มหายุทธ์ สะท้านภพ บทที่ 583
หลัวซิวก้าวเข้าสู่ห้องโถงตามที่บอก ภายใต้การส่งสัญญาณของเจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิว ให้เดินไปยืนอยู่ด้านหลังเขา

นี่เป็นครั้งแรกที่หลัวซิวได้อยู่ใกล้กับผู้แข็งแกร่งระดับพรีเมี่ยมยุทธ์ระยะกระชั้นชิด ยิ่งไปกว่านั้นพรีเมี่ยมยุทธ์ทั้งสี่คน ยังไม่ใช่พรีเมี่ยมยุทธ์ทั่วไป แต่เป็นอนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์!

อนาคินราชายุทธ์สามารถข้ามแดนฆ่าจักรพรรดิยุทธ์ อนาคินจักรพรรดิยุทธ์สามารถข้ามแดนฆ่ามหายุทธ์ และอนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์ ก็สามารถข้ามแดนฆ่ามหาจักรพรรดิยุทธ์อันทรงพลังได้!

ถึงแม้จะเป็นแดนเจ้ายุทธจักร แต่มันเทียบกับว่าหลัวซิวในตอนนี้กำลังเพชิญหน้ากับการคงอยู่ของระดับมหาจักรพรรดิยุทธ์ทั้งสี่!

ในเวลานี้ ดวงตาของหลัวซิวค่อยๆหรี่ลง สังเกตเห็นหญิงสาวเยาว์วัยใบหน้างดงามที่ยืนอยู่ด้านหลังเจ้ายุทธจักรหยกนาราเทพธิดาหานยู่ ภาพของร่างหนึ่งในความทรงจำกับหญิงสาวตรงหน้าค่อย ๆ ซ้อนทับกัน

“เมิ่งเหยา?”

หลัวซิวแววตาเป็นประกาย จากลากันไปตั้งหลายปี คาดไม่ถึงว่าเขาจะได้มาพบกับนางอีกครั้งที่นี่

ลู่เมิ่งเหยาก็มองไปทางหลัวซิวเช่นกัน ตาสองคู่ประสานกัน มีประกายแห่งความตื่นเต้นปรากฏในดวงตาที่พร่างพรายคู่นั้น

เพียงแต่ว่ามีสี่เจ้ายุทธจักรอยู่ที่นี่ด้วย ความตื่นเต้นนั้นจึงได้ถูกนางกดเอาไว้ ไม่ได้แสดงออกมา

ตอนนั้นหลัวซิวรู้ว่าลู่เมิ่งเหยาถูกคนใหญ่คนโตในสี่แก๊งใหญ่พาตัวไป แต่หัวหน้าแก๊งเสิ่นหยวนหนานก็ไม่รู้ว่าคนที่พานางไป แท้จริงแล้วเป็นใครกันแน่

ในตอนนี้หลัวซิวถึงได้รู้ว่า คนที่พาลู่เมิ่งเหยาไป เป็นถึงหัวหน้าลาดตระเวนแห่งอาณาจักรตะวันออก เจ้ายุทธจักรหยกนารา!

ห่างกันไปนานหลายปี ลู่เมิ่งเหยายังคงงดงามเช่นเดิม แต่เอกลักษณ์กลับต่างจากเมื่อก่อนอย่างสิ้นเชิง กลายเป็นคนที่สุขุม นิ่งสงบ ดวงตาที่ไร้เดียงสาของของเด็กสาวอ่อนเยาว์ในตอนนั้น ก็กลายเป็นแววตาที่เฉลียวฉลาด

คนที่มีความเปลี่ยนแปลงมากกว่ากลับเป็นหลัวซิว เมื่อก่อนเขายังเป็นเด็กน้อยอายุสิบกว่าปี ใบหน้านั้นเปลี่ยนแปลงไปเล็กน้อย ตัวก็สูงของขึ้นด้วย

“เหอ ๆ เจ้าคงจะเป็นหลัวซิว?” เทพธิดาหานยู่สังเกตได้ถึงสายตาที่ประสานกันของทั้งสองคน จึงได้พูดขึ้นพร้อมรอยยิ้ม

