บทที่ 2294 ราชันย์มาร 8 / บทที่ 2295 ราชันย์มาร 9

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 2294 ราชันย์มาร 8

เธอสูดหายใจเบาๆ มองเขาที่เป็นเช่นนี้ เขาไม่ได้สวมหน้ากาก เป็นใบหน้าที่คุ้นเคย

นัยน์ตาเธอแสบเคืองอยู่บ้าง สางเส้นผมที่เปียกชุ่มเล็กน้อย ยิ้มน้อยๆ ให้เขาแวบหนึ่ง

“ฝูอี ไม่เจอกันนานเลย! ข้าตามหาเจ้าอยู่ตลอดเลยนะ”

ถึงแม้รูปโฉมเธอจะไม่ใช่รูปโฉมเดิม แต่เสียงกลับเป็นน้ำเสียงดั้งเดิม เชื่อว่าเขาต้องจำเธอได้แน่

หากมิใช่เพราะอุปกรณ์แปลงโฉมของเธอกันน้ำ รูปโฉมเธอคงถูกล้างจนกลับสู่สภาพเดิมไปแล้ว

แววตาตี้ฝูอีดิ่งลงแวบหนึ่ง ทว่าแย้มยิ้ม รอยยิ้มนั้นแฝงความเย็นชาสายหนึ่งไว้

“กู้ซีจิ่ว ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นเจ้า เจ้าตามหาข้า? ตามหาข้าทำไม?”

สุ้มเสียงเขาราบเรียบยิ่ง น้ำเสียงที่ใช้คุยกับเธอถึงขั้นที่เทียบกับสหายทั่วไปไม่ได้ด้วยซ้ำ

กู้ซีจิ่วชะงักไปเล็กน้อย

เธอไม่คิดเลยว่าเขาจะเย็นชาแบบนี้ อึกอักอยู่ครู่หนึ่ง

“เจ้า…เจ้าหายไปกว่าหนึ่งปี ไม่ได้กลับไปที่เมืองลั่วฮวาเลย…ข้าเกรงว่าเจ้า…”

“เจ้าเกรงว่าข้าจะทำไม? เกรงว่าข้าจะทำหน้าหนาไปหาเจ้าอีกหรือ? หรือเกรงว่าข้าจะตามตอแยเจ้าไม่ยอมเลิกรา?”

กู้ซีจิ่วที่ถูกเขาถามหน้าซีดแล้ว เอ่ยแย้งไปตามสัญชาตญาณ

“ข้าเปล่านะ!”

“อ่อ ไม่ได้เกรงว่าข้าจะเป็นแบบนี้…เช่นนั้นเจ้าเกรงว่าข้าจะเป็นอันใดเล่า? เจ้าบอกว่าเจ้าเห็นข้าแล้วขยะแขยงบอกว่าไม่อยากเห็นข้าอีกต่อไป ข้าจากมาตามที่เจ้าต้องการแล้ว ข้ารู้ตัวเช่นนี้แล้ว เจ้ายังต้องการอะไรอีก? ตามหาข้าอีกทำไม?”

เสียงเขาไม่ดัง และราบเรียบยิ่ง แต่ถ้อยคำที่เอ่ยออกมากลับเสมือนมีดอาบยาพิษเล่มหนึ่ง หัวใจกู้ซีจิ่วจมดิ่งลงไปทีละชุ่นๆ ดวงตาก็ค่อยๆ แสบเคืองแล้ว

ทว่าเธอฝืนข่มไว้ พยายามแสดงเจตนาของตัวเอง

“ตี้ฝูอี ข้ายอมรับว่าตอนนั้นข้าพูดจาทำร้ายจิตใจผู้อื่นจริงๆ แต่ว่า ถึงอย่างไรก็เป็นเจ้าที่หลอกข้าก่อน…ข้าย่อมโกรธเคืองยิ่งนัก ดังนั้นจึงได้พูดจาไม่เข้าท่า ข้า…”

“ขออภัย!”

