ตอนที่ 1802

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,802 : เจตจำนงของสกุลจ้าว!

 

ตระกูลจ้าวนั้น ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดก็คือจ้าวจิน..อาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลิ่วล่อง! ส่วนผู้ที่มีอำนาจรองลงมาจากมันก็คือจ้าวเติง ผู้เป็นบุตรชายและยังเป็นถึงรองจ้าวตำหนัก…

 

หลังจากนั้นก็จะเป็นอาวุโสสกุลจ้าวคนอื่นๆ

 

แน่นอนว่าอาวุโสสกุลจ้าวที่ว่า หลายคนแต่เดิมก็มิได้ใช้แซ่จ้าวแต่อย่างไร! หากแต่พวกมันเปลี่ยนมาใช้แซ่จ้าวเพียงเพราะหวังพึ่งพิงร่มเงา ‘ไม้ใหญ่’ อย่างสกุลจ้าวที่มีจ้าวจินกับจ้าวเติงกุมบังเหียน จึงยินดีละทิ้งแซ่ของตัวมาใช้แซ่จ้าว!

 

ในบรรดาคนเหล่านี้ ก็ไม่ขาดศิษย์ของจ้าวจินและจ้าวเติงเช่นกัน

 

หากผู้คนทั้งหมดของสกุลจ้าวมาเรียงลำดับอำนาจเป็นปิรามิดแล้วล่ะก็ ผู้ที่มีอำนาจสูงสุดดั่งจุดยอดปิรามิดก็คือจ้าวจิน ผู้นำตระกูลจ้าว!!

 

ด้วยเหตุนี้ทุกถ้อยคำวาจาและการกระทำของมันก็ประหนึ่ง เจตจำนง ของสกุลจ้าว!

 

ยกตัวอย่างเช่นหากจ้าวจินผู้เป็นอาวุโสผู้พิทักษ์ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ต้องถกเถียงและตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ขัดแย้งกับเมิ่งฉิน เมื่อมีการลงคะแนนเสียงเห็นชอบ…แน่นอนว่าเสียงของสกุลจ้าวทั้งหมดจะเทไปทางจ้าวจินทันที และนั่นยังถือเป็นเสียงข้างมากของตำหนักฟ้าลี้ลับอีกด้วย!

 

ด้วยเหตุนี้ทำให้สกุลจ้าวถือว่ามีอิทธิพลในตำหนักฟ้าลี้ลับไม่น้อย เรียกว่าถ้าจะด้อยกว่า…ก็ด้อยกว่าจ้าวตำหนักในแง่พลังฝีมืออย่างเดียว!

 

“ทำอย่างไรก็ได้เพื่อล่อหลิงเทียนให้ออกไปนอกตำหนักฟ้าลี้ลับ…และฆ่ามันให้ตายอย่างลับๆ?”

 

ไม่นานอาวุโสของสกุลจ้าว รวมถึงศิษย์สาวกที่เปลี่ยนมาใช้แซ่จ้าวทั้งหลายก็ได้รับคำสั่งดังกล่าวมา…

 

แน่นอนว่าทุกคนต้องเก็บเป็นความลับและรู้กันภายในสกุลจ้าว

 

ถึงแม้ฐานะของจ้าวจินรวมถึงสกุล้จาวในตำหนักฟ้าลี้ลับจะมากอิทธิพลไม่น้อย แต่มันเองก็ไม่อาจกระทำการอันขัดกับกฏหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับ อย่างลงมือสังหารผู้คนในเขตตำหนักฟ้าลี้ลับได้…เพราะจ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับและอาวุโสคนอื่นๆย่อมไม่มีทางปล่อยปละละเลยกฏเหล็กข้อนี้!

 

“หลิงเทียน? นามนี้…มิใช่นามของอัจฉริยะเซียนรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งของตำหนักฟ้าลี้ลับเราหรอกหรือ?”

