ราชันเร้นลับ 639 : รายชื่อ

Lord of the Mysteries ราชันย์เร้นลับ

ราชันเร้นลับ 639 : รายชื่อ โดย Ink Stone_Fantasy

หลังจากได้ยินข้อเสนอของพลเรือเอกดวงดาว ไคลน์ไม่มีเหตุผลให้ปฏิเสธ ครุ่นคิดเพียงสองสามวินาทีก็มอบคำตอบ

“เจ็ดร้อยปอนด์”

“สมเหตุสมผล” แคทลียาไม่ต่อรอง

ตะกอนพลังของลำดับ 8 จะมีราคาอยู่ราวหกร้อยถึงเจ็ดร้อยปอนด์ หากใครต้องการเร่งด่วนก็จะยิ่งถูกโก่งเพิ่ม เพราะโดยธรรมชาติแล้ว สินค้าประเภทนี้ปรากฏตัวในชุมนุมลับไม่บ่อยครั้ง

ไคลน์ไม่ทำการแลกเปลี่ยนทันที เพียงยกกระเป๋าเดินทางขึ้นเล็กน้อยพร้อมกับกล่าวด้วยสีหน้าปราศจากอารมณ์

“จะนำมาให้พรุ่งนี้”

แน่นอน ชายหนุ่มมิได้พกตะกอนพลัง ‘กลาดิเอเตอร์’ ติดตัว สิ่งของมีค่าส่วนใหญ่ล้วนถูกเก็บไว้บนมิติหมอก

พลเรือเอกดวงดาว·แคทลียาไม่ประหลาดใจกับคำตอบ เพียงพยักหน้ารับ

“ไม่มีปัญหา”

เธอเคยพบใครหลายคนที่เก็บตะกอนพลังด้วยวิธีการพิเศษ สำหรับเกอร์มัน·สแปร์โรว์ก็คงไม่ต่างกัน วิธีการเก็บตะกอนพลังกลาดิเอเตอร์คงเป็นความลับที่บอกใครไม่ได้ เธอจึงมิได้หวังให้อีกฝ่ายเปิดกระเป๋าและส่งมอบสินค้าทันที

นักผจญภัยเสียสติต้องมีความลับสักเรื่องสองเรื่องอยู่แล้ว…

แคทลียาเว้นวรรค เสริมหนึ่งประโยค

“ห้องของคุณไม่มีการติดตั้งอุปกรณ์สอดแนม”

สิ่งที่เธอสามารถเห็น ก็ได้เห็นไปหมดแล้วด้วยดวงตาสีม่วงเข้ม

“ถึงจะมีก็ไม่เป็นไร” ไคลน์ยกมุมปากด้วยสีหน้าเย็นชา

แผนเดิมของมันคือ ขณะประกอบพิธีกรรมเข้าสู่มิติหมอก ตนจะนำนกหวีดทองแดงอะซิกและนกกระเรียนกระดาษของวิล·อัสตินออกมาวางข้างกัน เป็นเทคนิคการกีดขวางผลการทำนายถึง อีกทั้งยังจะใช้ห้องน้ำเป็นตัวช่วยกีดขวางทางกายภาพ

แต่ไคลน์ก็มิได้คิดว่าพลเรือเอกดวงดาวจะทำตัวล้ำเส้น ไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายหวาดกลัวเกอร์มัน·สแปร์โรว์ แต่เป็นเพราะบุคคลระดับเธอย่อมมีวิธีล้วงข้อมูลที่นุ่มนวลกว่านั้น

เช่นการใช้ ‘ผู้ชม’ …

ไคลน์ถอดหมวกทาบอก แสดงความขอบคุณ และเดินตาม ‘ผู้เชี่ยวชาญพิษ’ แฟรงค์·ลีไปยังห้องพักของตัวเอง

เมื่อเห็นแผ่นหลังของนักผจญภัยเสียสติเลือนหายไป แคทลียาเดินกลับเข้าห้องกัปตัน หยิบแว่นตาหนาเตอะขึ้นมาสวมทับดั้งจมูก

