ตอนที่ 469 เจดีย์ซวีหลิง โดย Ink Stone_Fantasy
“ดี! ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราจะรับเจ้าไว้ ตั้งแต่วันนี้ไป เจ้าก็เป็นศิษย์สายในของยอดเขาเลื่อนลอย” หญิงงดงามไม่ได้ซักถามอะไรต่อ แต่กลับประกาศออกมาตามตรง
“ศิษย์คารวะอาจารย์!” เจียหลานโค้งตัวคารวะ
หญิงงดงามพยักหน้าแล้วลุกขึ้นมา จากนั้นก็พาเจียหลานเดินเข้าไปด้านในของห้องโถงใหญ่
……
บริเวณรอบๆ เขาหมื่นวิญญาณ ท่ามกลางหุบเขาที่ดูธรรมดาๆ บางแห่ง
บนแปลงสมุนไพรที่อยู่ข้างกระท่อมโกโรโกโสแห่งหนึ่ง พลันมีเสียงร้องด้วยความตกใจระคนดีใจ
“อะไรนะ! มีข่าวของปู่ลิ่วยินแล้วหรือ และคนผู้นั้นยังเป็นศิษย์สายนอกแล้วด้วย ดีไปเลย! ไป! ไป! รีบนำข่าวนี้ไปบอกเฟยเอ๋อร์ ให้เขาไปหาคนผู้นี้ ดูว่าท่านปูทิ้งคำพูดอะไรไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างเราบ้าง ท่านย่ากลัดกลุ้มเป็นทุกข์ในเรื่องนี้มาโดยตลอด”
พอเสียงนี้สิ้นสุดลง ก็มีเงาร่างหนึ่งทะยานขึ้นฟ้า และเคลื่อนอย่างรวดเร็วไม่กี่ที ก็หายไปตรงขอบฟ้า
……
สองชั่วยามต่อมา
หลิ่วหมิงมาตามทางที่บอก จนมาถึงยอดเขาสูงใหญ่แห่งหนึ่งที่อยู่ในส่วนลึกของกลุ่มเขา
หองานนอกที่กล่าวถึง แท้จริงแล้วเป็นลานราบเรียบขนาดใหญ่ที่อยู่ใจกลางยอดเขาที่สร้างแยกออกมา
สิ่งก่อสร้างบนนั้นมีไม่มากนัก นอกจากหอขนาดใหญ่กับหออื่นๆ อีกสองสามหลังแล้ว ก็ไม่มีสิ่งก่อสร้างใดที่สามารถพูดถึงได้อีก
หลิ่วหมิงสังเกตดูจากกลางอากาศเล็กน้อย จากนั้นก็ร่อนลงด้านนอกหอขนาดใหญ่
“หยุดก่อน! เจ้าเป็นใคร? ทำไมถึงกล้าบุกรุกหองานนอกของนิกายยอดบริสุทธิ์เรา?” พอหลิ่วหมิงเพิ่งจะตั้งหลักได้ ก็มีน้ำเสียงเคร่งขรึมดังเข้ามา จากนั้นชายหนุ่มเสื้อแดงสองคน ก็ตะคอกใส่หลิ่วหมิง
“ข้าน้อยหลิ่วหมิง เพิ่งจะเป็นศิษย์สายนอก ตั้งใจมาหองานนอกเพื่อทำพิธีการเข้านิกาย” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบอธิบายออกมา
“อ้าว! การรับสมัครศิษย์สายนอกในปีนี้ได้สิ้นสุดไปนานแล้ว หรือว่าเจ้าถูกแนะนำมาจากที่ใด?” พอเห็นหลิ่วหมิงบอกว่าเป็นศิษย์สายนอกเช่นกัน ชายหนึ่งในนั้นก็มีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย หลังจากสังเกตดูหลิ่วหมิงสองสามทีแล้ว ก็ถามด้วยความสงสัย
“ข้าได้รับคำแนะนำจากหอคุมกฎให้เข้านิกาย นี่คือป้ายของข้า” หลิ่วหมิงหยิบป้ายประจำตัวออกมา
“หอคุมกฎแนะนำมา?” ชายเสื้อแดงสองคนสบตากันทีหนึ่ง และงงงันเล็กน้อย
หนึ่งในนั้นรีบก้าวเข้ามา และรับป้ายของหลิ่วหมิงไปตรวจสอบอย่างละเอียด
“อืม! ศิษย์น้อง ในเมื่อเจ้าผ่านการตรวจสอบของนิกายเราแล้ว ก็ตามข้ามาเถอะ!” คนผู้นี้มีสีหน้าผ่อนคลายลง จากนั้นก็คืนป้ายให้กับหลิ่วหมิง และพาเขาเข้าไปด้านใน
ชายเสื้อแดงอีกคนก็มองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง แต่กลับไม่ได้เข้าไป ยังคงตระเวนสังเกตการณ์อยู่หน้าประตู