 

อาวุโสและศิษย์สาวกของสกุลจ้าวหลายคน ที่ปิดด่านบ่มเพาะพลังมานาน พอออกมาได้ไม่ทันไรและได้รับทราบถึงคำสั่งนี้พวกมันก็อดไม่ได้ที่จะแปลกใจ เพราะข่าวใหญ่ล่าสุดที่พวกมันรู้มาก่อนปิดด่าน ก็คือเรื่องราวของอัจฉริยะเซียนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ผู้ซึ่งเข้าร่วมตำหนักมาได้ไม่ทันไรกลับบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นสูงสุด!

 

สำหรับเรื่องราวบาดหมางระหว่างอัจฉริยะคนนั้นกับจ้าวจินผู้นำตระกูลอะไรนั้น พวกมันไม่เคยรู้มาก่อนเลย หลายคนก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่านายน้อยของพวกมันอย่างจ้าวจี้ถูกตบหน้าและฆ่าในแดนลับเซียน

 

“มิผิด เป็นอัจฉริยะคนนั้น”

 

“แล้วนี้มันไปก่อเรื่องอันใดมากันแน่ ใต้เท้าถึงได้ออกคำสั่งมาแบบนี้?”

 

“นี่เจ้าพึ่งกลับมาจากการเดินทางไกล หรือพึ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะเล่า?”

 

“เอ๋? เจ้ารู้ได้อย่างไร..ข้าพึ่งออกจากการปิดด่านบ่มเพาะเมื่อวานนี้เอง”

 

“เช่นนั้นก็มิน่าแปลกใจอะไร…หลิงเทียนผู้นั้นได้สร้างความบาดหมางกับสกุลจ้าวของพวกเราอย่างที่ไม่อาจสมานฉันท์กันได้อีกต่อไป! ใต้เท้าผู้พิทักษ์ยังให้คำมั่นเอาไว้อีกด้วย…ว่าผู้ใดที่สามารถล่อหลิงเทียนไปฆ่านอกตำหนักได้ จะถูกใต้เท้ารับเป็นบุตรบุญธรรม!!”

 

“ว่าอะไร!? ใต้เท้าจักรับผู้ที่ลงมือสำเร็จเป็นบุตรบุญธรรม!? นั่นมิได้หมายความว่าจะมีศักดิ์ฐานะเป็นพี่น้องกับท่านรองจ้าวตำหนัก จ้าวเติง หรอกรึ?”

 

“ใช่! ข่าวนี้ข้ายืนยันมาแล้ว มิมีผิดพลาดแน่!”

 

“ดูเหมือนหลิงเทียนจะสร้างความหมางใจครั้งใหญ่ให้ใต้เท้าผู้พิทักษ์แล้วจริงๆ…หาไม่แล้วใต้เท้าคงไม่ถึงขั้นออกคำสั่งล่อลวงสังหารเช่นนี้! เจ้าบอกข้าหน่อย ที่แท้หลิงเทียนทำอันใดกับสกุลจ้าวเรากันแน่ ใต้เท้าผู้พิทักษ์ถึงทำขนาดนี้?”

 

“หลิงเทียนผู้นั้นช่างน่าทึ่งนัก กล้าตบนายน้อยจ้าวจี้ซ้ายทีขวาทีต่อหน้าผู้คนมากมายบนยอดเขาวังนภา…หลังจากนั้นยังฆ่านายน้อยจ้าวจี้ในแดนลับเซียนตั้งแต่ 3 วันแรก ทำให้นายน้อยจ้าวจี้มิอาจได้รับสืบทอดมรดกเวทย์พลังอันใด …กระทั่งเบาะแสพื้นที่มรดกยังไม่ทันได้รับด้วยซ้ำ”

 

“ให้ตายเถอะ…เช่นนั้นก็ไม่น่าแปลกใจเลย แดนลับเซียน ตลอดชั่วชีวิตเข้าได้เพียงครั้งเดียว…การฆ่านายน้อยจ้าวจี้ในนั้นแบบนี้ ก็เท่ากับตัดหนทางก้าวหน้าของสกุลจ้าวเรา ทำลายอนาคตและความหวังทั้งมวลพินาศ…ด้วยความรักที่ใต้เท้าผู้พิทักษ์มีให้นายน้อยจ้าวจี้ หากท่านไม่ฆ่าหลิงเทียนผู้ใดยังจะฆ่าหลิงเทียนอีก?”

