บทที่ 52 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 52 เพื่อนเก่า (2)

“ฉันไปเรียนแล้วนะ” อี้เป่ยซีพูดพลางคว้ากระเป๋าหนังสือของตัวเองออกจากบ้าน แต่ถูกคนที่อยู่ข้างหลังเรียกไว้

“เสี่ยวซี ช่วงหลายวันนี้อย่าเพิ่งไปที่มหา’ลัยเลย” อี้เป่ยซีอ่านหนังสือพิมพ์ในมือ ไม่ได้เงยหน้ามอง ในน้ำเสียงมีความเข้มงวดเล็กน้อย ไม่สามารถปฏิเสธได้

“พี่เป่ยเฉิน” อี้เป่ยซีเดินมานั่งข้างๆ เขา “พี่คิดว่าจะรอจนส่งตัวฉู่ซ่งไปก่อน ถึงให้ฉันกลับไปใช่ไหม?”

“เสี่ยวซี่ พี่หวังดีกับเธอนะ อย่าใช้อารมณ์เพราะเรื่องนี้เลย เด็กดี” เขาพูดพลางลูบผมของเธอ คนข้างๆ เชื่อฟังเหมือนกับแมวตัวหนึ่ง

อี้เป่ยซีรู้สึกแสบตาเล็กน้อย ไม่รู้ว่าของเหลวอะไรบดบัง การมองเห็นพร่ามัว ความรางเลือนตรงหน้าทำให้รู้สึกหมดหนทางและคับข้องใจอย่างที่ไม่อาจสลัดออกไปได้

“พี่เป่ยเฉิน ฉันยังต้องไปเรียน เดี๋ยวจะตามเขาไม่ทัน”

“ช่วงหลายวันนี้พี่จะอยู่บ้านเป็นเพื่อนเธอ สอนชดเชยให้เธอดีไหม”

“พี่เป่ยเฉิน”

อี้เป่ยเฉินวางมือลง กอดเธอไว้เบาๆ ริมฝีปากจรดจูบบนหน้าผากอี้เป่ยซี กลิ่นหอมจางๆ โชยเข้าไปในโพรงจมูก หอมหวนเป็นอย่างมาก “เสี่ยวซี ตั้งหลายครั้งแล้ว ตอนนี้พอเถอะ ถ้าพวกเขาคิดถึงเธอจริงๆ ก็ต้องมาหาเธอตั้งนานแล้วถูกไหม? ช่วงนี้เธอพักผ่อนอยู่ที่บ้านเถอะ ที่เหลือยกให้พี่จัดการก็พอ”

“ครั้งนี้ให้ฉันตัดสินใจเองได้ไหม พี่เป่ยเฉิน ก็แค่ฉู่ซ่งเอง เขาไม่มีทางทำร้ายฉันหรอก อีกอย่างพี่เป่ยเฉินก็อยู่ข้างฉันตลอดไม่ใช่เหรอ เขาจะมีโอกาสได้ยังไง” อี้เป่ยซีซุกตัวอยู่ในอ้อมแขนของเขา น้ำเสียงที่อ่อนโยนเจือการอ้อนวอน

“เสี่ยวซี สิบกว่าปีแล้ว ฉู่ซ่งเป็นคนยังไง แม้แต่พ่อแม่เขาเองก็ไม่กล้ารับประกัน พี่หวังดีกับเธอนะ”

“พี่เป่ยเฉิน ขอร้องล่ะ ให้ฉันกลับไปเจอหน่อยก็พอแล้ว ฉันคิดถึงเขาจริงๆ อยากรู้ว่าเขาสบายดีหรือเปล่า”

“เขาสบายดีมาก เธอไม่ต้องเป็นห่วงอะไร อยากเรียนไม่ใช่เหรอ พี่จะพาเธอไปห้องหนังสือ”

อี้เป่ยซีดึงมือออกมาจากเขาพลางก้มหน้าลง “ไม่ต้องหรอก ฉันง่วงแล้ว จะกลับไปนอน”

เขาไม่ได้พูดอะไรเช่นกัน มองดูแผ่นหลังของเธอที่ค่อยๆ หายขึ้นไปชั้นบน ในใจรู้สึกเหมือนถูกหินก้อนใหญ่กดทับไว้ ความรู้สึกกังวลกดดันก่อตัวขึ้นโดยไร้สาเหตุ เขาใส่ใจในอดีตของเธอมากเกินไปหรือเปล่า?