“หือ?”

“แม่นางกู้ เมื่อก่อนข้าเคยสร้างปัญหาให้ท่านไว้จริงๆ ฉวยโอกาสหลอกลวงตอนท่านความจำเสื่อม สำหรับเรื่องนี้ ข้ารู้สึกเสียใจอย่างลึกล้ำเสมอมา เป็นข้าที่ลุ่มหลงในรักมากเกินไป ดังนั้นถึงได้…หากว่าเจ้ามาหาข้าเพราะเรื่องนั้น ต้องการให้ข้ารับผิดชอบเจ้าล่ะก็…”

ตี้ฝูอีนิ่งไปแวบหนึ่ง โน้มตัวมาด้านหน้า เข้าใกล้เธอที่มีสีหน้าค่อนข้างซีดเซียวแล้ว

“เจ้าตามหาเช่นนี้ คงมิใช่ว่าในที่สุดก็คิดตกแล้ว ต้องการให้ข้ารับผิดชอบเจ้ากระมัง? หากว่าเป็นเช่นนี้…”

“แน่นอนว่าไม่ใช่!”

กู้ซีจิ่วรีบตัดบทเขา โลหิตร้อนๆ ของเธอพวยพุ่งสู่ยอดศีรษะแล้ว ทว่ายังคงข่มอารมณ์ไว้ เพียงเอ่ยด้วยริมฝีปากที่สั่นสะริกอยู่บ้าง

“เจ้าคิดมากไปแล้ว ข้าไม่ได้ตามหาเจ้าเพื่อให้รับผิดชอบด้วยเรื่องนี้…”

ตี้ฝูอียิ้มแล้ว ทว่าแววตาเยียบเย็นกว่าเดิม

“เช่นนั้นเจ้าตามหาข้าทำไม?”

“ข้าห่วงความปลอดภัยของเจ้า!”

กู้ซีจิ่วโพล่งออกมา

“ขอบคุณมาก!”

ตี้ฝูอีหยักมุมปาก

“เช่นนั้นยามนี้เจ้าก็เห็นแล้วว่าข้าปลอดภัยดี เจ้าคิดจะทำอย่างไรต่อล่ะ?”

กู้ซีจิ่วนิ่งงัน

ใช่แล้ว เธอคิดจะเอายังไงต่อล่ะ?

เธออยากยืนยันให้แน่ใจว่าเขาปลอดภัย ตอนนี้ได้เห็นเขายังอยู่ดีมีสุขเธอก็ดีใจ ถึงขั้นที่อยากหาทางรั้งอยู่ข้างกายเขาด้วย

แต่ดูจากท่าทางในยามนี้ของเขาแล้ว ถ้อยคำนี้เธอพูดไม่ออก ได้แต่อ้ำอึ้งอยู่ตรงนั้นชั่วขณะ

ตี้ฝูอีกลับพูดแทนเธอแล้ว

“คงไม่ใช่ว่าจู่ๆ เจ้าก็คิดตกแล้ว ต้องการรั้งอยู่ข้างกายข้ากระมัง? เจ้าไม่ไปตามหาหวงถูหรือว่าท่านทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายแล้วรึ?”

“มีความเป็นไปได้เกือบสิบส่วนว่าพวกเจ้าจะเป็นคนเดียวกัน! เจ้าเป็นเขากลับชาติมาเกิด!”

กู้ซีจิ่วเอ่ยโพล่งออกมา

เมื่อเธอเอ่ยประโยคนี้ออกมา สีหน้าตี้ฝูอีก็แปรเปลี่ยนไปอย่างแท้จริง

“กู้ซีจิ่ว ที่แท้เจ้าก็มาหาข้าด้วยเหตุผลนี้! ขออภัยด้วย คงต้องทำให้เจ้าผิดหวังแล้ว! ข้าตี้ฝูอีเป็นเพียงตี้ฝูอี มิใช่ตัวแทนของใครหน้าไหนทั้งนั้น!”

