ตอนที่ 398 หมอพเนจร / ตอนที่ 399 เส้นด้าย

จอมใจจ้าวพิษ

ตอนที่ 398 หมอพเนจร 

 

 

ถังเฉียนนิ่งเงียบครู่หนึ่ง แล้วจึงพูดว่า 

 

 

“ถ้ายาเทียบนี้มีผลดีอย่างที่พูดจริง ข้าย่อมยินดีใช้ แต่หมอเกาเอาแมลงด้ายทองให้ข้าดูหน่อยได้หรือไม่” 

 

 

สีหน้าหมอหลวงเกาเปลี่ยนไปทันที เขากระแอมแล้วพูดว่า 

 

 

“พระสนม นี่เท่ากับไม่ไว้ใจกระหม่อมใช่หรือไม่” 

 

 

ถังเฉียนสั่นศีรษะ 

 

 

“จะพูดว่าไม่ไว้ใจได้อย่างไร ที่หมอเกาพูดเช่นนี้ย่อมไม่ถูกต้อง ข้าก็แค่อยากรู้เกี่ยวกับยาตัวนี้เท่านั้น ที่หมอเการะวังตัวอย่างนี้ กลับทำให้ข้าสงสัยแล้ว” 

 

 

หมอหลวงเกาลังเลเล็กน้อย มองสำรวจถังเฉียนครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า 

 

 

“พระสนม ไม่ใช่กระหม่อมไม่ยินดีให้พระองค์ดู แต่ยาตัวนี้แปลกเป็นพิเศษ เวลาที่ปรุงยาจะต้องเอามาจากหลอดแก้วซึ่งปิดผนึกด้วยน้ำแข็ง ถ้าเอาออกมาก่อน…” 

 

 

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” ถังเฉียนใช้นิ้วเคาะโต๊ะเบาๆ สองสามที แล้วว่า “หมอเกาเข้าปรุงที่ไหน ข้าไปดูได้หรือไม่” 

 

 

“เอ่อ…” 

 

 

ถังเฉียนเชิดมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดว่า 

 

 

“หมอเกา นี่ก็ไม่ได้ นั่นก็ไม่ได้ ข้าร่วมมือด้วยความจริงใจ เมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าคงต้องคิดใหม่แล้ว” 

 

 

หมอหลวงเกาลุกขึ้นยืน แล้วค้อมคารวะก้มลงต่ำ ลดตัวลงเต็มที่ เขาประสานมือแล้วพูดว่า 

 

 

“พระสนม ไม่ใช่กระหม่อมไม่ยินยอม แต่ยาเทียบนี้แปลกเป็นพิเศษ กระหม่อมเองก็ไม่รู้ว่าจะปรุงขึ้นอย่างไร คนประหลาดที่กระหม่อมเชิญมาเป็นคนที่นิสัยแปลกมาก ขณะปรุงยาจะไม่ให้มีคนอื่นอยู่ด้วย ถ้าพระสนมไม่เชื่อจริงๆ กระหม่อมบอกไว้ก่อนแล้ว พระสนมไปหาคนมาลองยาได้” 

 

 

“อย่างนี้…” ถังเฉียนครุ่นคิดเล็กน้อย แล้วว่า “ข้าจะหาคนที่มีอาการคล้ายกับฝ่าพระบาทที่นอกวัง หวังว่าท่านหมอจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” 

 

 

ถังเฉียนตอบตกลงหมอหลวงเกาด้วยท่าทีเหมือนหมดหนทางอื่นรักษาแล้ว แต่คาดไม่ถึงว่าเทียบยาของคนประหลาดผู้นั้นจะเป็นเทียบยาที่วิเศษจริง 

 

 

นางหาที่นอกวัง พบคนที่ล้มป่วยสามปีเพราะคิดถึงมารดาที่เสียชีวิต สามวันต่อมาเมื่อนางไปดู พบว่าคนผู้นี้สติแจ่มใส ลุกเดินเหมือนคนปกติ 

 

 

ถังเฉียนส่งชิวเย่ว์นางกำนัลในวังไปดูแลผู้ป่วยคนนั้น ให้นางช่วยจัดการการกินอยู่ของเขา เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง 

 

 

เมื่อชิวเย่ว์กลับเข้าวัง ผู้ป่วยคนนั้นหายเป็นปกติแล้ว ถังเฉียนจึงเรียกหมอหลวงเกามาพบ ทั้งสองหารือกัน วันถัดมาจึงมีการเปลี่ยนพระโอสถของฝ่าพระบาท 

 

 

มีการปรุงยาขึ้นในวังหลวง แต่ให้คนรอบข้างเลี่ยงออกไป ถังเฉียนออกมาเดินเล่นบังเอิญเห็นหมอที่หมอหลวงเกาเชิญมา ไม่สิ ไม่ควรใช้คำว่าหมอ 

 

 