แต่ไหนแต่ไรเขาไม่ต้องการให้เธอหมกหมุ่นกับเรื่องราวในสมัยเด็ก ไม่ต้องการให้เธอคิดถึงเรื่องของตัวเองหลังจากที่จากมาแล้ว อี้เป่ยเฉิน นายนี่มันไร้เหตุผลเกินไปแล้ว

อี้เป่ยเฉินส่ายหัว หยิบหนังสือพิมพ์ข้างๆ ขึ้นมา ตัวหนังสือแน่นขนัดกระจายอยู่ทั่วสายตา แต่กลับอ่านไม่รู้เรื่องเลยสักนิด

‘ฉู่ซ่งคนนี้จะต้องจากไป’ เขาคิดพลางหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา…

…….

อี้เป่ยซีไม่ปรากฏตัวในมหาวิทยาลัยติดกันสิบวันแล้ว ฉู่ซ่งวนเวียนอยู่ตรงทางเดินยาวในสถานศึกษาตามลำพัง ข้างนอกฝนเริ่มตกพรำๆ กระจายตัวออกไปอย่างหนาแน่น ผู้คนที่ติดอยู่ในฝนกระหืดกระหอบ

‘ถ้างั้น….ฉู่เซี่ย พวกเราจะไม่ได้เจอกันอีกแล้วเหรอ? ถ้าเธอรู้ช้ากว่านี้สักนิด ฉันหลบซ่อนตัวกว่านี้อีกหน่อย จะได้อยู่ข้างกายเธออีกสักสองสามวันใช่ไหม แม้เธอจะไม่รู้ว่ามีฉันอยู่นี่ก็ตาม’

เขานั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ทางเดินยาว ฝนเย็นๆ ที่กระเซ็นโดนร่างกายทำให้รู้สึกหนาวเหน็บ

อากาศที่เมือง B ไม่อบอุ่นเลยสักนิด

“อี้เป่ยเฉินไม่ส่งอี้เป่ยซีไปไหนหรอก” ลั่วจื่อหานถือร่มสีดำเดินเข้ามาหา เขามองฉู่ซ่งคล้ายครุ่นคิดบางอย่าง

“พี่จื่อหาน ขอบคุณที่พี่เป็นห่วง ถ้าพี่ไม่ได้ช่วยผม คิดว่าป่านนี้ผมอาจจะไปจากมหา’ลัยนี้แล้ว” เขาลูบๆ แขนของตัวเอง รอยแผลเป็นยังคงรู้สึกเจ็บเบาๆ

อี้เป่ยเฉินก็ลงมือรุนแรงเกินไปหน่อย อีกทั้งยังไม่กลัวว่าอี้เป่ยซีจะรู้ด้วย

“ไม่เป็นไร แผลดีขึ้นแล้วรึยัง?”

“ก็แค่บาดแผลภายนอก ไม่มีอะไรร้ายแรงหรอก”

“อืม”

ทั้งสองคนไม่ได้พูดอะไร ฉู่ซ่งมองลั่วจื่อหานที่อยู่ตรงหน้าตลอดเวลา

เขาถาม “เป็นอะไรไป?”

ฉู่ซ่งส่ายหน้า “พี่จื่อหาน ช่วงนี้ที่บริษัทไม่มีเรื่องอะไรแล้วเหรอ?”

“ก็พอได้”

“รู้สึกเหมือนพี่จะเป็นห่วงเรื่องนี้มากเหมือนกัน หืม ทำไมล่ะ? เพราะอี้เป่ยซีเหรอ?”

ลั่วจื่อหานไม่ได้มองเขา แต่เดินไปยังม่านฝน ฉู่ซ่งมองเห็นเพียงใบหน้าด้านข้างของเขาที่ถูกความเศร้าโศกชั้นบางๆ ปกคลุม เหมือนกับสายฝนตกปรอยๆ

“ฉู่ซ่ง เล่าเรื่องของนายกับอี้เป่ยซีตอนเด็กๆ ให้ฟังได้ไหม?”

ฉู่ซ่งคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะถามแบบนี้ จึงเหม่อไปชั่วขณะหนึ่ง

ทำไมพี่จื่อหานถึงถามเขาแบบนี้? ได้ยินมู่ลี่ไป๋บอกว่าอีกฝ่ายก็ตามหาคนอยู่เหมือนกัน หรือว่าคนที่เขาหาก็คือฉู่เซี่ย

ไม่ๆๆ เป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นฉู่เซี่ยจริงๆ ทำไมเขาถึงไม่เคยได้ยินเธอพูดถึงเลย ตอนที่ฉู่เซี่ยยังเป็นเด็กจะมีโอกาสรู้จักคนอย่างลั่วจื่อหานได้อย่างไรกัน

เขายิ้มโล่งใจ “ได้สิ พวกเรากลับไปคุยกันถอะ”

“อืม”

