บทที่ 52 จำคุก โดย Ink Stone_Romance
อวี๋หวั่นมองชามเล็กทั้งสามที่ถูกดันมาอยู่ข้างหน้าตน แต่ละชามล้วนเป็นข้าวผสมน้ำแกงที่เต็มไปด้วยผักและเนื้อ มีหูฉลามที่ส่องประกาย ลูกชิ้นที่ชุ่มฉ่ำ เนื้อหอยตากแห้งที่หวานอร่อย หน่อไม้ฤดูหนาวที่นุ่มลิ้น รวมถึงเห็ดป่าหลายชนิดที่ถูกต้มจนแทบจะรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับน้ำแกง
นี่ก็คืออาหารเลิศรสที่สมจริงดังคำเล่าลือ
น้ำแกงเหมือนจะทำมาจากกระดูกหมูเป็นหลัก มีกลิ่นกระดูกเข้มข้นลอยออกมา และยังมีไขกระดูกสีขาวนวลลอยอยู่บนน้ำแกง
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าท้องที่ไม่หิวแล้วของตนกลับร้องโครกครากอีกครั้ง
ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอาหาร บริเวณร้านไม่มีลูกค้าคนอื่น มีเพียงเจ้าของร้านที่ต้มเกี๊ยวเงียบๆ อยู่ด้านข้างกับภรรยาของเขาเท่านั้น
ทั้งสองคนได้กลิ่นหอมที่ยั่วยวนจึงอดเหลือบมามองทางด้านนี้ไม่ได้
เด็กๆ หันหลังให้พวกเขา ทำให้พวกเขาเห็นแค่แผ่นหลังทั้งสาม แต่ของบนโต๊ะนั้น…
สองสามีภรรยากลืนน้ำลายเบาๆ แล้วไม่เอ่ยอะไร เพียงแค่ก้มหน้าต้มเกี๊ยวในมือต่อไป
เด็กน้อยทั้งสามเอามือไขว้หลัง เบิ่งตาดวงโตสีดำขลับแล้วมองอวี๋หวั่นอย่างไม่กะพริบ
ความหมายนั้นชัดเจนจนมิรู้จะชัดเจนอย่างไรแล้ว…
ให้ ท่าน กิน
อวี๋หวั่นอึ้งแล้ว
“พวกเจ้ารู้ว่าข้าเป็นใครหรือ?”
เด็กน้อยทั้งสามจ้องเธออย่างน่ารักน่าเอ็นดู
“ระหว่างทางเมื่อวาน พวกเจ้าตื่นมาเห็นข้าใช่หรือไม่?”
ยังคงจ้องเธออย่างน่ารักน่าเอ็นดูเช่นเดิม
อวี๋หวั่นรู้สึกว่าน่าจะเดาได้ถูกต้อง
พวกเขาดูอายุยังไม่ถึงสองปีดี แต่กลับเห็นเธอครั้งเดียวก็จำได้แล้ว ช่างเป็นเด็กน้อยที่ฉลาดจริงๆ
อวี๋หวั่นมองข้าวบนโต๊ะอีกครั้งพลางคิดในใจว่า ‘แถมยังรู้จักตอบแทนบุญคุณด้วย’
มีเด็กที่ฉลาด รู้เรื่องรู้ราวและยังน่ารักเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
อวี๋หวั่นไม่ชอบเด็กมาตลอด แต่ตอนนี้รู้สึกว่าใจของตัวเองละลายเพราะพวกเขาแล้ว
ใครจะคาดเดาได้ว่าบุตรสาวสกุลเหยียนน่ารังเกียจเช่นนั้น เด็กที่นางให้กำเนิดกลับน่ารักยิ่งเช่นนี้
อยากขโมยกลับบ้านจังเลย ทำอย่างไรดี…
อวี๋หวั่นตกใจจนตัวแข็งทื่อเพราะความคิดที่ผุดขึ้นมาในหัว กระทั่งท้องก็ไม่ส่งเสียงร้องแล้ว!
เธอคงบ้าไปแล้ว นี่คือลูกของคนอื่นไม่ใช่ของเธอสักหน่อย เธอคิดอะไรอยู่นี่?
อวี๋หวั่นสูดลมหายใจลึก ค่อยๆ ตั้งสติแล้วมองไปที่เด็กทั้งสาม “พวกเจ้ามากับใครล่ะ? เขารู้ไหมว่าพวกเจ้ามานี่?”
เด็กน้อยทั้งสามไม่ตอบ
สายตาของอวี๋หวั่นมองทั้งสามคนสลับไปมารอบหนึ่ง “พวกเจ้าสามคนใครคือคนโต?”
ในที่สุดก็มีการตอบสนองแล้ว ทั้งสามล้วนเบียดกันเดินออกมาหนึ่งก้าว!
แต่ละคนต่างอยากเป็นคนโต!
