บทที่ 498 จะปฏิเสธไหม

The king of War

“ปัง!”

หวังเฉินโกรธจัดทันที เขาทุบโต๊ะอย่างแรงแล้วลุกขึ้นยืน ภายในดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ พลางกัดฟันพูดว่า “หยางเฉิน นี่คุณกำลังรนหาที่ตายอยู่นะ!”

หยางเฉินผายมือออกเหมือนคนเสเพล พูดด้วยรอยยิ้ม “คุณรู้ไหม ผมทำได้ทุกอย่าง”

“คุณต้องการทำอะไรกันแน่?”

แม้ว่าหวังเฉินจะโกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ ถ้าหยางเฉินบอกตระกูลอวี๋เหวินเรื่องสถานการณ์ของคลับเมืองหลวงจริงๆ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาทุ่มเทวางแผนอย่างรอบคอบตลอดหลายปีที่ผ่านมาจะพังทลายลง

“หรือว่าผมยังพูดไม่ชัดเจน? ผมต้องการช่วยให้คุณแทนที่หยูเหวินหวูได้ ก็เท่านั้น!” หยางเฉินพูดด้วยสีหน้าจริงจัง

หวังเฉินยิ้มเยาะ “หยางเฉิน คุณเห็นผมเป็นคนโง่จริงๆ เหรอ?”

“จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่คุณ แต่สิ่งที่ผมบอกคุณได้ก็คือ ผมรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับคุณในตอนนี้อย่างทะลุปรุโปร่งแล้ว”

หยางเฉินพูดต่อด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าคุณไม่รับปาก ผมก็คงต้องเล่าทุกอย่างที่ผมรู้ให้ตระกูลอวี๋เหวินฟัง”

“สารเลว!”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหวังเฉินหายไปจนหมดสิ้น เขากัดฟันพลางพูดว่า “คุณมันสารเลว คิดว่าผมหวังเฉินเป็นคนที่โดนรังแกได้ง่ายๆ เหรอ?”

“ผมก็บอกคุณแล้วว่า ผมจะช่วยให้คุณแทนที่หยูเหวินหวู ทำไมคุณถึงคิดว่าผมมีเจตนาอย่างอื่นกับคุณล่ะ?”

หยางเฉินพูดอย่างช่วยไม่ได้ “คุณน่าจะรู้ดีว่า หยูเหวินหวูทำเคยอะไรลับหลังผม ในเมื่อเขากลัวว่าผมจะแย่งทุกอย่างไปจากเขา ถ้าอย่างนั้นผมก็จะแย่งให้เขาดู หรือว่ามันมีอะไรไม่ถูกต้อง?”

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ คุณก็ควรต่อสู้เพื่อตำแหน่งทายาทด้วยตัวเองไม่ใช่เหรอ? จะลากผมเข้าไปเกี่ยวด้วยทำไม?” หวังเฉินพูดประชดประชัน

เห็นได้ชัดว่า เขาไม่เชื่อว่าหยางเฉินจะช่วยให้เขาเป็นทายาทจริงๆ

เรื่องนี้ก็สามารถเข้าใจได้ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาทั้งสองเคยดีมาก แต่ตอนนี้ได้ผ่านไปสิบแปดปีแล้ว เมื่อเวลาผ่านไป ความสัมพันธ์ก็ได้ถูกทำลายลงตั้งนานแล้ว

หยางเฉินปรากฏตัวขึ้นอย่างกะทันหัน บอกว่าต้องการช่วยเขาให้เป็นทายาทของตระกูลอวี๋เหวิน แล้วเขาจะเชื่อได้อย่างไร?

“คุณรู้ไหม เมื่อสิบแปดปีก่อน นับตั้งแต่ที่ตระกูลอวี๋เหวินขับไล่ผมกับแม่ ก็ได้ปฏิญาณเอาไว้อย่างหนักแน่นว่าชีวิตนี้จะไม่มีวันให้อภัยตระกูลอวี๋เหวิน”

รอยยิ้มบนใบหน้าของหยางเฉินจางหายไป เขาพูดอย่างหนักแน่น

หวังเฉินไม่พูดอะไร มองหยางเฉินอย่างเฉยเมย

“สำหรับผม ตระกูลอวี๋เหวินไม่มีค่าให้พูดถึง ถึงแม้ผมจะต้องการเหยียบตระกูลอวี๋เหวินให้แบน แล้วมันจะยากตรงไหน?”