“ศิษย์น้องหลิ่ว เมื่อครู่ล่วงเกินแล้ว เป็นเพราะก่อนหน้านั้น หองานนอกของเราเกิดเรื่องบางอย่างขึ้น จึงทำให้ช่วงนี้ศิษย์อย่างพวกข้ารู้สึกตรึงเครียดมาก……” ขณะที่เดินไปด้านหน้า ชายเสื้อแดงก็หัวเราะเหอะๆ ไปด้วย
หลิ่วหมิงพยักหน้าบ่งบอกว่าเข้าใจแล้ว!
ด้านในหอใหญ่ค่อนข้างเงียบเชียบมาก ตลอดทางไม่พบเห็นคนอื่นๆ เลย
ไม่นาน ทั้งสองก็มาถึงหน้าห้องรับรองที่อยู่ข้างห้องโถง
ชายเสื้อแดงแสดงท่าทีให้หลิ่วหมิงรออยู่หน้าประตู ส่วนตนเองก็ขอป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิงแล้วเดินเข้าไปด้านใน ไม่นานก็เดินออกมา ในมือมียันต์เก็บของเพิ่มขึ้นมาผืนหนึ่ง
“นี่เป็นสิ่งของเข้านิกายที่ทางนิกายมอบให้ศิษย์สายนอก เจ้าสามารถดูก่อนได้ ข้าจะไปเชิญผู้อาวุโสที่ดำเนินการอยู่ที่นี่ มาจัดการเรื่องเข้าสังกัดสาขาที่ฝึกฝน” ชายเสื้อแดงหัวเราะเฮ่อๆ! และยื่นยันต์เก็บของให้หลิ่วหมิง จากนั้นก็หมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน
หลิ่วหมิงกล่าวขอบคุณและรับยันต์เก็บของไว้ พอปล่อยจิตกวาดดูด้านใน ก็ค้นพบว่านอกจากเสื้อผ้าจำนวนหนึ่งกับอาวุธจิตวิญญาณระดับต่ำชิ้นหนึ่งแล้ว ยังมีโอสถอยู่หลายขวดกับหินจิตวิญญาณจำนวนไม่น้อย
ไม่นาน ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งท่านหนึ่งก็เดินออกจากข้างใน และชายเสื้อแดงในก่อนหน้านั้น ก็เดินตามหลังอย่างนอบน้อม
“เจ้าเป็นศิษย์สายนอกที่เพิ่งเข้ามาใหม่หรือ?” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งจ้องมองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และถามอย่างราบเรียบ
“เป็นศิษย์เอง” หลิ่วหมิงรีบทำความเคารพ การฝึกฝนของผู้อาวุโสร่างผอมแห้งผู้นี้ ลึกล้ำจนไม่อาจคาดเดาได้ กลิ่นไอที่แผ่ออกมาก็แข็งแกร่งกว่าเฟิงจ้านมากนัก
“อืม! ข้าได้ตรวจสอบข้อมูลเกี่ยวข้องที่หอคุมกฎส่งมาแล้ว คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นผู้สืบทอดของลิ่วยินที่เป็นศิษย์สายตรงของนิกายเราเมื่อหลายพันปีก่อน ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ส่งเจ้าไปสาขาห่านฟ้าที่ลิ่วยินออกมาในสมัยก่อนก็แล้วกัน” ขณะที่พูด ชายร่างผอมแห้งก็หยิบสมุดหยกออกมาเล่มหนึ่ง หลังจากใช้นิ้วแตะผ่านอากาศไปสองสามทีแล้ว ก็ขีดอะไรไว้บนนั้น
“สาขาห่านฟ้าเป็นหนึ่งในแปดสาขาใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์เรา ศิษย์สายนอกที่ตั้งมั่นอยู่ที่นั่นมีราวๆ สามพันคน ในเมื่อวันนี้เจ้าเข้านิกายยอดบริสุทธิ์เราแล้ว จะต้องรักษากฎให้ดี เย่ถู เจ้าพาเขาไปรายงานตัวที่สาขาเถอะ! ถือโอกาสนี้บอกกฎของที่นั่นให้เขาฟังด้วย” ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งเก็บสมุดหยก และสั่งชายเสื้อแดง จากนั้นตนเองก็เดินกลับเข้าไป
เย่ถูย่อมตอบรับอย่างนอบน้อม “ทราบ!”