คนผู้นั้นสวมหน้ากากประหลาดลวดลายสีแดง ห้อยเครื่องประดับที่ดูเหมือนแผ่นยันต์เต็มตัว คลุมร่างเสื้อคลุมสีดำตัวใหญ่ 

 

 

ก้าวเดินของเขาเหมือนสัตว์ร้ายที่กำลังล่าเหยื่อ พริ้ววไปไร้สุ้มเสียงราวกับดวงวิญญาณ ถือไม้เท้าโบราณไว้ในมือ ทิ้งรอยตื้นๆ ชัดเจนไว้บนพื้น 

 

 

ถังเฉียนรู้สึกปวดศีรษะขึ้นอย่างฉับพลัน ดูเหมือนเคยมีใบหน้าเฒ่าชราหน้ากลัวเต็มไปด้วยรอยเ**่ยวย่น เสื้อคลุมสีดำสนิทตัวใหญ่พองออก กระพรวนเงินสีแดงบนหน้าผากชายหนุ่ม รวมทั้งมีดสั้นเรียวแหลมที่แทงเข้าหัวใจเลือดสดๆ กระจายอยู่เบื้องหน้าสายตา นางเหมือนได้ยินเสียงติ๋งๆ คล้ายมีบางอย่างไหลออกจากร่าง รู้สึกหนาวเย็นอย่างอ่อนแรง 

 

 

“พระสนม!” 

 

 

ราวกับแสงสว่างสายหนึ่งฉีกฉากที่มืดดำออก ความคิดเปลี่ยนเป็นชัดเจนขึ้นทันที เห็นทุกอย่างชัดเจน 

 

 

“พระสนม เป็นอะไรไปเพคะ ทำไมถึงล้มอยู่ตรงนี้?” 

 

 

ใบหน้าที่วิตกกังวลของหรูอวี้ประทับอยู่ในสายตา ถังเฉียนมองเห็นถาดขนมที่หรูอวี้โยนทิ้งบนพื้นเพราะความรีบร้อน 

 

 

อ้อ ใช่แล้ว เมื่อกี้นางรู้สึกหิว หรูอวี้ช่วยไปเอาขนมมาให้ 

 

 

“หรูอวี้ ข้าไม่เป็นไร ข้าจำ…เรื่องเมื่อครู่ไม่ได้เลย” 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 399 เส้นด้าย 

 

 

ถังเฉียนไม่ได้โกหก นางจำสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่ไม่ได้เลย ความจำเหมือนถูกมือขนาดใหญ่จงใจลบออกไปจากสมอง เหลือเพียงความว่างเปล่า 

 

 

แต่นางจำบุคคลที่ดูเหมือนปีศาจเดินผ่านอุทยานหลวงได้ การแต่งกายของเขา เหมือนตัวเองได้พลิกอ่านหนังสือที่กล่าวถึงหมอผีอย่างไม่ตั้งใจ 

 

 

หลังจากฉู่จิ่งเหยาเสวยพระโอสถ วันต่อมาก็ทรงลุกขึ้นจากเตียงได้ เมื่อพระองค์ทรงทราบจากถังเฉียนว่ายาขนานนี้หมอหลวงเกาเสาะหามา ก็ทรงพระราชทานรางวัลให้เขามากมาย 

 

 

แต่ขณะที่หมอหลวงเกากำลังเป็นคนโปรดของฮ่องเต้ วันที่สองหลังได้รับพระราชทานรางวัลจากฉู่จิ่งเหยาก็ทูลลากลับบ้านเดิม แม้แต่หมอผีลึกลับผู้นั้น หลังจากกำชับว่าต้องเสวยพระโอสถนี้ต่อเนื่องเจ็ดวัน จู่ๆ ก็หายตัวไปจากวังหลวง 

 

 

แต่เพียงสามวันฉู่จิ่งเหยาก็ทรงหายจากอาการพระประชวรแล้ว ทรงออกว่าราชการและจัดการราชกิจได้ตามปกติ แต่ตามที่หมอผีผู้นั้นบอก ต้องเสวยยานี้ต่อเนื่องเจ็ดวันจึงจะหายขาด 

 

 

วันนี้ฉู่จิ่งเหยาออกว่าราชการในท้องพระโรงช่วงเช้าเสร็จ กงกงข้างพระองค์จึงประกาศว่า 

 

 

“มีเรื่องก็กราบทูล ไม่มีก็เลิกประชุม” 

 

 

เหล่าขุนนางยังไม่ทันถวายบังคม ก็เห็นฮ่องเต้หนุ่มที่ทรงน่าเกรงขามใช้พระหัตถ์กุมพระเศียร สีพระพักตร์ขาวซีด แล้วทรงล้มพิงบัลลังก์ 

 

 

มหาเสนาบดีซูรีบก้าวเข้ามาหา พร้อมกับร้องบอก 

 

 

“ไปตามหมอหลวงเร็ว!” 