กรุงเบ็คลันด์ ย่านใต้สะพาน

วิหารฤดูเก็บเกี่ยว

บิชอปยูทรอฟสกี้ ผู้มีรูปร่างสูงใหญ่จนดูคล้ายลูกครึ่งยักษ์ในสายตาคนปรกติ กำลังวางพระคัมภีร์ในมือพลางกวาดตาไปรอบโถงสวดมนต์ด้วยสีหน้าเบิกบาน

“จำนวนผู้ศรัทธาเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ”

“งั้นหรือ…” เอ็มลิน·ไวท์ในชุดคลุมสีน้ำตาลของนักบวช กำลังก้มหน้าเช็ดเชิงเทียนอย่างเหม่อลอย เปล่งเสียงโดยไม่เงยหน้าขึ้น

มันทราบดี นับตั้งแต่จบโศกนาฏกรรมมหาหมอกควันในกรุงเบ็คลันด์ จำนวนสาวกของโบสถ์พระแม่ธรณีเพิ่มขึ้นจากเดิมมาก หากเป็นเมื่อก่อน ถ้าไม่ใช่วันหยุดสุดสัปดาห์หรือช่วงเย็น จำนวนสาวกที่เข้ามาสวดมนต์แทบไม่เคยเกินห้าคน แต่สำหรับปัจจุบัน ในเวลาธรรมดาเช่นนี้กลับมีจำนวนสาวกมากเกินกว่าสิบ

หลวงพ่อยูทรอฟสกี้ก้มหน้าจ้องแวมไพร์หนุ่มที่กำลังทำงานขะมักเขม้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“หากดวงตาไม่มืดบอด ทุกคนล้วนทราบดีว่า การเพิ่มของผู้ศรัทธาเกิดขึ้นได้เพราะฝีมือคุณ ผลงานของคุณเป็นที่ประจักษ์หลังจากเกิดโศกนาฏกรรม หากไม่เพราะคุณปรุงยาดีซึ่งช่วยรักษาพวกเขาจนหายขาด อีกทั้งยังใจกว้างช่วยสอนวิธีปรุงยาหลังจากนั้น คงเป็นการยากที่จะเผยแผ่ความเชื่อของพวกเรา แข่งขันกับศาสนาหลักอื่นๆ ของที่นี่”

เอ็มลินในท่าถือผ้าขี้ริ้วด้วยมือข้างหนึ่ง เหยียดตัวตรงพร้อมกับเชิดคาง

“ข้าทำไปเพียงเพราะต้องการสวมบทบาท”

เฮ่อะ! ความเชื่อของพวกเราอะไรกัน ใครเป็นพวกเดียวกับเจ้า!

ใบหน้าของมันบิดเบี้ยวเล็กน้อย ก่อนจะยิ้ม

“พูดถึงคนตาบอด มีมุกตลกหนึ่งของเบ็คลันด์ที่ข้าเคยได้ยิน : ช่วงนี้คนตาบอดกำลังเป็นที่ต้องการตัวอย่างมาก เพราะทางศาลอยากให้พวกเขาไปทำงานเป็นคณะลูกขุน”

หลวงพ่อยูทรอฟสกี้เพิกเฉยมุกตลก

“ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ใด แต่ผลลัพธ์ก็ไม่เปลี่ยนแปลง ความพยายามของคุณส่งผลให้มีผู้เชื่อในพระแม่ธรณีมากขึ้น ขณะเดียวกันก็ยังเป็นเครื่องพิสูจน์ว่า คุณมีจิตใจที่งดงาม”

ฉันพูดความจริง! ทำไมถึงไม่ยอมเชื่อกันบ้าง!