อวี๋หวั่น “…”
อวี๋หวั่นถามอะไรต่อไม่ออก ได้แต่รอเป็นเพื่อนพวกเขาอยู่ตรงนี้
จู่ๆ ท้องของเด็กทั้งสามก็ส่งเสียงออกมา
“ที่แท้พวกเจ้าก็ยังไม่ได้กินอะไรเช่นกันสินะ” อวี๋หวั่นยกชามเล็กบนโต๊ะขึ้นมาจะป้อนให้พวกเขา แต่ไม่ว่าอย่างไรพวกเขาก็ไม่ยอมอ้าปาก
อวี๋หวั่นครุ่นคิดแล้วตักลูกชิ้นจากแต่ละชามมาใส่ชามเกี๊ยวน้ำของตน
เกี๊ยวน้ำนั้นกินยากจริงๆ แม้แต่ลูกชิ้นก็กลายเป็นกินยากไปเช่นกัน แต่อวี๋หวั่นกลับรู้สึกว่านี่เป็นของอร่อยที่สุดเท่าที่เธอเคยกินมา
แม้แต่น้ำแกงหยดสุดท้ายเธอก็กินจนเกลี้ยง
เธอลูบท้องที่ยัดอะไรเข้าไปไม่ไหวอีกแล้วเบาๆ “ข้ากินอิ่มแล้ว ให้กินอีกท้องคงแตกเป็นแน่”
เด็กน้อยทั้งสามเห็นเธอแน่นท้องจริงๆ ถึงได้ยอมอ้าปาก รอให้อวี๋หวั่นป้อนอย่างว่าง่าย
เหล่าเด็กน้อยช่างว่าง่ายนัก ป้อนอะไรให้ก็กินหมด ไม่เลือกกินไม่อืดอาด ทั้งสามชามใกล้หมดอย่างรวดเร็ว
เห็นพวกเขากินกันอย่างเพลิดเพลิน อวี๋หวั่นก็ได้สัมผัสกับความรู้สึกมีความสุขอย่างหนึ่ง
พวกเขาเป็นลูกของเหยียนหรูอวี้ เธอรังเกียจเหยียนหรูอวี้ขนาดนั้น ทำไมถึง…
‘หรือฉันจะเป็นแม่พระนะ?’
อวี๋หวั่นคิดด้วยใบหน้าสิ้นหวัง
เด็กน้อยทั้งสามกินข้าวคำสุดท้ายหมดแล้ว แม้แต่ข้าวสักเม็ดก็ไม่เหลือทิ้งขว้าง
อวี๋หวั่นหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเตรียมจะเช็ดปากให้เด็กๆ ไหนเลยจะรู้ว่าขณะนั้นเอง ตรงปากตรอกมีเสียงฝีเท้าเร่งรีบดังมา ต่อจากนั้นเจ้าหน้าที่กลุ่มใหญ่ก็กรูกันเข้ามาในตรอก
อวี๋หวั่นไม่เคยเห็นเจ้าหน้าที่ของเมืองหลวงมาก่อน แต่เจ้าของร้านกับภรรยาเห็นครู่เดียวก็จำฐานะของอีกฝ่ายได้
พวกเขาคือหน่วยตรวจตราของจวนจิงจ้าว หน่วยตรวจตราเป็นประเภทหนึ่งของมือปราบ แต่ตำแหน่งสูงกว่ามือปราบ บ่อยครั้งเมื่อเกิดคดีใหญ่ในเมืองหลวงก็จะส่งหน่วยตรวจตราที่มีชื่อเสียงและความสามารถออกมา
ตรอกที่ไม่ถือว่าแคบนักพลันอัดแน่นไปด้วยหน่วยตรวจตราสิบกว่าคน
“คนอยู่ไหน?” ผู้ตรวจตราหนุ่มเอ่ยถาม
ภรรยาเจ้าของร้านมิทราบว่าไปล่วงเกินจวนจิงจ้าวอย่างไร นางตกใจจนทิ้งเกี๊ยวในมือแล้วลุกขึ้นยืนอย่างลุกลี้ลุกลน
พนักงานที่อยู่ข้างผู้ตรวจตรากลับเดินผ่านพวกเขาไป ก่อนจะยื่นมือชี้ไปอย่างตระหนก “ยะ…อยู่ตรงนั้น”
คนที่ถูกชี้กลับเป็นอวี๋หวั่น
อวี๋หวั่นชะงักมือที่ถือผ้าเช็ดหน้า มองไปยังพนักงานหอไฉ่อวิ๋นที่ชี้ตนเองด้วยสีหน้าสงบนิ่ง
ผู้ตรวจตราเห็นนางก็อดหรี่ตามองไม่ได้ แม่นางคนนี้หน้าตาไม่เลวจริงๆ!