“แต่ก่อนที่แม่ของผมจะเสียชีวิต ได้บังคับให้ผมสาบานอย่างโหดร้าย ไม่ให้ผมแก้แค้นตระกูลอวี๋เหวิน ถ้าไม่อย่างนั้น คุณคิดว่าตระกูลอวี๋เหวินจะยังอยู่รอดมาจนถึงตอนนี้ได้เหรอ?”

“ถ้าไม่ใช่เพราะการยั่วยุซ้ำแล้วซ้ำเล่าของหยูเหวินหวู ผมคงไม่เสนอแผนการที่โง่เขลานี้ออกมา มาหาคุณเพื่อคุยเรื่องพวกนี้”

ท่าทีของหยางเฉินจริงใจมาก ในน้ำเสียงยังเจือไปด้วยความไม่เต็มใจ

หวังเฉินแอบประหลาดใจ ทันใดนั้นก็มีความรู้สึกว่าเขาไม่สามารถมองทะลุหยางเฉินได้

เขาทำงานในคลับเมืองหลวงมาเป็นเวลานาน ได้สัมผัสกับผู้คนมากมายหลายหลาก เก่งในเรื่องการมองคน

หยางเฉินจะพูดโกหกหรือไม่ เขามั่นใจได้ว่ามองออก

แม้ว่าจะดูเหมือนว่าหยางเฉินไม่ได้โกหก แต่เขาก็ยังไม่สามารถยอมรับได้ว่า ลูกชายที่ถูกทอดทิ้งของตระกูลอวี๋เหวินมีความสามารถในการโค่นล้มตระกูลอวี๋เหวิน

“หยางเฉิน ผมรู้สึกเห็นอกเห็นใจกับชีวิตที่ขมขื่นของคุณ แต่ก็หวังว่าคุณจะเข้าใจ ผมมีเพียงชีวิตเดียว เกรงว่าถ้าตอนนี้ผมไปแย่งชิงตำแหน่งทายาทของตระกูลอวี๋เหวิน คงตายไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ”

“จะว่าไปแล้ว นี่คือความแค้นระหว่างคุณกับหยูเหวินหวู ทำไมต้องให้ผมไปรับความโกรธของ หยูเหวินหวูแทนคุณด้วย?”

“ไม่ว่ายังไงก็ตาม ตอนนี้หยูเหวินหวูเป็นทายาทของตระกูลอวี๋เหวิน มีตำแหน่งสูงและมากด้วยอำนาจ ถ้าเขาคิดจะบีบผมให้ตาย มันก็ง่ายดายมาก”

“ดังนั้น ผมต้องขอโทษเป็นอย่างมาก ผมตอบตกลงคุณไม่ได้”

หวังเฉินกล่าวด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

หยางเฉินมองไปที่เขาแล้วเอ่ยว่า “ผมไม่ได้ต้องการใช้คุณเพื่อช่วยจัดการกับหยูเหวินหวู แต่คุณมีความทะเยอทะยาน ผมมีความสามารถ ดังนั้นผมจึงมาหาคุณเพื่อร่วมมือกับคุณ ช่วยคุณให้แทนที่หยูเหวินหวู และถือว่าเป็นการช่วยผมจัดการกับเขาด้วย”

หวังเฉินยังคงส่ายหน้าเช่นเดิม แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “หยางเฉิน ผมยังไม่อยากตาย!”

“แล้วต้องทำยังไงคุณถึงจะยอมร่วมมือกับผม?” หยางเฉินถาม

“เว้นแต่คุณจะพิสูจน์ได้ว่า คุณมีความสามารถในการโค่นล้มตระกูลอวี๋เหวิน ถึงคุณจะทำไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ทำให้ผมได้เห็นพลังของคุณในเมืองเยี่ยนตูไม่ใช่หรือ?” หวังเฉินถาม

หยางเฉินเข้าใจว่า ถ้าหากไม่แสดงพลังของตนเองออกมาบ้าง หวังเฉินจะไม่มีทางตอบตกลง

เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วกดหมายเลขโทรออกไปโดยไม่พูดอะไร

ไม่นาน ก็มีเสียงแก่ๆ ดังขึ้นจากมือถือ “คุณหยาง ดึกมากแล้ว โทรหาผมมีธุระอะไรเหรอ?”

