ตอนที่ 964 เหล่าผู้ลี้ภัยที่กำลังไปหาญาติ

ท่านเทพ ละเว้นข้าเถอะ

หัวหน้ากองคาราวานรู้สึกว่าถูกหลี่ว์ซู่ข่มขู่คุกคามอย่างชัดเจน เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “ให้ฉันจัดการตกลงกับนาย นายเข้าร่วมเดินทางกับกองคาราวานโดยจ่ายเงินแล้วก็หวังว่าเราจะพานายไปที่เมืองหลวงได้ ฉันพูดถูกไหมล่ะ?” 

 

 

“ใช่” หลี่ว์ซู่พยักหน้า 

 

 

“ตอนนี้ไม่เพียงแค่ฉันจะไม่ต้องการเงินของนาย แต่ฉันยังต้องให้เงินนายเพื่อให้นายปกป้องฉันด้วย” ซ่งป๋อ หัวหน้ากองคาราวานกล่าว 

 

 

หลี่ว์ซู่โบกมือแล้วกล่าวว่า “อย่าบอกนะว่านายไม่ต้องการการปกป้องของฉัน?” 

 

 

ซ่งป๋อพูดไม่ออก “ฉันต้องการ” 

 

 

“งั้นก็ห้าแสน” หลี่ว์ซู่กล่าว 

 

 

“ได้แต้มอารมณ์จากซ่งป๋อ +666!”  

 

 

ไม่ว่าซ่งป๋อจะคิดอย่างไร หลี่ว์ซู่ก็รู้สึกว่าเขาเป็นคนจิตใจบริสุทธิ์ เป็นโจรเพียงวันเดียวก็ต้องกลายเป็นโจรไปตลอดชีวิต เขายังไม่เคยลืมปณิธานเดิมและยังคงรักษาศีลธรรมของเขาเอาไว้เสมอ 

 

 

ในขณะนี้ เสียงการต่อสู้ที่อยู่ห่างออกไปในระยะไกลนั้นค่อยๆ ลดลงแล้ว และซ่งป๋อก็มองไปยังด้านทิศทางของการต่อสู้นั้นอย่างกระตือรือร้น จนกระทั่งในที่สุดซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็กลับมาที่กองคาราวานการค้าในยามรุ่งสาง 

 

 

ในการต่อสู้ครั้งนี้ ซุนจ้งหยางและพวกของเขาชนะ แต่สถานการณ์นั้นก็ไม่ใช่ว่าดีนัก หลี่ว์ซู่พบว่าพวกเขาสิบสองคนได้รับบาดเจ็บสาหัสโดยเฉพาะหนึ่งในนั้นก็คือซุนจ้งหยาง 

 

 

หลี่ว์ซู่ผ่านประสบการณ์การต่อสู้มามากมายหลายร้อยครั้งแล้ว ดังนั้นเพียงแค่ดูอาการบาดเจ็บของ ซุนจ้งหยาง เขาก็สามารถเข้าใจได้ว่าซุนจ้งหยางได้เผชิญกับคู่ต่อสู้ที่มีพลังแรงกดดันรุนแรงมากที่สุดในการต่อสู้ครั้งนี้ 

 

 

แต่ซุนจ้งหยางเป็นยอดฝีมือระดับหนึ่งและเขายังคงมีสติอยู่ในขณะที่มีอัจฉริยะของเมืองหลวงอีกคนหนึ่งหมดสติไปโดยมีสหายแบกเขาเอาไว้บนหลัง 

 

 

ซุนจ้งหยางเหลือบมองหลี่ว์ซู่และคนอื่นๆ อย่างหมดแรงก่อนจะกล่าวกับซ่งป๋อว่า “พวกเราจะเริ่มออกเดินทางทันที รีบไปเตรียมรถม้าให้พวกเรา พวกเราต้องรีบรักษาอาการบาดเจ็บ” 

 

 

สิ่งที่น่ากังวลที่สุดของซ่งป๋อได้เกิดขึ้นแล้ว แน่นอนว่านี่คือสิ่งที่หลี่ว์ซู่กังวลเช่นกัน แม้ซุนจ้งหยางและพวกของเขาจะสามารถสังหารทาสกลุ่มนี้ได้ แต่พวกเขาก็ต้องเสียหายอย่างหนักเช่นกัน 