หลิ่วหมิงก็โค้งตัวคารวะส่งผู้อาวุโส
“น่าสนใจจริงๆ มีผู้สืบทอดของศิษย์สายตรงเมื่อหลายพันปีก่อนเข้าร่วมนิกาย มิน่าล่ะ! บนตัวเขาถึงมีกลิ่นไอวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ครั้งนี้เจ้าพวกคร่ำครึเข้มงวดที่หอคุมกฎเหล่านั้น กลับไม่ทำลายวิชาของเขา ช่างเป็นเรื่องที่พบเจอได้น้อยมาก” พอผู้อาวุโสผอมแห้งเดินไปไกลแล้ว ก็พูดพึมพำออกมา
หลิ่วหมิงทั้งสองออกไปจากหองานนอก และขึ้นไปบนรถเหาะที่ชายเสื้อแดงปล่อยออกมา จากนั้นก็มุ่งหน้าไปยังสาขาห่านฟ้า
ศิษย์หองานนอกที่ชื่อถูเย่ผู้นี้คุยเก่งยิ่งนัก จากการคุยอย่างสนุกในระหว่างทาง หลิ่วหมิงก็ได้ข้อมูลจากเขามาไม่น้อย
ก่อนอื่นศิษย์สายนอกที่พูดถึงแตกต่างจากที่หลิ่วหมิงคิดไว้มากนัก
ระดับการฝึกฝนของศิษย์สายนอกในนิกายยอดบริสุทธิ์แตกต่างกันมาก ระดับต่ำมีตั้งแต่ศิษย์จิตวิญญาณที่เพิ่งเข้านิกายมาไม่นาน ระดับสูงก็มีตั้งแต่ระดับของเหลวขั้นปลายที่ใกล้จะเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว
และเกณฑ์การรับโดยทั่วไป ล้วนอาศัยระดับการฝึกฝนเป็นตัววัด บวกกับผ่านการทดสอบหนึ่งครั้ง มีเพียงแต่ผู้ที่มีสติปัญญาเท่านั้น ถึงจะเข้าร่วมศิษย์สายนอกของสาขาได้
แตกต่างจากนิกายปีศาจก็คือ จุดมุ่งหมายเดียวของศิษย์สายนอกในนิกายยอดบริสุทธิ์ คือฝึกฝนและใช้ความพยายามทุกวิถีทางเพื่อเป็นศิษย์สายใน มิเช่นนั้นพออายุเกินห้าสิบแล้วยังไม่ได้เป็นศิษย์สายในล่ะก็ จะถูกไล่ออกจากสาขา และกลายเป็นศิษย์ทั่วไปอยู่ที่หองานอื่นที่ซับซ้อน ไม่ได้รับการปฏิบัติดังเช่นศิษย์สายนอกอีก
“ดังนั้นสามารถพูดได้ว่า การเป็นศิษย์สายในของนิกายเรา ก็เป็นความใฝ่ฝันของผู้ฝึกฝนในแผ่นดินจงเทียนจำนวนมาก เพราะสถานที่แห่งนี้สามารถฝึกฝนได้อย่างเต็มที่” เย่ถูกล่าวออกมา
“แต่ก่อนศิษย์พี่เย่ก็เป็นศิษย์สายนอกหรือ?” หลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็ถามออกไปด้วยความสนใจ