 

 

หลังได้รับคำสั่ง ไม่นานแซ่จ้าวทุกคนในตำหนักฟ้าลี้ลับก็คึกคักปานถูกฉีดเลือดไก่!

 

ต้องทราบด้วยว่า ขอเพียงล่อลวงคนออกไปฆ่าได้สำเร็จ พวกมันก็จะได้เป็นบุตรหรือบุตรีบุญธรรมของจ้าวจิน!

 

นี่เป็นโอกาสอันประเสริฐ! ไก่บ้านอาจทะยานกลับกลายเป็นหงส์ฟ้าได้ในชั่วข้ามคืน! นับเป็นโอกาสดีที่ชั่วชีวิตอาจมีเพียงครั้งเท่านั้น ย่อมไม่มีใครอยากพลาด!!

 

แน่นอนว่าเรื่องราวเหล่านี้ต้วนหลิงเทียนไม่ทราบเลย!

 

ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะไม่ทราบ กระทั่งคนอื่นๆในตำหนักฟ้าลี้ลับที่ไม่ใช่คนของสกุลจ้าวก็ไม่ทราบ!!

 

ถึงแม้เรื่องนี้จะแพร่ออกไปทั่วถึงในหมู่อาวุโสและเหล่าศิษย์สกุลจ้าว ทว่ากลับมิยักรั่วไหลถึงหูคนนอกแม้แต่คนเดียว นั่นบอกให้รู้ว่าขุมพลังอำนาจของสกุลจ้าวมันแข็งแกร่งและเป็นปึกแผ่นขนาดไหน!

 

ด้วยเหตุนี้อาวุโสชราทั้งศิษย์สกุลจ้าวทั้งหลายจึงหาเรื่องแวะเวียนผ่านไปยังยอดเขาวังนภาอยู่บ่อยครั้ง หมายสืบเรื่องราวของต้วนหลิงเทียนในบ้านพัก

 

อย่างไรก็ตามพวกมันพบว่าต้วนหลิงเทียนมักจะปิดด่านบ่มเพาะพลังอยู่ในบ้าน แม้พวกมันจะจับตาเฝ้ารออยู่เป็นเวลาสิบวันครึ่งเดือน พวกมันก็ไม่เห็นวี่แววที่ต้วนหลิงเทียนจะออกจากการปิดด่านบ่มเพาะพลังเลย

 

หลายต่อหลายคนจึงพากันกลับไปด้วยความผิดหวัง

 

แน่นอนว่ายังมีบางคนที่เฝ้ารอคอย และไม่มีทีท่าว่าจะยอมแพ้หากไม่เห็นต้วนหลิงเทียนออกจากการปิดด่านบ่มเพาะ!

 

เมื่อผ่านไปอีกครึ่งเดือนก็เหลือผู้ที่เฝ้าจับตามองบ้านพักต้วนหลิงเทียนแค่ไม่กี่คน

 

‘รอให้มันออกจากการปิดด่านบ่มเพาะเช่นนี้ออกจะเหลวไหลไปอยู่บ้าง อีกทั้งการมาเฝ้าเช่นนี้ย่อมเผยพิรุธให้คนอื่นรู้เข้าสักวัน เช่นนั้นข้ากลับไปรอคอยจนกว่าจะได้ข่าวมันออกจากการปิดด่านดีกว่า…’

 

อาวุโสและศิษย์สาวกตระกูลจ้าวหลายต่อหลายคนต่างคิดกันแบบนี้

 

หลังจากนั้นไม่นานก็เหลือคนเพียงไม่กี่คนที่เฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวบ้านพักของต้วนหลิงเทียน คนกลุ่มนี้ล้วนแต่เป็นผู้ที่ตั้งความหวังเอาไว้อย่างแรงกล้าว่าจะเป็นบุตรบุญธรรมจ้าวจินให้จงได้!