“เป็นข้าน้อย” หลัวซิวพยักหน้า

ถึงแม้เขาจะเป็นเจ้าสำนักไท่เสวียน แต่ต่อหน้าผู้แข็งแกร่งระดับอนาคินพรีเมี่ยมยุทธ์ การเรียกตนเองว่าผู้น้อยไม่ถือเป็นการดูถูกสถานะตนเอง

“เมิ่งเหยาชอบพูดถึงเจ้ากับข้าอยู่บ่อย ๆ คาดไม่ถึงว่าในตอนนั้นข้าจะพลาดอัจฉริยะอย่างเจ้าไปได้” เทพธิดาหานยู่พูดด้วยรอยยิ้มเล็กน้อย รูปลักษณ์ที่สง่างามนั้นหาตัวจับยาก

หากพูดถึงใบหน้าที่งดงาม เทพธิดาหานยู่คนนี้อาจจะด้อยกว่าเหยียนเยว่เอ๋อร์หรือลู่เมิ่งเหยาอยู่เล็กน้อย แต่ท่วงท่าที่ราวกับนางฟ้านางสวรรค์ของนาง กลับเอาชนะพวกนางทั้งสองได้อย่างขาดรอย ทำให้เมื่อหลัวซิวอยู่ต่อหน้านาง ก็ทำให้เขารู้สึกว่าตัวเองขี้เหล่จนน่าละอาย

แม้แต่จิตใจของหลัวซิวนังเกิดความรู้สึกเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่าเอกลักษณ์ของเทพธิดาหานยู่คนนี้แตกต่างจากคนทั่วไปขนาดไหน

“ท่านเทพธิดาพูดเช่นนี้ ท่านพาตัวอัจฉริยะอาณาจักรใต้คนหนึ่งของข้าไป แล้วยังคิดจะกวาดไปทั้งหมดเลยหรืออย่างไร?” เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวหัวเราะแห้ง ๆ

เห็นได้ชัดว่า เรื่องที่ในตอนนั้นเทพธิดาหานยู่พาตัวลู่เมิ่งเหยาออกไปจากอาณาจักรใต้นั้น เจ้ายุทธจักรอัคคีหวูชิวก็รู้เรื่องนี้ดี

หลัวซิวเพิ่งจะสังเกตว่า ผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยา เพิ่มขึ้นรวดเร็วยิ่งกว่าเขาเสียอีก ตอนนี้บรรลุถึงมกุฎยุทธ์ขั้นสามแล้ว

นั่นทำให้หลัวซิวรู้สึกประหลาดใจอยู่ไม่น้อย เขาจำได้ว่าตอนนั้นผลการฝึกตนของลู่เมิ่งเหยาต่ำกว่าเขามาก อีกทั้งพรสวรรค์ด้านการฝึกตนก็ไม่ได้ถือว่าสูงนัก เทพธิดาหานยู่เห็นอะไรในตัวนางกันแน่ อีกทั้งยังใช้เวลาเพียงน้อยนิดฝึกฝนจนนางบรรลุถึงแดนมกุฎยุทธ์?

หลัวซิวถามตัวเอง การฝึกตนของตนนั้นจริง ๆ ก็ถือว่าเร็วมาก ๆ แล้ว แต่ลู่เมิ่งเหยากลับเร็วกว่าตนอีก หรือเขาจะเข้าใจผิดในความสามารถของเธอในตอนนั้น?

“เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็คงต้องขอบใจหลัวซิวด้วย หากไม่ได้เขา หากไม่ได้เขาช่วยคลายโรคชีพจรขาดธาตุไฟในร่างกายของเมิ่งเหยา เกรงว่าคงไม่ต้องรอให้ข้าหานางเจอ นางก็น่าจะถูกธาตุไฟเผาจนไหมตายไปแล้ว”

เทพธิดาหานยู่ฉีกยิ้มที่ดูเหมือนกับดอกไม้กำลังเบ่งบาน “โรคชีพจรขาดธาตุไฟนี้ คำว่า‘ขาด’ นั่นก็คือขาดพลังชีวิต อย่างไรก็ตาม สรรพสิ่งในโลกล้วนมีรัศมีแห่งชีวิต โรคชีพจรขาดธาตุไฟเมื่อถูกกำจัดไปแล้ว ร่างกายก็จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลง กลายเป็นร่างของวิญญาณน้ำแข็งที่อยู่ตรงข้ามกับธาตุไฟ”