“ใช่แล้ว! แต่ข้าไม่ได้เป็นศิษย์สายในก่อนอายุสามสิบ จึงถูกดึงมาอยู่ที่หองานนอกนี้ แน่นอนว่าการปฏิบัติกับศิษย์สายนอกเหล่านี้ เมื่อเทียบกับศิษย์สายใน และศิษย์สายตรงที่เล่าลือแล้ว ย่อมไม่อาจเทียบกันได้ ศิษย์สายในกับศิษย์สายตรงถึงเป็นหัวใจสำคัญในการทุ่มกำลังบ่มเพาะของนิกายอย่างแท้จริง พอกลายเป็นศิษย์สายใน ไม่เพียงแต่จะได้รับทรัพยากรการฝึกฝนเพิ่มขึ้นทวี แต่ยังสามารถฝึกฝนวิชาของนิกายในระดับที่ลึกซึ้งได้ การเข้าสู่ระดับแก่นแท้ในภายหน้า หรือระดับที่สูงกว่าก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้” พอเย่ถูเล่ามาถึงจุดนี้ ก็ถอนหายใจเบาๆ อย่างอดไม่ได้ ดวงตาของเขาเผยแววใฝ่หาออกมาเล็กน้อย
“ถ้าอย่างนั้นไม่ทราบว่าทำอย่างไรถึงจะกลายเป็นศิษย์สายในได้ หวังว่าศิษย์พี่เย่จะช่วยชี้แนะเล็กน้อย” พอหลิ่วหมิงฟังมาถึงจุดนี้ ก็ถามด้วยแววตาที่เป็นประกาย
“ศิษย์สายนอกที่อยากเป็นศิษย์สายใน มีแค่สามวิถีทางเท่านั้น หนึ่งคือต้องมีคุณสมบัติล้ำเลิศ จนผู้อาวุโสแต่ละยอดเขาในนิกายยอดบริสุทธิ์เห็นความสำคัญ ทุกๆ สามปี ผู้อาวุโสยอดเขาจะใช้สิทธิพิเศษหนึ่งครั้ง ในการรับศิษย์สายนอกสองสามคนเข้าไปเป็นศิษย์สายในของยอดเขาตนเอง วิถีทางที่สองคือ ตนเองจะต้องไปฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิง เพียงแค่ไปถึงชั้นที่สามสิบหกได้ ก็สามารถเลือกเป็นศิษย์สายในของยอดเขาไหนก็ได้ วิถีทางที่สามคือ หากสามารถฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับผลึกก่อนอายุห้าสิบ ก็จะกลายเป็นศิษย์สายในโดยปริยาย” เย่ถูกล่าวออกมาตามตรง โดยไม่คิดจะปิดบังอะไร
พอหลิ่วหมิงฟังวิถีทางกลายเป็นศิษย์สายในที่เย่ถูพูดออกมาจบ เขาก็คิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว
วิถีทางแรก ต้องมีคุณสมบัติเป็นเลิศ ซึ่งไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตนเองเลย นึกถึงสีหน้าเยือกเย็นของผู้อาวุโสบนยอดเขาเมฆาเขียวทั้งสอง หลังจากที่ตรวจสอบคุณสมบัติของเขาเสร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็ได้แต่ยิ้มออกมาอย่างขมขื่น
วิถีทางที่สอง การไปฝ่าด่านเจดีย์ซวีหลิงที่พูดถึงนั้น แม้เขาจะไม่รู้ว่าเจดีย์แห่งนี้มีสภาพเช่นใด แต่กลับเป็นวิถีทางหนึ่งที่เขาอยากจะลองดู