 

หากพวกมันก่อการสำเร็จ พวกมันก็เสมือนได้ทะยานฟ้าในก้าวเดียว! ยกระดับฐานะว่องไวดั่งจรวด!!

 

ไม่ว่าด้านนอกจะมีเหตการณ์วุ่นวายอะไร ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ในชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติย่อมไม่สนใจทั้งสิ้น ตอนนี้พลังฝึกปรือของเขาใกล้ทะลวงเซียนขัดเกลาขั้นกลางเต็มที!

 

ตราบใดที่การทะลวงด่านคราวนี้ผ่านไปอย่างราบรื่น เขาก็จะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นกลาง!!

 

และเมื่อถึงตอนนั้นปราณสุริยันแรกกำเนิดของเขาจะยกระดับพัฒนาอีกครั้ง กลายเป็นมีพลังอำนาจเทียบได้กับอริยะเซียนขั้นกลาง!!

 

‘หากทะลวงด่านได้ ตอนนั้นต่อให้ไม่พึ่งความช่วยเหลือภายนอกทั้งพลังดิบเถื่อน แต่พลังรบของข้าก็ทัดเทียมกับอริยะเซียนขั้นกลาง! กระทั่งยังสามารถเอาชนะอริยะเซียนขั้นกลางได้หากใช้พลังลึกล้ำของยอดใจกระบี่ขั้นที่ 2!’

 

ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อการทะลวงด่าน ใจต้วนหลิงเทียนบังเกิดความตื่นเต้นไม่น้อย

 

ตอนนี้เขาไม่ได้รู้เลยว่ามีคนมากมายแค่ไหนที่อยากฆ่าเขาให้ตาย เพราะมีเพียงการฆ่าเขาให้ตาย ฐานะของพวกมันจะยกระดับครั้งใหญ่ สามารถสร้างชื่อให้ตัวเองได้…

 

“บุตรบุญธรรม? บุตรีบุญธรรม?”

 

จ้าวจี้เองที่ปิดด่านบ่มเพาะไปตลอดทั้งเดือน พอออกจากการปิดด่านมาเพราะถึงจุดรอคอย ก็อดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มถูกใจหลังได้ยินรายงานเรื่องราวที่ผ่านมาในช่วงที่มันปิดด่านจากศิษย์รับใช้ของตระกูลจ้าว…

 

“ข้ามิอยากจะเชื่อเลยว่าท่านปู่กลับกระทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับข้าด้วยวิธีอันประเสริฐเช่นนี้!!”

 

จังหวะนี้จ้าวจี้อดยิ้มแสยะไม่ได้จริงๆ “หลิงเทียน…ข้าอยากรู้นักว่าเจ้าจะรักษาชีวิตบัดซบของเจ้าไว้ได้อีกนานแค่ไหน!!”

 

นี่เป็นครั้งแรกเลยจริงๆ ที่จ้าวจี้เห็นปู่มันลงมืออย่างอุกอาจเล่นใหญ่ขนาดนี้!

 

นอกจากนั้นมันเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าว่าด้วยคำมั่นที่ปู่มันให้ไว้ น่ากลัวคนกว่า 9 ส่วนของสกุลจ้าวต้องกลายเป็นบ้าคลั่งขึ้นมา!

 

ด้วยมีสัญญาแบบนี้ ยังมีใครคิดถอดใจฆ่าหลิงเทียนได้?