เอ็มลินเงยหน้าจ้องหลวงพ่อร่างยักษ์สักพัก ก่อนจะเบือนหน้ากลับมาทำงาน

หลังจากเสร็จงานที่วิหาร ผีดูดเลือดหนุ่มเปลี่ยนกลับไปเป็นเครื่องแต่งกายตามปรกติ สวมหมวกผ้าไหมเพื่อป้องกันแสงแดด ย่างกรายไปตามถนนกุหลาบ

หลังจากแอบกลอกตาซ้ายขวา มันพบว่าเป็นอีกครั้งที่ตนไม่ถูกสะกดรอย

“ถุงมือแดงที่ชื่อเลียวนาร์ดคนนั้นไม่ยอมโผล่หน้ามาอีกเลย… ข้าเคยคิดว่าหลังจากเปิดโปงตัวจริงพร้อมกับซื้ออินธน์ เจ้านั่นจะแอบสะกดรอยตามเสียอีก…” เอ็มลิน·ไวท์ส่ายหน้าแผ่วเบาจนยากสังเกตเห็น ในใจกำลังสับสน

ตอนแรก มันต้องการนำทฤษฎีของแฮงแมนมาปรับใช้ วางแผนปล่อยให้การสะกดรอยของ ‘ถุงมือแดง’ สร้างความขัดแย้งกับการจับตามองของเบื้องบนตระกูลผีดูดเลือด โดยมีโบสถ์พระแม่ธรณีและบิชอปยูทรอฟสกี้คอยเป็นแกนกลางในการรักษาสมดุล

แต่เหตุการณ์กลับไม่ดำเนินไปตามที่คิด ถุงมือแดง ‘เลียวนาร์ด·มิเชล’ มิได้สะกดรอยอย่างต่อเนื่อง คล้ายกับหายตัวไปจากเบ็คลันด์อย่างลึกลับและกะทันหัน

ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ เอ็มลินลองแวะไปยังบ้านเลขที่ 7 ถนนพินสเตอร์ และพบว่าอาคารดังกล่าวไม่มีใครอาศัยอยู่

สลัดความคิดไร้สาระออกจากสมอง ผีดูดเลือดหนุ่มเดินสุดถนน เช่ารถม้ามุ่งหน้าไปยังคฤหาสน์ตระกูลโอดรา

หลังจากได้รับคำแนะนำจากบุรุษรับใช้ให้นั่งรอในห้องหนังสือชั้นล่าง เอ็มลินพบว่าที่นี่เต็มไปด้วยผีดูดเลือดหนุ่มสาวคล้ายตน บางส่วนมีบรรดาศักดิ์เป็นบารอน

ไม่ใช่ข้าคนเดียวหรอกหรือ…

มันครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะเดินไปทางประตูห้องที่ปิดอยู่และซักถามคาซีมี·โอดรา

“บารอน ท่านลอร์ดนีบาสมิได้เรียกข้ามาพบแค่คนเดียวหรอกหรือ”

มันเรียกอีกฝ่ายว่า ‘บารอน’ ห้วนๆ ประหนึ่งกำลังขานชื่ออย่างสนิทสนม เพราะปัจจุบันเอ็มลินก็มีบรรดาศักดิ์บารอน เพียงแต่ยังมิได้ประกาศออกไป

คาซีมีเป็นสุภาพบุรุษวัยกลางคนที่มีบรรยากาศสง่างามและสุขุม เมื่อได้ยินคำถามของเอ็มลิน มันตอบด้วยรอยยิ้มลุ่มลึก

“พวกเจ้าทุกคนคือผีดูดเลือดหนุ่มสาวที่มีผลงานโดดเด่นสะดุดตาเบื้องบน ท่านปู่จึงเตรียมมอบภารกิจเพื่อเป็นการทดสอบ”

“ทดสอบอะไร?”

ซักถามโดยรุส·บาโธรี ผู้สืบทอดตะกอนพลังบารอนได้เพราะความโชคดี

คาซีมีจิบไวน์เลือดสีแดงเข้ม กวาดตามองไปรอบห้องอ่านหนังสือ

“พวกเจ้าอาจยังไม่ทราบ แต่อสรพิษแห่งชะตาของโรงเรียนชีวิตได้หายตัวไปสักพักแล้ว”

