บทที่ 54 โดย Ink Stone_Romance
บทที่ 54 เพื่อนเก่า (4)
“ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เชื่อเธอนะเสี่ยวซี พี่แค่ไม่เชื่อพวกฉู่ซ่งกับฉู่อี้ ดึกมากแล้ว หิวหรือเปล่า พี่ไปทำกับข้าวให้กินดีไหม?”
อี้เป่ยซีขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่ม น้ำเสียงอู้อี้ “ไม่ต้องแล้ว ฉันง่วงมาก กินข้าวไม่ลง”อี้เป่ยเฉินไม่มีท่าทีต้องการจะจากไป กอดเธอไว้อย่างนั้น ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้มลงเล็กน้อย ทั้งสองคนที่เดิมทีกอดกันต่างลืมตา ต่างคนต่างมีเรื่องในใจ
อี้เป่ยเฉินมองดูทิวทัศน์นอกหน้าต่างยาวที่มืดครึ้มลง จากนั้นก็ค่อยๆ สว่างขึ้นมาอีกครั้ง ‘เสี่ยวซี นานขนาดนี้แล้ว ทำไมยังไม่ปล่อยวาง ทำไมตั้งหลายวันแล้วยังไม่เข้าใจ’ เขารู้สึกว่าคนในอ้อมกอดเคลื่อนไหว จึงอดไม่ได้ที่จะกอดแน่นขึ้นอีกเล็กน้อย พร้อมตัดสินใจว่าจะไม่มีวันปล่อยให้หลุดมือไป
“พี่เป่ยเฉินจะกอดเป่ยซีแบบนี้ตลอดไปเหรอ?” เสียงของอี้เป่ยซีขึ้นจมูกมาก น้ำเสียงยังคงแหบแห้งอยู่บ้าง เหมือนกับว่าร้องไห้มานาน อี้เป่ยเฉินปวดใจเล็กน้อย เขาต้องการจะดึงผ้าห่มที่คลุมตัวอี้เป่ยซีออก แต่ว่าถูกเธอดึงไว้สุดชีวิต
“เสี่ยวซี อย่าให้ตัวเองกลุ้มใจสิ”
“นี่เป็นสิ่งที่พี่เป่ยเฉินต้องการไม่ใช่เหรอ เสี่ยวซีอยู่ในบ้านแบบนี้ตลอดมันดีมากไม่ใช่เหรอไง? ไม่มีฉู่ซ่ง ไม่มีฉู่อี้ ไม่มีลั่วจื่อหาน พี่เป่ยเฉินน่าจะดีใจไม่ใช่เหรอ”น้ำตาเม็ดใหญ่ร่วงลงมาจากดวงตาของอี้เป่ยซี เปียกชื้นเป็นปื้น เธอกัดฟันพลางหายใจหอบเล็กน้อย ในช่วงเวลาหนึ่ง ทั้งสองคนต่างรู้สึกเจ็บปวดกันทั้งคู่
“เสี่ยวซี อย่าเอาแต่ใจเลย” ถกเถียงกันเนิ่นนานแล้ว อี้เป่ยเฉินก็รู้สึกว่าอ่อนล้าไม่น้อย “เธออยากให้พี่ทำยังไงกันแน่ เธอยกโทษให้พวกเขาได้ แต่ว่าพี่ยกโทษให้ไม่ได้”
คนบนเตียงยังคงไร้การตอบสนอง เขาถอนหายใจ “ถ้าเธออยากขังตัวเองอยู่ในนี้ก็ทำต่อไปเถอะ พี่ยังมีงานอีก ต้องกลับบริษัทก่อน ข้าวทำให้เธอเสร็จแล้ว จะไปกินเมื่อไรก็ได้ ช่วงนี้เธอไม่ควรติดต่อกับคนภายนอก พี่จะเอามือถือไปก่อน”อี้เป่ยเฉินลุกขึ้น ขณะที่ออกไปก็มองอี้เป่ยซีที่ซ่อนอยู่บนเตียงอีกครั้งอย่างลึกซึ้ง ความรู้สึกไร้กำลังและโกรธเกรี้ยวผูกเข้าด้วยกัน เขาปิดประตู เสียงล็อกประตูดังขึ้นเบาๆ
อี้เป่ยซีได้ยินเสียงปิดประตูจึงค่อยออกมาจากผ้าห่ม ตาทั้งคู่บวมแดงจากการร้องไห้ เธอลุกขึ้นนั่งกอดตัวเอง ดวงตาที่แห้งเหือดเหม่อมองเพดาน ผ่านไปเนิ่นนานก็คว้าหมอนทุกใบบนเตียงโยนออกไป เธอกำเสื้อผ้าบนตัวของตัวเองแล้วร้องไห้อีกครั้ง ไม่รู้ว่ากำลังร้องไห้เพราะตัวเองหรือว่าเพราะเรื่องอื่นกันแน่
มือถือถูกยึดไป อินเทอร์เน็ตถูกปิด อี้เป่ยซีทรุดตัวนั่งลงบนโซฟาในห้องรับแขก บ้าเอ๊ย จะไม่ให้เธอออกไปตลอดกาลเลยหรือไง? พี่เป่ยเฉินเห็นเธอเป็นอะไร? ขว้างแก้วในมือทิ้ง เสียงแก้วแตกดังลั่น น้ำไหลกระจายออกมา เธอเอียงศีรษะ ไม่มีทางออกเลยสักนิด
“เธอดูไม่มีความสุขเอาซะเลยนะ” ไม่รู้ว่าลั่วจื่อหานเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไร เขาเดินลงบันไดมาจากชั้นสองช้าๆ อี้เป่ยซีมองคนที่ปรากฏตัวขึ้น สีหน้าตกใจ
“นายเข้ามาได้ยังไง?”