หยางเฉินพูดอย่างไม่อ้อมค้อม “เจ้าบ้านหวง ผมวางแผนจะหาคนมาแทนที่ทายาทของตระกูลอวี๋เหวิน ต้องการความช่วยเหลือจากคุณให้สร้างปัญหานิดหน่อย ไม่รู้ว่าเจ้าบ้านหวงจะยินดีหรือไม่”

“คุณหยางกำลังพูดเรื่องอะไร? ในเมื่อผมยอมสวามิภักดิ์ให้คุณหยางแล้ว มีอะไรคุณสั่งการโดยตรงก็ได้ ผมจะกล้าปฏิเสธได้ยังไง?” หวงเทียนเชิงหัวเราะเสียงดังอย่างเบิกบาน

หลังจากหยางเฉินแก้ปัญหาเรื่องหวงจงและหวงเทียนเฉินเรียบร้อยแล้ว ตระกูลหวงก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ มีเพียงเขาที่มีอำนาจตัดสินใจ

นอกจากนี้หวงเจิ้งลูกชายของเขาก็ถูกจัดให้เข้ารับการรักษาโดยอ้ายหลิน แล้วหวงเทียนเชิงจะกล้าปฏิเสธคำขอของหยางเฉินได้อย่างไร?

“ดี ถ้าอย่างนั้นตอนนี้ก็เริ่มเตรียมตัวได้เลย สร้างปัญหาใหญ่ให้กับทายาทของตระกูลอวี๋เหวิน”

หยางเฉินสั่งการทันที

“ครับ คุณหยาง! ผมจะไปจัดการเดี๋ยวนี้!”

หวงเทียนเชิงพูดจบก็วางสายไป

“หวังเฉิน ตอนนี้คุณยังจะปฏิเสธผมอยู่ไหม” หยางเฉินถามด้วยรอยยิ้ม

หวังเฉินที่อยู่ข้างๆ ถึงกับตกตะลึง สีหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

เหมือนเพิ่งเคยรู้จักหยางเฉินครั้งแรก

ก่อนที่หวังเฉินจะตอบ หยางเฉินก็กดโทรไปที่หมายเลขอื่นอีกครั้ง

“คุณนายเย่ ผมต้องการความช่วยเหลือจากตระกูลเย่” หยางเฉินพูดอย่างตรงไปตรงมา

คุณนายเย่เป็นแม่แท้ๆ ของฉินซี เย่ม่าน

ย้อนกลับไปที่เจียงโจว เย่ม่านเอาเรื่องที่พ่อแท้ๆ ของฉินซีถูกฆ่าตายมาข่มขู่หยางเฉิน บังคับให้หยางเฉินตอบตกลงร่วมมือกับตระกูลเย่

ตอนนี้หยางเฉินต้องการจัดการหยูเหวินหวู เขาย่อมไม่ลืมผู้หญิงคนนี้ที่ข่มขู่เขา

“คุณต้องการให้ฉันทำอะไร?” เย่ม่านถามอย่างตรงไปตรงมา

“สร้างปัญหาให้กับทายาทของตระกูลอวี๋เหวิน ผมต้องการให้เขาออกจากตระกูลอวี๋เหวิน!” หยางเฉินกล่าว

“ตกลง!”

เย่ม่านตอบเพียงคำเดียวแล้ววางสายไป

“หวังเฉิน ต้องการให้ผมพิสูจน์ความสัมพันธ์ของผมต่อไปอีกหรือไม่?” หยางเฉินยิ้มตาหยีมองหวังเฉินแล้วถามขึ้น

หวังเฉินกลับมามีสติอีกครั้ง ดวงตาเป็นประกาย การโทรศัพท์สองครั้งเมื่อครู่ทำให้เขาตกใจมาก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโทรครั้งแรกถึงหวงเทียนเชิง ทำให้เขาตกใจยิ่งกว่าเดิม

เป็นถึงผู้นำของตระกูลหวง หนึ่งในแปดตระกูลแห่งเยี่ยนตู แต่ยอมสวามิภักดิ์ให้หยางเฉิน

สำหรับหวังเฉินแล้วมันเป็นเรื่องเหลวไหลไม่น่าเชื่อถือ แต่นี่คือเรื่องจริงแน่นอน

“ถ้าถึงขั้นนี้แล้วผมยังไม่ตอบตกลง นั่นก็แสดงว่าแยกแยะชั่วดีไม่ออกจริงๆ”

รอยยิ้มเหยียดหยามปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหวังเฉินอีกครั้ง เขากล่าวพร้อมกับหัวเราะเอิ๊กอ๊าก

ในเวลานี้ เขาทำได้เพียงปิดบังความหวั่นไหวภายในใจด้วยรอยยิ้มเท่านั้น

หยางเฉินหัวเราะลั่น ก่อนจะยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้ร่วมมือกันอย่างมีความสุข! ผมตั้งตารอวันที่คุณจะขึ้นเป็นทายาทของตระกูลอวี๋เหวิน”