เมื่อเห็นเอ็มลินและหนุ่มสาวคนอื่นยังคงแสดงสีหน้าฉงน คาซีมีเล่าต่อไป

“สิ่งหนึ่งที่ควรรู้เอาไว้ก็คือ โรงเรียนชีวิตเป็นองค์กรที่ก่อตั้งจากสองกลุ่มซึ่งมีพื้นฐานแตกต่างกันมาก ฝ่ายหนึ่งคือผู้เชื่อในโชคชะตา ส่วนอีกฝ่ายคือผู้เชื่อในดวงจันทร์บรรพกาล โดยฝ่ายหลังผยองพองขนว่าตนสูงส่งและเปี่ยมด้วยปัญญาเสียเต็มประดา ทั้งสองกลุ่มจำเป็นต้องจับมือเป็นพันธมิตรกันเนื่องจากถูกศาสนาหลักกดดันอย่างหนัก มีคติพจน์ร่วมกันคือ ตระหนักถึงแก่นแท้ของชีวิตและวิญญาณ เป็นเพราะการมีอยู่ของอสรพิษแห่งชะตา ความขัดแย้งจึงถูกซ่อนใต้พรมมาตลอด ผู้เชื่อในดวงจันทร์บรรพกาลจะถูกตีกรอบพิธีกรรมและการบูชาสัญลักษณ์ แต่หนึ่งสิ่งที่เหมือนก็คือ สมาชิกองค์กรจะใช้ระบบศิษย์อาจารย์ โดยสูตรโอสถส่วนมากจะถูกแลกเปลี่ยนผ่านทางนี้เท่านั้น แต่น่าเสียดาย หลังจากอสรพิษแห่งชะตาหายตัวไป ความสงบสุขก็เลือนหายไปพร้อมกัน ผู้เชื่อในดวงจันทร์บรรพกาลเริ่มอาละวาด สร้างความแตกแยกภายในองค์กร และเริ่มก่อปัญหากับฝ่ายผู้เชื่อในโชคชะตา ทั้งหมดเป็นฝีมือของโรงเรียนกุหลาบ พวกมันคอยบงการอยู่เบื้องหลัง และสร้างความเสียหายแก่โรงชีวิตได้อย่างหนักหน่วง”

เมื่อเห็นเอ็มลิน·ไวท์ รุส·บาโธรี และผีดูดเลือดหนุ่มสาวยังเหลือความสับสนบนใบหน้าอยู่เล็กน้อย คาซีมี·โอดราพูดเข้าประเด็นหลักทันที

“สาวกดวงจันทร์บรรพกาลคือศัตรูคู่อาฆาตของผีดูดเลือดอย่างเรา พวกมันล่าผีดูดเลือดเพื่อนำไปปรุงเป็นโอสถ เพื่อแย่งชิงพลัง! ตอนนี้จึงเป็นโอกาสสำคัญที่พวกเราไม่ควรปล่อยผ่าน นี่คือรายชื่อของบรรดาผู้เชื่อในดวงจันทร์บรรพกาล หากใครในกลุ่มพวกเจ้าสังหารพวกมันได้มากที่สุด ท่านปู่ของข้า รวมถึงอาวุโสเบื้องบนอีกหลายตน จะตกรางวัลให้ผู้ชนะอย่างงาม บททดสอบจะจบลงทันทีหากมีใครฆ่าได้เกินกว่าครึ่งหนึ่งของรายชื่อ หรือศัตรูถูกฆ่าจนครบ”

“แน่นอน รายชื่อข้างต้นถูกคัดกรองให้เหมาะสมกับฝีมือพวกเจ้าแล้ว ส่วนคนอื่นนอกเหนือจากนี้จะถูกจัดการโดยท่านอาวุโสเบื้องบน”

หลังจากเอ็มลิน·ไวท์ฟังจบ แม้จะเกลียดชังแวมไพร์ ‘เทียม’ เป็นทุนเดิม แต่มันก็ไม่มีอารมณ์ร่วมกับบททดสอบสักเท่าไร มองว่าเป็นเรื่องน่าเบื่อหน่าย เป็นงานกรรมกรที่วุ่นวาย การหมกตัวอยู่แต่ในบ้านและคุยกับตุ๊กตา ยังมีความสุขกว่าเป็นไหนๆ

อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นการแข่งขันระหว่างกลุ่มผีดูดเลือดหนุ่มสาว เอ็มลินตระหนักได้ทันทีว่าตนกำลังถูกสายตาจำนวนมากจากรุส·บาโธรีและคนอื่นจ้องมอง จึงเชิดคางขึ้นและกล่าว