“ข้าทำอะไรรึ ท่านถึงต้องพาเจ้าหน้าที่มาจับตัวข้า?” อวี๋หวั่นมองพนักงานพร้อมถามเสียงเรียบ
พนักงานไม่กล้ามองตาของเธอ ได้แต่ก้มหน้างุดต่อไป
พูดตามตรง เขาเองก็มิคาดว่าเรื่องจะกลายมาเป็นเช่นนี้ เขาแค่รายงานเรื่องผ้าให้ผู้จัดการร้านฟังโดยละเอียด เดิมคิดว่าผู้จัดการจะชมเชยที่เขาทำธุรกิจได้ดี ผู้ใดจะรู้ว่าผู้จัดการกลับยืนกรานว่าของเหล่านั้นเป็นของบรรณาการจากในวัง คนบ้านนอกสองคนไม่มีทางมีของจากในวังได้ จักต้องเป็นของโจรแน่นอน
เขาถามไปว่า คนบ้านนอกจะกล้าไปขโมยของในพระราชวังได้อย่างไร? อีกทั้งไม่น่ามีความสามารถนั้นด้วย
แต่ผู้จัดการกลับตอบว่า ไม่จำเป็นว่าพวกเขาต้องเป็นคนขโมยเอง บางทีอาจจะรับมาขายต่อก็เป็นได้
จากนั้นผู้จัดการก็แจ้งกับทางการไป
และหลังจากนั้นอีก เขาก็ถูกผู้ตรวจตราลากมายืนยันตัวอวี๋เฟิงกับอวี๋หวั่น
เดิมคดีเช่นนี้มิได้ทำให้หน่วยตรวจตราตื่นตระหนกได้ ทว่าผู้ตรวจตราที่เพิ่งรับตำแหน่งผู้นี้ไม่เคยได้รับคดีใดๆ เมื่อได้ยินว่ามีคนแจ้งความก็รีบรุดมาในทันที
“บอกว่าเป็นสองพี่น้องมิใช่รึ?” ผู้ตรวจตราถามอย่างไม่สบอารมณ์
พนักงานตอบเสียงค่อย “ข้าน้อยมิทราบ ใต้เท้าเหยียนถามนางเองเถิด”
ใต้เท้าเหยียน? อวี๋หวั่นขมวดคิ้วเบาๆ “ท่านคือคนของจวนแม่ทัพหรือ?”
จู่ๆ ถูกจำฐานะได้ ผู้ตรวจตราก็เท้าเอวพร้อมกับยิ้มกว้าง “ถูกแล้ว ข้าคือบุตรชายคนโตของจวนแม่ทัพ! ยืนไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่[1] ข้ามีนามว่าเหยียนเซี่ย! คุณชายเยี่ยนเป็นน้องเขยของข้า! บุตรของเขาก็คือหลานของข้า!”
เด็กน้อยทั้งสามมองเขาด้วยสีหน้ารังเกียจ!
เหยียนเซี่ยไม่ได้สังเกตเห็นเด็กๆ ที่อยู่ข้างกายอวี๋หวั่นเลยแม้แต่น้อย “จำข้าได้ถือว่าสายตาเจ้าไม่เลว แต่น่าเสียดาย ข้าเป็นคนเห็นประโยชน์ส่วนรวมมากกว่าประโยชน์ส่วนตน เจ้าจะสานสัมพันธ์กับข้าเพียงใด ข้าก็ไม่มีทางยกโทษให้เจ้า มาเร็ว! จับตัวนางไปศาลาว่าการ!”
เด็กน้อยทั้งสามกอดขาอวี๋หวั่นไว้ ต่างจ้องเหยียนเซี่ยอย่างขึงขัง
หน่วยตรวจตราคนหนึ่งแตะแขนเหยียนเซี่ยเบาๆ “ใต้เท้า ตรงนี้มีเด็กสามคนขอรับ”
“ก็จับมาให้หมด!” เหยียนเซี่ยตอบโดยไม่คิด
หน่วยตรวจตรา “แต่ว่า…”
เหยียนเซี่ยตัดบทเขาอย่างฉุนเฉียว “แต่อะไรเล่า? ให้เจ้าจับก็ไปจับมา! จับกลับไปให้หมด! ประเดี๋ยวตรวจตราแถบนี้อีกครั้ง ต่อให้ต้องขุดดินสามฉื่อก็ต้องหาชายคนนั้นมาให้ข้าให้ได้! นี่เป็นคดีแรกที่ข้ารับผิดชอบ ใครขัดขวางการสร้างความดีความชอบของข้า ข้าจะเอาเรื่องมันซะ!”
………………………………………………
[1] ยืนไม่เปลี่ยนชื่อ นั่งไม่เปลี่ยนแซ่ เป็นหนึ่งในคำคมจอมยุทธ์จากหนังจีนกำลังภายใน