เมื่อกลับมาถึงห้องของตัวเอง ฉู่ซ่งนำของที่ตัวเองเก็บรักษาไว้นานแล้วออกมาทั้งหมด วางไว้ตรงหน้าลั่วจื่อหาน และเริ่มเล่าเรื่องราวของสิ่งของแต่ละอัน

“นี่คือของที่ฉู่เซี่ยใช้สานความสัมพันธ์ระหว่างพ่อกับแม่ เอาเงินค่าอาหารหนึ่งวันของพวกเราไปซื้อสร้อยข้อมือโดยที่ไม่ได้ขอผม ทำให้ผมหิวไปทั้งวันเลย แต่ว่าแม่ใส่ไม่ทันไรก็ขาดแล้ว ทำเอาเขาเสียใจไม่น้อย”

“นี่ปากกาอันแรกของผม ผมใช้แค่ไม่กี่วันก็ถูกฉู่เซี่ยทำพังแล้ว วันนั้นผมโกรธมาก ไม่พูดกับเขาทั้งวันเลย”

“นี่คือการ์ดเกมที่เมื่อก่อนพวกเราชอบเล่นที่สุด พี่ไม่รู้อะไร ฝีมือการเล่นของฉู่เซี่ยแย่มาก ช่วยยังไงก็ช่วยไม่ได้แล้ว คราวก่อนยังมาเอาชีวิตผมไปอีก ครั้งนั้นที่จริงผมจะผ่านด่านอยู่แล้ว”

ฉู่ซ่งพูดจาคล่องแคล่ว จำเรื่องราวของสิ่งของทุกอย่างได้ชัดเจน เหมือนเรื่องราวในอดีตถูกฉายซ้ำในหัวอีกครั้ง ราวกับเด็กสาวเจ้าของเรื่องคนนั้นกำลังตั้งใจฟังอยู่ข้างๆ เขา

“พวกนี้เป็นของเธอทั้งนั้น ของบางอย่างผมก็จำไม่ค่อยได้ว่ามาได้ยังไง”

ฉู่ซ่งเปิดกล่องขนาดเล็กที่ทำจากเซรามิกอย่างประณีต ข้างในมีเพียงดาวดวงเล็ก หัวใจดวงเล็ก และนกกระเรียนกระดาษอะไรทำนองนั้นถูกพับไว้เป็นอย่างดี ดวงตาของลั่วจื่อหานคล้ายไปเห็นอะไรบางอย่างเข้า เขาหยิบกล่องเล็กนั้นขึ้นมา วิธีการพับกระดาษยังหยาบอยู่บ้าง มีหลายมุมโผล่ออกมาข้างนอก ดาวนำโชคที่รูปร่างแตกต่างกันก็นอนอยู่ในกล่อง ไม่มีดวงใดที่พับเรียบร้อยเลย

‘ฉันเพิ่งหัดของพวกนี้ พี่หาน ฉันสอนพี่ได้นะ’

‘ฉันไม่ทำของพวกนี้หรอก ของพวกนี้เด็กผู้หญิงอย่างเธอเล่นกัน’

‘งั้นเหรอ”

‘…เซี่ยเซี่ย ดาวนี่พับยังไง”

‘ฮ่าๆ ฉันจะสอนพี่ให้”

ลั่วจื่อหานมองด้านล่าง ก็เห็นสร้อยข้อมือฝังเพชรสีฟ้าอ่อน เขาหรี่ตาลง

ไหนบอกว่าไม่เก็บไว้แล้วนี่นา ทำไมถึงมาอยู่ในกล่องนี้

“สร้อยข้อมือนี่” ฉู่ซ่งรับมาดูอย่างละเอียด ราวกับว่ากำลังยืนยันอะไรบางอย่าง “คิดไม่ถึงว่าเขาจะไม่เอาไปด้วย ตอนนั้นเห็นเขาทะนุถนอมมาก ยังนึกว่า…”

มือของลั่วจื่อหานลูบคลำคริสตัลสีฟ้าคล้ายกำลังครุ่นคิด

“พี่จื่อหาน พี่เป็นอะไรไป?”

“เปล่า อันนี้ยกให้ฉันเถอะ ฉันจะช่วยนายเอาให้ฉู่เซี่ยเอง”

ฉู่ซ่งอึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าแรงๆ

“พวกนายไม่มีรูปตอนเด็กๆ เหรอ?”

อีกฝ่ายส่ายหน้า “ตอนนั้นสถานะทางบ้านไม่ดี แถมยังติดหนี้อีก ไม่มีรูปถ่ายหรอก ผมก็รู้สึกเสียดาย ต่อมาได้ถ่ายรูปครอบครัวตั้งหลายใบ แต่คนก็ไม่ครบ”

“เดี๋ยวจะครบแน่”

…………………………