“ไม่มีปัญหา”

ดวงตาสีแดงเลือดสดของมันกำลังกวาดมองทุกสิ่งมีชีวิตรอบห้อง

อนาคตกาล ภายในห้องพักที่มีห้องน้ำส่วนตัว

ไคลน์ยืนข้างหน้าต่าง มองออกไปยังทะเลสีฟ้าครามสุดลูกหูลูกตาด้านนอก อ้าแขนรับลมเย็นจากทางเหนือด้วยสีหน้าผ่อนคลาย

เรือธงของพลเรือเอกดวงดาวเริ่มแยกออกจากกองเรือคุ้มกัน แล่นไปตามลำพังบนน่านน้ำสำหรับล่าวาฬขาว

ผ่านไปนานแค่ไหนไม่มีใครทราบ เรือประมงล่าวาฬสองลำแล่นสวนมาจากด้านหน้า เมื่อพวกมันเห็นธง ‘หนึ่งเนตรสิบดารา’ ทั้งสองลำรีบตอบสนองอย่างประหม่าเจือความลนลาน

กราบเรือถูกหันเข้าหาอนาคตกาล ปืนใหญ่ทุกกระบอกเรียงรายพร้อมยิงทุกเมื่อ

แม้แต่ปืนล่าวาฬที่ใช้กลไกการระเบิดเพื่อส่งให้ฉมวกพุ่ง ก็ยังถูกหันมาในทิศทางเดียวกัน บรรดาลูกเรือผมทองชาวการ์กัสเข้าประจำการตามปืนใหญ่ ปืนฉมวก บางนั่งยองหลบหลังกำแพงกราบเรือ โดยทั้งหมดกำลังตื่นตัวสุดขีด

ไคลน์เหลือบเห็นหญิงสาวที่มีขนาดร่างกายใหญ่โตเท่าเดอะฮัลค์และเชื่อว่าพวกหล่อนคงต่อสู้ได้เก่งกาจ

แต่อนาคตกาลหาได้แยแสการต้อนรับที่ไม่เป็นมิตร เพียงแล่นผ่านไป มุ่งหน้ายังใจกลางเขตน่านน้ำล่าวาฬขาว

หลังจากผ่านไปอีกสักพัก ไคลน์เห็นเรือโจรสลัดหลายลำกำลังจอดนิ่งเป็นกลุ่มใหญ่ด้านหน้า จุดดังกล่าวใกล้กับสุดเขตทางเดินเรือปลอดภัย ภายในใจยังไม่ทราบเป้าหมายที่แน่ชัด

อนาคตกาลแล่นเข้าไปใกล้กับพวกมันโดยปราศจากความยำเกรง เมื่อเห็นภาพดังกล่าว กลุ่มเรือโจรสลัดพลันแตกฮือประหนึ่งฝูงนกได้ยินเสียงปืน ลนลานแล่นหายไปจากการมองเห็น

หลังจากตระหนักว่าอนาคตกาลเริ่มลดความเร็วลง ชายหนุ่มเบือนศีรษะออกจากหน้าต่างด้วยอารมณ์สับสน

ไคลน์ตรงไปทางห้องกัปตัน และพบว่าพลเรือเอกดวงดาว·แคทลียา กำลังเดินสวนออกมาพอดี อีกฝ่ายมาในมาดสวมแว่นตาหนาเตอะ ปกปิดดวงตาสีม่วงเข้มซึ่งแฝงเสน่ห์ลึกลับ

หญิงสาวจ้องไคลน์ อธิบายสั้นกระชับ

“มีคนพบซากอารยธรรมของยุคสมัยที่สี่บนก้นทะเลใต้ผิวน้ำแถบนี้ พวกเรามีแผนแวะสำรวจระหว่างทาง”

ก้นทะเลแถบนี้? อารยธรรมจากยุคสมัยที่สี่?

ไคลน์หวนนึกถึงข่าวลือที่ตนบังเอิญได้ยินในผับลาร์ดาล

ข่าวลือนั่นเริ่มแพร่กระจายแล้วหรือ?

เราบังเอิญได้ยินเข้าพอดีสินะ…

ชายหนุ่มรำพัน

……………………