 

 

“น่ากลัวว่าจะยากสำหรับพวกเขาที่จะฟื้นคืนพลังการต่อสู้ขึ้นมาได้ในระยะเวลาอันสั้น” หลี่ว์ซู่กระซิบกับหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ “เมื่อยอดฝีมือระดับหนึ่งบินไม่ได้ นั่นก็แสดงว่าพวกเขาได้สูญเสียพละกำลังจนหมดสิ้นแล้ว และหากมีใครซุ่มโจมตีพวกเขาก็น่ากลัวว่าจะไม่มีใครแม้แต่สักคนเดียวที่จะสามารถตอบโต้ได้ พวกเขายังเด็กและดื้อรั้นมั่นใจมากเกินไป”  

 

 

เห็นได้ชัดว่า ซุนจ้งหยางและพวกของเขามีอายุมากกว่าหลี่ว์ซู่ แต่กลับดูเป็นเรื่องปกติเมื่อหลี่ว์ซู่กล่าวว่าซุนจ้งหยางและพวกของเขายังเด็กและดื้อรั้นมั่นใจมากเกินไป และซ่งป๋อก็ถามหลี่ว์ซู่อย่างไม่ทันรู้ตัวว่า “แล้วเราจะทำอย่างไรกันต่อไป?” 

 

 

เมื่อกล่าวจบ ทันใดนั้นซ่งป๋อก็อยากจะตบตัวเองนัก เขากำลังถามหลี่ว์ซู่ว่าควรจะทำอย่างไร ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนี่ที่เขาเริ่มรู้สึกว่าต้องพึ่งพาหลี่ว์ซู่… 

 

 

และจากนั้นซ่งป๋อก็เห็นหลี่ว์ซู่มองเขาคล้ายกับกำลังหัวเราะเยาะเขาแล้วกล่าวว่า “เร็วเข้า รีบคุยเรื่องสถานการณ์กันก่อน” 

 

 

ทุกคนล้วนกังวลใจอย่างหนัก เดิมทีซุนจ้งหยางและพวกของเขาเป็นดั่งเครื่องรางป้องกันในกองคาราวาน แต่กลับได้รับภัยพิบัติที่คาดไม่ถึง บัดนี้ทุกคนล้วนอยู่ในเรือลำเดียวกันแล้ว หลี่ว์ซู่สงสัยว่าจะมีคนเฝ้าดูการต่อสู้เมื่อคืนนี้ และมันคงเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาหากคิดจะหลบหนีในเวลานี้ 

 

 

แต่หลี่ว์ซู่ไม่ได้ตื่นตระหนกแต่อย่างใดเลย และเขายังอยากจะรู้ด้วยซ้ำว่าศัตรูมีเงินหรือไม่ 

 

 

การฝึกฝนกระบี่นั้นแตกต่างจากการฝึกแผนภูมิดารา แผนภูมิดารานั้นเพียงแค่ต้องการได้รับแต้มอารมณ์จากเขาทีละขั้น แต่การฝึกฝนกระบี่นั้นแตกต่างกัน และนี่เป็นครั้งแรกที่หลี่ว์ซู่เข้าใจความหมายของคำว่า ‘ค่าวิกฤต’ หลังจากที่ฝึกฝนอย่างช้าๆ จนกระทั่งเขาไปถึงยอดฝีมือระดับสองขั้นสูงสุด 

 

 

ในอดีตนั้น เขาเคยได้ยินหลี่เสียนอีพูดเสมอว่าสิ่งที่อยู่เหนือระดับสองนั้นขึ้นอยู่กับความเข้าใจของตัวเอง ระดับหนึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่จะมีปฏิสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับฟ้าดิน นอกจากนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้นที่ผู้คนเริ่มแสวงหาเต๋าอย่างเป็นทางการ 

 

 