ส่วนวิถีทางที่สาม ที่ว่าต้องเข้าสู่ระดับผลึกก่อนอายุห้าสิบนั้น ย่อมไม่ต้องไปคิดอะไรมาก เพราะจากความคืบหน้าในการฝึกฝนของเขาในตอนนี้ เกรงว่ายังไม่ทันเข้าสู่ระดับผลึก ก็คงถูกฟองอากาศลึกลับดูดพลังเวทจนกลายเป็นศพแห้งๆ แล้ว
ภายใต้สถานการณ์ในตอนนี้ หากอยากจะกลายเป็นศิษย์สายใน ก็มีแต่การฝ่าไปให้ถึงชั้นที่สามสิบหกของเจดีย์ซวีหลิงเท่านั้น
เพียงแค่เขากลายเป็นศิษย์สายใน ก็จะได้รับทรัพยากรการฝึกฝนที่มากขึ้น ทำให้ระดับการฝึกฝนเพิ่มขึ้นทวี เช่นนี้แล้วจะได้ไม่ต้องหวาดกลัวว่า จะถูกฟองอากาศลึกลับดูดกลืนพลังเวทไปจนหมด
“ศิษย์พี่เย่ พอจะเล่าเรื่องเกี่ยวกับเจดีย์ซวีหลิงให้ข้าฟังได้หรือไม่?” พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็เริ่มสอบถามเรื่องเกี่ยวกับเจดีย์ซวีหลิงกับเย่ถู
“ศิษย์น้องหลิ่วเพิ่งเข้านิกายเรา ย่อมไม่รู้อะไร! ความจริงแล้ว เจดีย์ซวีหลิงเป็นฐานที่มั่นของนิกายเรา ดูเหมือนว่าทุกคนต่างก็รู้เรื่องนี้ ซึ่งไม่ถือว่าเป็นความลับอะไร ว่ากันว่าเป็นหนึ่งในอาวุธเวทสามอย่างที่สามารถก่อเกิดสติปัญญาด้วยตนเองได้ ปกติจะตั้งไว้บนยอดเขาซวีหลิงตลอดปี ศิษย์ผู้ใดก็ตาม เพียงแต่ใช้แต้มคุณูปการจำนวนหนึ่ง ก็สามารถเข้าไปฝึกฝนตนเองในนั้นได้” เย่ถูเล่าให้หลิ่วหมิงฟังโดยไม่คิดอะไรมาก
“เจดีย์นี้มีทั้งหมดหนึ่งร้อยแปดชั้น แต่ละชั้นต่างก็สามารถสร้างปีศาจอสูรชนิดต่างๆ ออกมารับมือกับผู้ฝ่าด่านเจดีย์ ระดับความยากในแต่ละชั้นจะเพิ่มทวีขึ้นตามลำดับ และพลังของตัวประหลาดที่ถูกสร้างขึ้นมาในทุกๆ สามสิบสองชั้น จะถูกยกระดับขึ้นมาเท่าตัว หากศิษย์น้องอยากใช้วิธีการฝ่าด่านเจดีย์เพื่อเป็นศิษย์สายในล่ะก็ ต้องผ่านชั้นที่สามสิบหกให้ได้ ว่ากันว่าชั้นที่สามสิบหก จะมีปีศาจอสูรระดับของเหลวขั้นปลาย ถูกสร้างขึ้นมาพร้อมกันถึงสี่ตัว หากมีวิธีทำให้ปีศาจอสูรทั้งสี่ตัวพ่ายแพ้ได้ล่ะก็ เกรงว่าคงเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกแล้ว ซึ่งส่วนมากก็ไม่จำเป็นต้องไปบุกเจดีย์แต่อย่างใด ลำพังแค่ระดับการฝึกฝนนี้ ก็สามารถกลายเป็นศิษย์สายในได้แล้ว คนส่วนมากใช้วิถีทางแรกกับวิถีทางที่สามกัน” พอเล่ามาถึงจุดนี้ ถูเย่ก็ถอนหายใจยาวออกมา
…………………………………