————————————————————————————-

บทที่ 2295 ราชันย์มาร 9

“อย่าได้พยายามตามหาเงาของเขาจากตัวเปิ่นจวินอีก! ข้าไม่สนใจเรื่องราวชาติก่อนชาตินี้! อย่าว่าแต่ชาติก่อนข้าไม่ใช่เขาเลย ต่อให้ใช่ก็แค่เคย!”

น้ำเสียงตี้ฝูอีเย็นเฉียบปานน้ำแข็ง

ในใจกู้ซีจิ่วคับข้องหมองหม่นอย่างยิ่ง เธออยากจะสะบัดหน้าหนียิ่งนัก! แต่ว่า ถึงอย่างไรเธอก็ตามหาเขามากว่าหนึ่งปี จะตัดใจปล่อยมือจากเขาไปเช่นนี้ได้อย่างไร?

เธอสูดหายใจเบาๆ เฮือกหนึ่ง

“เจ้ายังถือโทษข้ากระมัง? อันที่จริงข้า…”

เธอพยายามจะอธิบายอีกครั้ง แต่พูดยังไม่ทันจบก็ถูกตี้ฝูอีตัดบทอย่างไร้เยื่อใย

“ข้าปล่อยวางแล้ว!”

กู้ซีจิ่วแข็งทื่อไปทันที

“หะ?”

ดวงตาของตี้ฝูอีมองมาที่เธอ แววตาที่เคยอ่อนโยนมีเพียงความเหน็บหนาวเข้าไปถึงกระดูก

“กู้ซีจิ่ว ข้าปล่อยวางเจ้าแล้ว! นับตั้งแต่หนึ่งปีก่อนที่เจ้าทิ้งข้าไว้ในป่าเพียงลำพัง ข้าก็ตัดสินใจแล้วว่าจะปล่อยวางเจ้า!”

กู้ซีจิ่วหน้าซีดเผือด

“เพราะ…เพราะเหตุใด?”

“ข้าเหนื่อยแล้ว!”

น้ำเสียงตี้ฝูอีเฉยเมย

“ไล่ตามสตรีคนหนึ่งที่มีบุรุษอื่นอยู่ในใจเสมอมาช่างเหน็ดเหนื่อยเหลือเกิน! ข้าคิดว่าข้าจะทำได้ แต่ความจริงพิสูจน์แล้วว่าข้าผิด! กู้ซีจิ่ว ไม่มีผู้ใดยินยอมให้โดยไม่หวังผลตอบแทนไปตลอดหรอกนะ และไม่มีผู้ใดยินดีจะรอคอยอยู่ที่เดิมแม้ว่าจะหัวแตกเลือดอาบก็ตาม ดังนั้น นับตั้งแต่ข้าเลือกแล้วว่าจะปล่อยมือ ข้าคิดว่าคงลำบากยากเย็นยิ่งนัก แต่ตอนนี้เห็นแล้วว่ายังพอทำได้ ต่อให้ไม่มีเจ้าแล้ว ข้าก็ยังใช้ชีวิตอย่างสบายใจได้จริงๆ ดังนั้น ก็เป็นเช่นนี้เถิด เหมือนที่เจ้าว่าไว้ วันหน้าเจ้าเดินในเส้นทางอันรุ่งโรจน์ของเจ้า ข้าจะเดินในเส้นทางโดดเดี่ยวของข้า พวกเราทางใครทางมัน”

เรือนกายของตี้ฝูอีถอยกลับไปก้าวหนึ่ง พิงขอบสระอย่างเฉื่อยชา เว้นระยะห่างจากเธอแล้ว

“เจ้าไปเถอะ อาณาจักรมารแห่งนี้มิใช่ที่ที่เจ้าจะอยู่ได้ ไม่จำเป็นต้องมาป้วนเปี้ยนที่นี่อีกแล้ว”

นี่คือการไล่คนแล้ว

กู้ซีจิ่วกัดปากแน่น เดิมทีเธอมีถ้อยคำอยู่เต็มทรวงที่อยากพูดเมื่อได้พบเขา แต่ตอนนี้พูดไม่ออกเลยสักประโยค!