และหลี่ว์ซู่ยังไม่เคยไปถึงขอบเขตระดับหนึ่งจริงๆ เวลานี้เขาเป็นเหมือนกับเนี่ยถิงเมื่อยามที่ตีบตันอยู่ที่ระดับหนึ่งขั้นสูงสุด ย้อนกลับไปในเวลานั้น เนี่ยถิงได้เริ่มไปที่เทือกเขาคุนหลุนเพื่อรับข้อมูลใหม่ผ่านการต่อสู้สังหารมังกร และจากจุดนั้นก็สามารถฝ่าทะลวงด่านได้ในคราวเดียว 

 

 

แต่มังกรก็ไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่คิด หรืออาจกล่าวได้อีกอย่างว่า เนี่ยถิงแข็งแกร่งเกินกว่าที่เขาคิด ดังนั้นเนี่ยถิงจึงไม่ได้รับสิ่งที่เขาต้องการตามหาและไม่สามารถพิสูจน์ยืนยันได้ 

 

 

และตอนนี้หลี่ว์ซู่ก็อยู่ในช่วงเวลาดังกล่าว การฝึกฝนกระบี่ของเขายังต้องได้รับการยืนยัน 

 

 

ดังนั้นเมื่อซุนจ้งหยางบอกว่าจะจ่ายให้เขามากขึ้น ซุนจ้งหยางคิดว่าหลี่ว์ซู่นั้นช่างน่ารังเกียจ แต่ความจริงแล้ว หลี่ว์ซู่จะไม่ทำให้เขาต้องสูญเสียเลย 

 

 

และสิ่งที่เขาต้องทำในเวลานี้ก็คือการปรับตัวเองให้อยู่ในสภาวะที่ดีที่สุดก่อนที่ศัตรูจะมาถึงอีกครั้ง 

 

 

จากนั้นซุนจ้งหยางและพวกของเขาก็พบว่ารถม้าในกองคาราวานถูกทำลายไปในช่วงที่มีห่าธนูรอบแรก และส่วนที่เหลือก็เป็นเกวียนที่เปิดหลังคาสำหรับใช้ในการขนส่งสินค้า… 

 

 

และมีรถม้าเหลืออยู่เพียงคันเดียวในกองคาราวานที่สามารถใช้บังลมและฝนได้ซึ่งเป็นของหลี่ว์ซู่… 

 

 

ซุนจ้งหยางและพวกของเขากำลังนั่งอยู่บนเกวียนที่ง่อนแง่นโคลงเคลง และทันใดนั้นพวกเขาก็นึกถึงภาพเหตุการณ์ที่หลี่ว์ซู่และหลี่ว์เสี่ยวอวี๋ขับรถม้าและวิ่งไปรอบๆ แล้วพวกเขาก็หัวเสียเล็กน้อย ในเวลานั้น ทุกคนกำลังคิดถึงเรื่องการต่อสู้ในขณะที่หลี่ว์ซู่สนใจแต่รถม้า แต่หลังจากการต่อสู้ ทุกคนก็ต้องมานั่งบนเกวียนที่สกปรกรกรุงรังนี้ พวกเขาดูเหมือนเหล่าผู้ลี้ภัยที่กำลังไปหาญาติเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่ในทางกลับกัน หลี่ว์ซู่สามารถนั่งในรถม้าของเขาและฝึกฝนพลังกระบี่ของเขาได้ต่อไป เขายังคงสงบนิ่งได้ในสถานการณ์เร่งด่วนนี้… 

 

 

บัดนี้ซุนจ้งหยางและพวกของเขาดูไม่เหมือนพวกเด็กเมืองหลวงแล้ว แต่กลับเป็นหลี่ว์ซู่ที่ดูเหมือนแทน 

 

 

แต่ลืมมันไปได้เลย เวลานี้ซุนจ้งหยางและพวกของเขาต่างก็เร่งปรับลมปราณและรักษาอาการบาดเจ็บ หากพวกเขานั่งได้เพียงแค่ในเกวียนเท่านั้น ก็ช่างมันเถอะ แต่ที่ทำให้พวกเขาหงุดหงิดยิ่งกว่านั้นก็คือ หลี่ว์ซู่แทบจะไม่ออกมาจากรถม้าเลย และนอกจากนี้บางคราวเขาจะออกมาจากรถม้าแล้วก็พ่นออกมาว่ารถม้าที่มีหลังคาบังลมกันฝนนั้นดีเพียงใด… 