ลั่วจื่อหานลูบผมของเธอ แล้วหัวเราะ “ไม่มีอะไรขวางฉันได้หรอก ไปเถอะ”
“ไปไหน?”
“เธออยากไปไหนล่ะ?”
อี้เป่ยซีกัดริมฝีปากส่ายหน้า “ข้างนอกยังมีคนของพี่เป่ยเฉิน พวกเขาไม่ปล่อยฉันออกไปแน่”
“เสี่ยวซี เธอดูถูกฉันเกินไปแล้ว ในเมื่อฉันเข้ามาตอนที่พวกเขาจับตามองได้ ก็ต้องออกไปภายใต้การควบคุมของพวกเขาได้อยู่แล้ว” ลั่วจื่อหานกล่าวด้วยท่าทีอวดเก่ง ทันใดนั้นเอง อี้เป่ยซีก็ติดเชื้อความเชื่อมั่นจากเขาเสียแล้ว เธอพยักหน้าหงึกหงัก
“ฉันไปเปลี่ยนเสื้อก่อน แป๊บเดียวก็ได้แล้ว”
“ได้” เธอกลับห้องตัวเอง จากนั้นก็หาเสื้อคลุมง่ายๆ มาตัวหนึ่ง ตอนลงมาข้างล่างก็เห็นลั่วจื่อหานกำลังง่วนอยู่หน้าประตู คิ้วขมวดกันเล็กน้อย ท่าทางจริงจังมาก ผ่านไปครู่เดียว คิ้วก็ผ่อนคลายเหมือนเดิม ประตูใหญ่ถูกเปิดออกช้าๆ
ตอนนี้นอกจากประหลาดใจแล้ว อี้เป่ยซีก็ยังประหลาดใจอีก แม้เธอจะไม่เข้าใจหลักการของเทคโนโลยีขั้นสูงในปัจจุบัน แต่เธอรู้ว่าเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยของอี้เป่ยเฉินถึงจะพูดไม่ได้ว่าเป็นผู้นำ แต่ก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว ทำไมของเหล่านั้นจึงถูกเขาปลดออกอย่างง่ายดายเช่นนี้ ราวกับเป็นเพียงเครื่องประดับอย่างไรอย่างนั้น
“คิดไม่ถึงว่านายจะปลดล็อคเป็น”
ตาของลั่วจื่อหานกระตุก ดึงมือของเธอออกไปข้างนอกทันทีโดยไม่พูดไม่จา พาเธอเข้าไปในรถ ขับออกไปอย่างรวดเร็วราวกับติดปีกบินแต่ก็ไม่ทิ้งความราบรื่นมั่นคง
ชายหนุ่มหันหน้าไปเห็นเด็กสาวที่ร้องไห้จนดวงตาแดงก่ำ รู้สึกปวดใจเล็กน้อย ถ้าตัวเองมาเร็วกว่านี้ก็ดีสิ
“นายรู้จักฉู่ซ่ง?”
