางชั้นผู้ใหญ่ในคณะเสนาบดีคนหนึ่งคาดไม่ถึงว่าแม้แต่ละครฉากนี้ก็ดูไม่ออก เขาจะไม่เชื่อใจลูกชายของตัวเองเลยหรือ ข้าไม่เชื่อ” เสิ่นเวยส่ายหน้า ไม่เชื่อแม้แต่นิดเดียว หากมุขมนตรีฟังเป็นคนเลอะเลือนเช่นนี้จริงๆ จะเข้าไปในคณะเสนาบดีได้อย่างไร

 

 

 “เจ้าไม่เชื่อก็คิดเสียว่าปู่ไม่เคยพูด อย่างไรเสียตอนนั้นมุขมนตรีฟังก็จัดการเช่นนั้นจริงๆ” นายท่านผู้เฒ่าโหวยกมุมปาก เผยรอยยิ้มเหยียดหยาม “แต่ว่าต่อมาก็คล้ายมีข่าวลือว่าเป็นแผนการของฮูหยินมุขมนตรีฟัง เพื่อที่จะกำจัดหนามยอกอกให้ลูกชาย แต่ว่านี่ก็เป็นเพียงข่าวลือ คนที่เชื่อมีไม่เยอะ เพราะว่าชื่อเสียงของฮูหยินฟังดียิ่งนัก ไม่เพียงแต่ทุกปีแจกจ่ายข้าวสารอาหารแห้งช่วยเหลือคนยากคนจน อีกทั้งอาจารย์ซูของเจ้าก็ถูกเลี้ยงดูโดยฮูหยินฟังผู้นี้ ความสัมพันธ์แม่ลูกดียิ่งนัก หลังจากที่เรื่องนี้เกิดขึ้นแล้ว นางก็คุกเข่าขอความเมตตาจากมุขมนตรีฟังด้วยตัวเอง”

 

 

“อะไรนะ ความสัมพันธ์แม่ลูกงั้นหรือ” คราวนี้เสิ่นเวยตะลึงงันแล้ว

 

 

นายท่านผู้เฒ่าโหวเห็นหลานสาวของเขามีท่าทางมึนงงยากจะเห็นเช่นนั้น ก็กล่าวอย่างแฝงความนัย “เจ้าก็เห็นแล้ว ชัดเจนว่าอาจารย์ซูของเจ้าถูกคนใส่ร้าย แต่กลับตกต่ำจนสูญเสียจุดยืนและชื่อเสียง ทำได้เพียงเปลี่ยนชื่อเดินทางไกลหลบหนีไปยังชนบท ส่วนคนที่ทำร้ายเล่า กลับถูกปุถุชนสรรเสริญเสพสุขสำราญ จึงเป็นเหตุผลว่าเจ้าอย่าได้ชะล่าใจ อย่าคิดว่าตนมียุทธ์ติดตัวไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดิน ส่วนใหญ่เวลาฆ่าคนไหนเลยจะใช้ดาบ”

 

 

หยุดครู่หนึ่ง นายท่านผู้เฒ่าก็กล่าวต่อ “แต่ว่าอาจารย์ซูของเจ้ากลับเป็นคนใจกว้าง เจอเรื่องหนักหนาสาหัสเช่นนี้ หากเป็นคนอื่นคงซึมเซาไปนานแล้ว แต่เขากลับใช้ชีวิตได้อย่างสบายเช่นนี้ เห็นได้ว่าเป็นคนฉลาดหลักแหลม เจ้ามีเรื่องอะไรไม่เข้าใจก็ไปถามเขาได้เลย ความสามารถเขาเยอะ”

 

 

เสิ่นเวยพยักหน้า คิดว่าจะหาโอกาสไปสืบเรื่องอาจารย์ซูให้แน่ชัดจงได้

 

 

คนหลายคนที่พูดคุยกันอยู่ในห้องหนังสือเรือนนอกกำลังสนุกสนาน บรรยากาศดีอย่างยิ่ง แรกเริ่มทุกคนยังกังวลว่าสวีโย่วเป็นจวิ้นอ๋อง อึดอัดเล็กน้อย แต่พวกเขาก็ค่อยๆ ค้นพบว่าท่านเขยคนใหม่ผู้นี้แม้ว่าจะพูดไม่เยอะ แต่กลับถ่อมตัวมีมารยาทอย่างยิ่ง ไม่วางมาดราชนิกุลเลยแม้แต่นิดเดียว โดยเฉพาะกับผู้อาวุโส ตั้งใจฟังที่พวกเขาพูด มีน้ำอดน้ำทนยิ่งนัก!