น้ำในสระอบอุ่นยิ่ง เธอกลับรู้สึกหนาว หนาวเหลือเกิน!

ใบหน้าพริ้มเพราของเธอเดี๋ยวเขียวเดี๋ยวซีด ดวงตาจ้องเขาเขม็ง

“เจ้าพูดจริงหรือ?”

ตี้ฝูอีเอ่ยอย่างเฉยชา

“เจ้าดูแล้วเหมือนข้าพูดปดหรือไง?”

กู้ซีจิ่วหลุบตาลงนิดๆ เงียบไปพักหนึ่ง แล้วหัวเราะเบาๆ

“ข้ารู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงเลย…”

วาจาท่อนหลังคล้ายจุกอยู่ในลำคอ พูดไม่ออกแล้ว นิ่งไปอีกครู่หนึ่ง เธอจึงพูดต่อว่า

“ข้าไม่คิดเลยว่าพบหน้ากันอีกครั้งพวกเราจะกลายเป็นเช่นนี้…”

แยกจากกันกว่าหนึ่งปี ในที่สุดเธอก็ได้พบเขาแล้ว กลับคาดไม่ถึงว่าสถานการณ์จะเป็นเช่นนี้

เธอกับเขาอยู่ใกล้กันยิ่งนัก ห่างกันไม่ถึงสองช่วงแขน แต่กลับรู้สึกเหมือนมีหมื่นธาราพันบรรพตขวางกั้นอยู่…

ตี้ฝูอีไม่มองเธอแล้ว เพียงพริ้มตาพิงอยู่ตรงนั้น

มีเสียงลมแว่วขึ้นริมหูเล็กน้อย จู่ๆ มือของเขาก็ถูกเธอจับไว้!

เขาลืมตาขึ้น ขมวดคิ้วนิดๆ มองนางที่อยู่ในระยะประชิด

“เจ้าจะทำอะไร?”

กู้ซีจิ่วเม้มปากนิดๆ ไม่พูดจา แต่วินาทีที่จับข้อมือเขาไว้ ก็เริ่มสัมผัสชีพจรของเขาแล้ว…

ชีพจรเป็นปกติยิ่งนัก ถึงขั้นที่แข็งแกร่งยิ่งด้วย ทรงพลังกว่าตอนที่เขาเพิ่งมาถึงแดนอสุราเสียอีก!

ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่ร่างกายเขาจะมีโรคแฝงหรือว่าอ่อนแอเกินไป เกรงว่าจะทำให้เธอลำบากถึงได้ปฏิบัติต่อเธอเช่นนี้ ตัดทิ้งไปได้เลย…

เขาแข็งแกร่งยิ่ง ตัวเขาในตอนนี้อย่างน้อยก็เป็นขั้นจินเซียนขึ้นไปแล้ว กล่าวได้ว่า วรยุทธ์ของเขาในยามนี้เหนือล้ำกว่าตอนที่อยู่ดินแดนเบื้องบนเสียอีก!

แถมบนร่างเขายังคล้ายจะมีวิถียุทธ์เลือนรางอย่างหนึ่งที่เธอเองก็มองไม่ออกเช่นกันอยู่ด้วย…

ขณะที่เธอกำลังจะตรวจสอบไปตามสัญชาตญาณ เขากลับกระชากข้อมือของตนกลับไปแล้ว เอ่ยอย่างยิ้มมิเชิงยิ้ม

“แม่นางกู้ทำเช่นนี้ทำไม? ชมชอบสัมผัสเปิ่นจวินถึงเพียงนี้เชียวหรือ?”