 

 

เขาฉวยโอกาสที่ผู้คนตื่นตระหนกเดินขึ้นบันไดฐานราชบัลลังก์ เข้ามาประคองฉู่จิ่งเหยาไว้ 

 

 

เสียงร้องสั่งเพิ่งผ่านไป กงกงซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ตกใจจนคุกเข่าลงบนพื้นตัวสั่นระริก จู่ๆ ฉู่จิ่งเหยาก็ลดพระหัตถ์ลง ค่อยๆ เชิดพระเศียรขึ้น แล้วประทับนั่งเป็นปกติ 

 

 

พระพักตร์ดูแปลกมาก มีเส้นสีแดงเริ่มกระจายออกจากขอบพระเนตร ดูเหมือนช้ามากแต่ชั่วประเดี๋ยวทั่วพระพักตร์เหมือนปูด้วยใยแมงมุม มีสีแดงจางๆ ซึมออกมาจากเส้นสีแดง รอจนซึมทั่ว ค่อยๆ ย้อมจนแดงฉาน 

 

 

ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นชั่วประเดี๋ยว รอจนฉู่จิ่งเหยาฟื้นขึ้นและประทับนั่งลงตามเดิม สีพระพักตร์แดงเรื่อเป็นปกติแล้ว แต่มหาเสนาบดีซูซึ่งประคองพระองค์มองเห็นอย่างชัดเจน 

 

 

ปรากฏการณ์ประหลาดนี้ แน่นนอนว่าไม่ใช่เรื่องปกติ มหาเสนาบดีซูคลายมือที่ประคองออก แล้วเอียงตัวหลบ ให้บรรดาขุนนางมองเห็นฉู่จิ่งเหยาอีกครั้ง 

 

 

“ฝ่าพระบาททรงเป็นอย่างไรบ้างพ่ะย่ะค่ะ เมื่อครู่ท่าทางของพระองค์ทำให้กระหม่อมตกใจมาก จึงกระทำเช่นนั้น หวังว่าฝ่าพระบาทจะทรงให้อภัยพ่ะย่ะค่ะ” 

 

 

ตามกฎหมายแล้ว มหาเสนาบดีซูทำผิดฐานหมิ่นเบื้องสูงไปแล้ว เบื้องหน้าพระพักตร์มีเพียงมหาดเล็กใกล้ชิดจึงจะเขามาพยุงพระองค์ได้ 

 

 

การกระทำของมหาเสนาบดีซูที่ก้าวขึ้นไปบนฐานบัลลังก์ ถ้าเป็นคนที่คิดมุ่งร้าย ย่อมฉวยโอกาสที่ฝ่าพระบาทไร้เรี่ยวแรง ลอบปลงพระชนม์ได้โดยตรง 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาสั่นพระเศียร เหมือนเพิ่งตั้งพระสติได้ 

 

 

“เจิ้นไม่เป็นไรหรอก จู่ๆ ก็เกิดปวดหัว ตอนนี้ดีขึ้นแล้ว” 

 

 

พระองค์ทอดพระเนตรมองมหาเสนาบดีซูซึ่งคุกเข่าหมอบอยู่แทบเบื้องพระบาท ดวงพระเนตรดูล้ำลึก แล้วตรัสว่า 

 

 

“ท่านอำมาตย์ซูกล่าวหนักเกินไปแล้ว ท่านห่วงสุขภาพเจิ้น เมื่อห่วงใยทำให้สับสน จะมีความผิดได้อย่างไร” 

 

 

ฉู่จิ่งเหยาประทับยืนขึ้น กงกงที่อยู่ข้างๆ รีบลุกขึ้นมาประคอง พระองค์ทรงชะงักเล็กน้อย แล้วทอดพระเนตรมองเหล่าขุนนางข้างล่าง พลางตรัสว่า 

 

 

“กลับไปเถอะ เจิ้นไม่เป็นไรหรอก” 

 

 

มหาเสนาบดีซูประสานมือคารวะแล้วถอยออกมา ร่วมกับบรรดาขุนนางถวายบังคมอย่างนอบน้อม 

 

 

ขณะที่ฉู่จิ่งเหยาจะเสด็จออกไป มหาเสนาบดีซูมองดูคนที่อยู่สูงสุดคนนั้นแวบหนึ่ง 

 

 

ตรงพระฉวีที่พระศอเหนือคอฉลองพระองค์สีเหลือง ปรากฏรอยยาวสีแดงไม่ชัดเจนนักผุดขึ้น จากกลางจุดกลางท้ายทอยลามลงไป สังเกตเห็นได้ยาก คล้ายเส้นด้ายที่ไร้รูปวนรอบลำคอที่เปราะบาง ค่อยๆ รัดแน่นขึ้น 

 

 

มหาเสนาบดีซูเชิดมุมปากขึ้น ยิ้มอย่างมีเลศนัย 

 

 

เขาหันกลับไป พร้อมกับร้องเรียกราชครูเซียงที่เตรียมจะออกไป