 

 

ไม่เพียงแต่จิตใจทะนงตนของเสิ่นหงเซวียนที่พึงพอใจอย่างถึงที่สุด แม้แต่เสิ่นหงเหวินกับเสิ่นหงอู่สองพี่น้องก็ยังพยักหน้าชมไม่หยุด รู้สึกว่าเวยเอ๋อร์แต่งงานกับสามีที่ดี

 

 

สวี่หรง เหวินเทาและเว่ยจิ่นอวี้เองก็ค่อยๆ ผ่อนคลาย พวกเขาอายุเท่ากัน ย่อมต้องมีปัญหาเหมือนกัน สวี่หรงและคนทั้งสองต่างก็เป็นปัญญาชน เอ่ยถึงบทกลอนบทความขึ้นมาได้อย่างเป็นธรรมชาติ หลังจากนั้นพวกเขาก็ค้นพบอย่างประหลาดใจว่า น้องเขยสี่ที่เลื่องลือว่าสุขภาพไม่ดีผู้นี้ในด้านการเรียนไม่ได้ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย ไม่ว่าพวกเขาจะพูดคุยอะไร เขาก็จะร่วมวงสนทนา ทั้งยังสามารถเสนอความคิดเห็นของตัวเองได้ และความคิดความอ่านนี้ยังทำให้ทุกคนเปิดมุมมองใหม่ได้อีกด้วย

 

 

สวี่หรงกับเหวินเทาราวกับหาเพื่อนเจอแล้ว พูดคุยก็ยิ่งสนิทสนม เว่ยจิ่นอวี้ที่มีความรู้ดีที่สุดกลับรู้สึกสับสนมากเป็นพิเศษ!

 

 

เสิ่นเวยที่กลับบ้านวันนี้เคยเป็นคู่หมั้นของเขา ตอนเด็กๆ ไม่รู้ประสา รู้เพียงแค่ว่าตนมีคู่หมั้นคนหนึ่ง เมื่อโตขึ้นรู้เรื่องชายๆ หญิงๆ แล้ว ทุกๆ ครั้งที่อ่านบทกลอน ‘นกจวีจิวขันร้องเรียกหาคู่ อยู่บนเกาะแก่งกลางแม่น้ำ หญิงงามอรชร เป็นที่หมายปองของชายหนุ่ม’ ใน ‘คัมภีร์ซือจิง’ ในสมองก็วาดภาพเงาของหญิงงามผู้หนึ่งอย่างอดไม่ได้ แม้ใครๆ ต่างก็พูดว่าแต่งภรรยาให้แต่งหญิงที่มีคุณธรรม แต่เขาก็ยังคงหวังว่าว่าที่ภรรยาของเขาจะเป็นหญิงงามอรชร

 

 

ครั้งนั้นที่ไปงานเลี้ยงที่จวนองค์หญิงใหญ่ เขาตั้งใจวิ่งตามไปที่หน้าประตูใหญ่เพื่อดูคู่หมั้นปราดหนึ่ง หญิงที่งดงามอ่อนโยนผู้นั้นตรงกับคนที่เขาคิดในใจพอดี ด้วยเหตุนี้ เงาร่างของเสิ่นเวยจึงประทับลงในใจเขาทันที

 

 

แต่เกิดข้อผิดพลาด พวกเขาไม่มีวาสนาให้เป็นสามีภรรยากัน ท้ายที่สุดเขาแต่งงานกับน้องสาวของนางกลายเป็นน้องเขยของนางแทน ส่วนนางก็แต่งงานกับอีกคน

 

 