 

หลังจากนั้นไม่นาน จ้าวจี้ก็ได้รับทราบว่าตอนนี้ถึงรอบที่บิดาของมันจะต้องไปเฝ้าฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องแล้ว

 

ด้วยความที่วิญญาณของฉีจิ้งยังไม่ฟื้นฟูหายดี มันจึงอยู่ในอาการกึ่งเป็นกึ่งตาย

 

และตอนนี้มันก็ถูกขังเอาไว้ในคุกลับใต้ดินของวังนภา อยู่ในตำหนักหลักของตำหนักฟ้าลี้ลับ

 

คุกลับใต้ดินนี้มีรองจ้าวตำหนักของตำหนักฟ้าลี้ลับผลัดกันมาเฝ้าทุกๆเดือน

 

ยิ่งไปกว่านั้นคิดจะบุกมาถึงคุกลับใต้ดินที่ฉีจิ้งถูกขังอยู่ ยังต้องผ่านอาวุโสของตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งศิษย์ที่เดินลาดตระเวนตรวจตราด้านนอกมากมาย รองจ้าวตำหนักที่เฝ้าฉีจิ้งคือปราการสุดท้าย!

 

และเดือนนี้ก็ถึงรอบที่จ้าวเติง บิดาจ้าวจี้ต้องไปเป็นคนเฝ้า

 

‘เอาล่ะ ในเมื่อตอนนี้ไม่มีอันใดทำ ข้าลองไปดูเจ้าฉีจิ้งอะไรนั่นหน่อยดีกว่า…จำได้ว่าเคยไปเจอมันด้านนอกครั้งหนึ่ง แต่มันก็แค่นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องไม่ได้สลักสำคัญอะไรนักหนา ข้าเลยไม่ได้ให้ความสำคัญกับมันมากนัก…’

 

สำหรับบุคคลทั่วไป คิดไปยังคุกลับใต้ดินของตำหนักฟ้าลี้ลับ นับเป็นเรื่องยากเย็นถึงขั้นแทบเป็นไปไม่ได้! แต่สำหรับจ้าวจี้เป็นอะไรที่ง่ายดายนัก!!

 

นั่นเพราะมันคือนายน้อยของสกุลจ้าว!

 

ไม่ว่าจะศิษย์หรืออาวุโสที่ลาดตระเวณด้านนอก หรือที่คอยคุ้มกันทางเข้าอะไรด้านใน ก็จำต้องไว้หน้ายอมให้มันผ่านทางแต่โดยดี เพราะเห็นแก่พลังอำนาจของสกุลจ้าว รวมถึงเห็นแก่จ้าวเติงและจ้าวจิน

 

“ท่านพ่อ…”

 

ดังนั้นจ้าวจี้จึงเดินตัวปลิวมาอย่างสบายๆไม่ติดอันใดทั้งสิ้น ทว่าพอมันเดินมาถึงหน้าประตูคุกลับใต้ดิน ก่อนที่มันจะได้เรียกหาบิดาจบคำ ก็ปรากฏร่างหนึ่งอันเสมือนผุดจากความว่างมาโผล่ตรงหน้า

 

ทั่วร่างของคนผู้นี้ยังเปี่ยมล้นไปด้วยจิตสังหารอันน่ากลัว

 

“ท่านพ่อ ข้าเอง!!”

 

สัมผัสได้ถึงจิตสังหารอันน่ากลัวนี้ จ้าวจี้รีบร้อนกล่าวออกไปเสียงดังทันที

 

“จี้เอ๋อ ไฉนเจ้ามาถึงที่นี่ได้! ใยไม่ปิดด่านบ่มเพาะพลังให้ดีเล่า?”

 

ผู้ที่คล้ายจะผุดโผล่ออกมาจากอากาศว่างเปล่าขวางประตูคุกลับใต้ดินเอาไว้ไม่ใช่ใครอื่น เป็นรองจ้าวตำหนักที่ทำหน้าที่คุ้มกันคุกลับเดือนนี้…

 

บิดาของจ้าวจี้ จ้าวเติง!