ลั่วจื่อหานพยักหน้า “อืม เมื่อก่อนเคยเจอเขาที่ประเทศ Z”
“ประเทศ Z ก็คือประเทศ Z ที่เขาใช้ชีวิตมาโดยตลอดก่อนหน้านี้ นายรู้ไหมว่าเขาใช้ชีวิตเป็นยังไงบ้าง คุณพ่อกับคุณแม่ฉู่ยังสบายดีไหม พวกเขา…”
“เรื่องพวกนี้เธอไปถามเขาเองดีกว่า ฉันตอบอะไรไม่ได้”
อี้เป่ยซีพยักหน้า พิงอยู่ข้างหน้าต่างรถ ‘ดีจังเลย ในที่สุดก็ได้เจอกับนายแล้ว ฉู่ซ่ง’ระหว่างที่คิดรอยยิ้มยินดีก็ปรากฏอยู่บนใบหน้าโดยไม่รู้ตัว ลักยิ้มจางๆ นั้นเหมือนอาบด้วยแสงอาทิตย์
“อันนี้ฉันให้เธอ”
“นี่คืออะไร” อี้เป่ยซีรับกล่องของขวัญที่หีบห่อสวยงามมา แปลกใจเล็กน้อย “นายให้ฉัน หรือว่าฉู่ซ่งฝากนายมาให้ฉัน”
ลั่วจื่อหานมองเธอแวบหนึ่ง จากนั้นก็มองไปข้างหน้าอีกครั้ง ตอบอย่างเรียบง่ายว่า “ทั้งสองอย่าง เธอเปิดดูก็รู้แล้ว”
เธอแกะห่อออกด้วยท่าทางจริงจังมาก สร้อยข้อมือเพชรสีฟ้าเส้นหนึ่งปรากฏสู่สายตา อี้เป่ยซีรู้สึกว่าตัวเองหยุดหายใจ เธอหยิบสร้อยข้อมือออกมา มันเหมือนสร้อยเส้นหนึ่งของตัวเองเมื่อก่อนแต่ก็ไม่เหมือนเสียทีเดียว เธอพิจารณาดูอย่างละเอียด ถอนหายใจเบาๆ ผ่านไปนานขนาดนั้นแล้ว สิ่งที่เคยคิดว่าชัดเจนมากสุดท้ายก็กลับเลือนราง เมื่อได้เห็นมันอีกครั้ง แม้แต่รายละเอียดที่ตัวเองคิดว่าตราตรึงไว้ก็ลืมไปแล้ว
“ลั่วจื่อหาน ขอบคุณนะ” อี้เป่ยซีวางมันลงอย่างดี แล้วห่อกล่องกลับไปอีกครั้ง
“ไม่เหมือนของเธอตอนเด็กๆ เลย”
อี้เป่ยซีหัวเราะเบาๆ น้ำเสียงฟังดูหดหู่เล็กน้อย “ก็นี่มันไม่ใช่ของฉันนี่นา ฉันก็เลยทิ้งมันไว้ นี่เป็นของฉู่เซี่ย อี้เป่ยซีจะเอาไปไม่ได้”
“มันไม่เหมือนกันเหรอ?”
“ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว” อี้เป่ยซีละสายตาไปจากกล่อง แล้วเอ่ยปากช้าๆ “นี่เป็นเรื่องของฉู่เซี่ยกับพี่ชายตัวน้อยคนนั้น ไม่มีฉู่เซี่ยแล้ว เรื่องราวของพี่ชายคนนั้นก็หายไปด้วย ไม่รู้ว่าเขายังรอฉู่เซี่ยอยู่ที่ปากถนนหรือเปล่า ไม่รู้ว่าจะโกรธที่ฉู่เซี่ยผิดนัดหรือเปล่า”
“เรื่องนี้เธอแบ่งแยกชัดเจนมาก” ลั่วจื่อหานพูด ไม่รู้ว่าในใจตัวเองรู้สึกอย่างไร ฉะนั้นเธออยากจะพูดว่าฉู่เซี่ยก็คือฉู่เซี่ยอี้เป่ยซีก็คืออี้เป่ยซีบ้าบออะไรนั่นเหรอ? มือที่จับพวงมาลัยออกแรงโดยไม่รู้ตัว
“ฉู่เซี่ยชอบพี่ชายตัวน้อยคนนั้นจริงๆ นะ แต่ว่าต่อให้ชอบอีกแค่ไหนก็ไม่มีประโยชน์” อี้เป่ยซีก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง ราวกับว่ากำลังตัดสินใจอะไรบางอย่างที่ยิ่งใหญ่
“เธอ…ไม่เคยคิดจะตามหาเขาเหรอ?”
อี้เป่ยซีเงยหน้ามองเขาด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ลั่วจื่อหาน ทำไมนายถึงได้ห่วงเรื่องนั้นขนาดนี้”
เขาฝืนยิ้ม ยากที่จะซ่อนความเศร้าโศกบนใบหน้า “เพราะว่าความรู้สึกของการถูกทิ้งให้รอมาตลอด ตามหามาตลอด มันทรมานมากจริงๆ”
…………………….