วันนี้เป็นวันที่นางกลับบ้าน มองเงาร่างที่เดินเคียงบ่าเคียงไหล่กันของนางกับสามีนาง เขารู้สึกว่าหัวใจของตนราวกับแหว่งไปหนึ่งมุม

 

 

เดิมคิดว่าแต่งงานกับคนขี้โรคทำให้นางไม่สมปรารถนา แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มที่เหนียมอายบนใบหน้าของนาง ไม่ว่าอย่างไรเขาก็หลอกตัวเองไม่ได้

 

 

ซ้ำพี่เขยสี่ผู้นี้ยังไม่ใช่คนขี้โรคที่ไร้ประโยชน์อย่างที่เขาคิด ใบหน้างามดั่งหยก เรือนร่างสูงตรง เพียงแค่ด้านความรู้ก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าตนแล้ว นี่จะไม่ให้เขาริษยาได้อย่างไร เขาเองก็รู้ว่าสุภาพบุรุษทำเช่นนี้ไม่ดี แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่อาจควบคุมความคิดที่เกิดขึ้นมาในใจไม่หยุดได้

 

 

งานเลี้ยงตอนเที่ยงแยกกันนั่ง โต๊ะฝ่ายญาติผู้หญิงตั้งอยู่ที่เรืองซงเฮ่อของนายหญิงผู้เฒ่า โต๊ะของเหล่าบุรุษก็ตั้งอยู่ที่เรือนนอก เสิ่นเวยยังตั้งใจบอกปู่นางว่าสวีโย่วดื่มสุราไม่ได้ ให้เขาคอยดูอย่าให้ใครรินสุราให้เขา นายท่านผู้เฒ่าโหวก็กัดฟันรับปาก

 

 

อันที่จริงเสิ่นเวยก็ไม่รู้เหมือนกันว่าสวีโย่วดื่มสุราได้หรือไม่ แต่นางไม่อยากดมกลิ่นสุรานั่น เช่นนั้น

 

 

สวีโย่วก็อย่าดื่มเสียเลยดีกว่า

 

 

งานเลี่ยงยามเที่ยงเสิ่นเวยกินด้วยความเปรมปรีอย่างยิ่ง อืม ยังคงเป็นอาหารในจวนโหวที่ถูกปาก เรื่องที่ทำให้เสิ่นเวยประหลาดใจก็คือ ไม่เพียงแต่นายหญิงผู้เฒ่าที่ยิ้มแย้มให้นาง เสิ่นเสวี่ยคาดไม่ถึงว่าไม่ได้หาเรื่องนางเช่นกัน เมื่อก่อนนางเห็นตนก็จะต้องเสียดสีหลายประโยคอย่างอดไม่ได้ แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้ แต่ก็ไม่รู้สึกเหนื่อย เสิ่นเวยคิดว่านางเป็นเด็กปีศาจที่ขาดการสั่งสอน ไม่จัดการไม่ได้

 

 

วันนี้เป็นอะไรไปเล่า อาทิตย์ขึ้นทางตะวันตกหรือ หรือว่าจวนหย่งหนิงโหวถูกกระตุ้นอะไรมา นึกถึงอวี้ซื่อที่ยากจะจัดการผู้นั้นแล้ว เบื้องลึกในใจเสิ่นเวยก็จุดเทียนให้นางหนึ่งเล่มเงียบๆ น้องห้า ขอให้เจ้าโชคดี!

 

 

ความคิดนี้ผ่านมาเพียงแค่แวบเดียวก็ถูกเสิ่นเวยวางไว้ข้างๆ คนที่ไม่ต้องให้ความสำคัญ จะสนใจนางไปทำไม อย่างไรเสียนางเองก็เล่นลูกไม้อะไรไม่ได้อยู่แล้ว

 

 

กินเลี้ยงตอนเที่ยงเสร็จสวีโย่วก็ตามเสิ่นเวยไปพักผ่อนที่เรือนเฟิงหวา ปีนกำแพงมานับครั้งไม่ถ้วน ในที่สุดคราวนี้ก็เดินเล่นได้อย่างเปิดเผยเสียที เสิ่นเวยมองท่าทางสวี่โย่วที่สนใจแม้แต่ต้นหญ้า หัวเราะเยาะหนึ่งครา