 

 

ซุนจ้งหยางทนกับความคับข้องใจนี้ไม่ได้และบอกว่าเขาจะขอซื้อรถม้าของหลี่ว์ซู่ แต่หลี่ว์ซู่ก็ปฏิเสธที่จะขายมัน 

 

 

ไม่ว่าราคารถม้าจะแพงหูดับแค่ไหนก็ยังไม่สำคัญ เพราะหลี่ว์ซู่เก็บแต้มอารมณ์ของซุนจ้งหยางและคนอื่นๆ ไว้ให้ได้มากๆ ย่อมจะดีกว่า โม่เสี่ยวหยากัดริมฝีปากของเธอและมองไปยังรถม้าที่หลี่ว์ซู่อยู่ เธอรู้สึกว่าเจ้าเด็กคนนี้ไร้มารยาทมากเกินไป 

 

 

ในเรื่องราวของนักเล่าเรื่อง บุตรธิดาผู้หาญกล้าของข้าราชการล้วนงามสง่าและปราดเปรื่องอยู่เสมอ ก่อนที่โม่เสี่ยวหยาจะออกมาจากเมืองหลวง เธอเต็มไปด้วยจินตนาการเกี่ยวกับโลกภายนอก แต่เมื่อเธอก้าวออกมาจริงๆ เธอก็พบว่าเรื่องราวทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องหลอกลวง โลกภายนอกนั้นมีเพียงเกวียนสกปรกและเจ้าตัวร้ายที่น่ารังเกียจอย่างหลี่ว์ซู่… 

 

 

โม่เสี่ยวหยาและพวกของเธอเป็นผู้บำเพ็ญระดับสูงในสายตาของคนทั่วไป แต่ในท้ายที่สุดแล้ว เธอก็เป็นเพียงสาวน้อยที่ไม่เคยเผชิญกับความแปรปรวนของลมและคลื่นลูกใหญ่ของโลกจริงๆ ดังนั้นเธอจึงร้องไห้ออกมาและเยียวยารักษาบาดแผลของตัวเองในขณะที่ร้องไห้ .. 

 

 

หลี่ว์ซู่รู้สึกหัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก เขามึนงงเล็กน้อย เพราะสำหรับเขาแล้ว ความเจ็บปวดทนทุกข์เล็กน้อยแค่นี้ไม่มีความหมายใด สิ่งที่เขาประสบในช่วงหลายปีที่ผ่านมานั้นเจ็บปวดยิ่งกว่านี้มากนัก 

 

 

ในช่วงเวลาที่เขาถูกจับในเครือข่ายฟ้าดิน เขาได้รับความเจ็บปวดทรมานและได้รับบาดเจ็บ แม้กระทั่งถึงจุดที่เพื่อนสนิทต้องแบกเขาเอาไว้บนหลัง และเขาก็มีประสบการณ์ของการแยกจากมิตรสหายที่ตายจากอย่างแท้จริงโดยไม่ได้พบกันอีกเลย 

 

 

นี่อาจเป็นเหตุผลพื้นฐานว่า ทำไมซ่งป๋อจึงไม่รู้สึกแปลกเมื่อหลี่ว์ซู่กล่าวว่าซุนจ้งหยางและพวกของเขายังเด็กและดื้อรั้นมั่นใจเกินไป นั่นคือซ่งป๋อมีความรู้สึกว่าเด็กหนุ่มคนนี้ผ่านประสบการณ์และความตายมามากเกินไป 

 

 

หลี่ว์ซู่ไม่เหมือนซุนจ้งหยางและพวกของเขาที่มีพลังอำนาจแต่ไม่รู้จักโลก เขาคือราชันฟ้าคนที่เก้าที่มีผู้คนนับหมื่นชื่นชม!  

 

 

ทันใดนั้นก็มีรถม้าวิ่งเข้ามาใกล้พวกเขา และเสียงควบม้าก็ใกล้เข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ หลี่ว์ซู่หันมองไปยังแหล่งที่มาของเสียงนั้นด้วยสีหน้าที่สงบนิ่ง ในขณะที่คนขับรถม้าก็มองกลับมาเช่นกัน