 

เมื่อพบว่าผู้ที่อยู่เบื้องหน้าที่แท้เป็นบุตรชายของตัว จ้าวเติงก็สลายจิตฆ่าฟันทันที

 

“ท่านพ่อ ข้าพึ่งออกจากการปิดด่านมา พอได้ยินว่าท่านอยู่ที่นี่ก็เลยมาหา”

 

จ้าวจี้ยิ้มกล่าว

 

“มาหาข้าถึงที่นี่สมควรเป็นเรื่องโกหกมากกว่า…แท้ที่จริงเจ้ามาหาฉีจิ้งนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องล่ะสิ?”

 

ในฐานะบิดาของจ้าวจี้ ไหนเลยจ้าวเติงจะไม่รู้ความคิดบุตรชายตัวเอง

 

จ้าวจี้หัวเราะออกมาทันที

 

“แล้วปิดด่านบ่มเพาะคราวนี้ เจ้ามีผลเลิศล้ำอันใดหรือไม่?”

 

จ้าวเติงกล่าวถาม

 

“ครั้งต่อไปที่ข้าปิดด่านบ่มเพาะ สมควรทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้สำเร็จ!”

 

จ้าวจี้ประกาศออกมาอย่างมั่นใจ

 

“โอ!!”

 

สองตาจ้าวเติงลุกวาวสว่างจ้าขึ้นมาทันใด เร่งผงกหัวอย่างแรง “ไม่เลว! เจ้าสมควรทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญได้รวดเร็วกว่าเกาเผิงของวังนภาเสียอีก…ถึงแม้ยังมิอาจเทียบกับหลิงเทียนได้ แต่นี่ก็นับว่ายอดเยี่ยมแล้ว!!”

 

วาจาท้ายประโยคนั้นจ้าวเติงเผลอกล่าวออกไปอย่างไม่รู้ตัว

 

และทันทีที่มันพูดจบ มันก็รู้ตัวว่าพลาดแล้ว

 

แน่นอนว่ามันเห็นหน้าจ้าวจี้บิดเบี้ยวไปทันใด จึงเร่งกล่าวแก้ไขสถานการณ์ทันที “แต่หลิงเทียนนั่นก็มิอาจอยู่ได้นานนัก! ข้ามั่นใจว่าก่อนมาที่นี่เจ้าสมควรได้ยินเรื่องที่ท่านปู่ของเจ้าให้คำมั่นแล้วใช่หรือไม่? ครั้งนี้ท่านปู่ของเจ้าตัดสินใจลงมือด้วยตัวเอง ไม่แม้แต่จะถามความเห็นของข้าด้วยซ้ำ!”

 

“ตอนนี้พี่น้องทุกคนในสกุลจ้าวล้วนกำลังหาทางฆ่าหลิงเทียนให้เจ้าทั้งสิ้น!” กล่าวจบจ้าวเติงก็อดไม่ได้ที่จะระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง

 

ในใจของบิดามัน ตัวมันจ้าวเติงที่เป็นบุตรชาย…คล้ายจะมีความสำคัญน้อยกว่าหลานชายอย่างจ้าวจี้ ซึ่งเป็นลูกชายคนเดียวของมันเสียอีก…

 

อย่างไรก็ตามทั้งหมดจ้าวจินล้วนกระทำเพื่อจ้าวจี้ลูกชายคนเดียวของมัน จ้าวเติงแน่นอนว่าย่อมไม่คิดแข่งขันแย่งชิงความรักจากบิดากับลูกตัวเอง เพียงแค่น้อยใจไปบ้างบางครั้งเท่านั้น…

 

“ใช่! ด้วยคำมั่นนี้ของท่านปู่ หลิงเทียนมันต้องตายแน่!!”

 

แววตาจ้าวจี้เผยประกายเย็นเยือกท่วมท้นไปด้วยเจตนาฆ่าฟัน!