เล่มที่ 19 ตอนที่ 1

Memorize

[ เล่ม 19 ] ตอนที่ 1 โดย ProjectZyphon

นั่นก็คือ การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่บริเวณรอบกายผม พวกศัตรูเริ่มเว้นระยะห่างผมออกไปประมาณหนึ่งแล้ว ทั่วทิศรอบด้านล้วนถูกปิดกั้นไว้หมด ผมย่างก้าวไปในทิศทางใด พวกมันก็จะถอยกรูดไปในทุกๆ ครั้ง จนกลายเป็นการเปิดทางให้กับผมไปเสียได้

เอ๋?

ชั่ววินาทีหนึ่ง ผมพลันสงสัยขึ้นมา เคลือบแคลงใจอะไรบางอย่างกับพวกศัตรูในตอนนี้ และพร้อมกันนั้น ผมยังรู้สึกอีกว่าความกระหายเลือดอย่างรุนแรงของพวกมันกำลังค่อยๆ เข้ามาทิ่มแทงลำคอของผมซ้ำไปซ้ำมา

ในตอนนั้น

พรึ่บ!

เสียงสายลมแยกออกจากกันอย่างน่าหวาดเสียวดังขึ้นมาไล่หลัง ผมจึงรีบหันกลับไปมองทันที

ฟิ้ว!

เห?

และสิ่งที่เฉียดผ่านลำคอผมไปนั้นคือ ขวานด้ามเล็กที่หมุนติ้ว ผมได้เตรียมพร้อมรับมือทุกอุปสรรคที่จะเข้ามาโจมตีทางด้านหลังไว้เรียบร้อยแล้วตั้งแต่ช่วงแรก ดังนั้นการที่จะหนีรอดปลอดภัยกลับไปได้จึงไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่ถึงอย่างนั้นผมก็แอบคิดว่าอานุภาพที่อยู่ในขวานเล่มนั้นคงไม่ใช่เล่นๆ เลย ขนลุกขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจึงรีบสอดส่อง สังเกตสถานการณ์รอบข้าง

ซึ่งในช่วงระหว่างที่เกิดเหตุการณ์เหล่านั้นเอง ศัตรูทั้งหลายก็กำลังทิ้งระยะห่างจากผมต่อไปไม่มีหยุดพัก บริเวณที่ผมยืนอยู่จึงกลายเป็นพื้นที่โล่งเป็นลานกลมๆ ไปโดยปริยาย โดยที่ผมไม่รู้ตัวเลยแม้แต่น้อย

ผมเอียงคอสงสัยอยู่ครู่หนึ่ง แต่แล้วก็ได้สลัดทิ้งความคิดเช่นนั้นออกไป หลังจากนั้นผมจึงกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสทั่วทั้งร่างกายรับรู้ได้ฉับไวมากขึ้น เตรียมพร้อมรับมืออะไรเล็กๆ น้อยๆ และลับคมดาบของตัวเองอีกครั้ง หลังจากนั้นจึงรีบบุกเข้าไปทันที ผมยังสงสัยเรื่องลูกธนูและเวทมนตร์ต่างๆ ที่ทะลุทะลวงเข้ามาน้อยกว่าที่คิดตั้งแต่เมื่อครู่นี้แล้ว แต่ผมก็ได้พาตัวเองเข้ามาอยู่ตรงใจกลางของค่ายศัตรูได้แล้ว ผมจึงไม่สามารถหยุดยั้งตัวเองในขณะนี้ได้จนกว่าจะบรรลุเป้าหมายให้สำเร็จ ผมรีบตั้งดาบในมือทั้งสองเล่ม แล้วบุกเข้าไปในทันที พร้อมกันนั้นแรงกระเพื่อมของพลังเวทก็แผลงฤทธิ์เดชของมันออกมา

เคร้ง! เคร้ง!

แรงกระเพื่อมที่มีพละกำลังสูงนี้กลับถูกม่านกำบังที่ถูกสร้างขึ้นมาหลายๆ ชั้นในชั่วพริบตาสกัดกั้นราวกับพวกมันเตรียมตัวรับมือไว้แล้วเป็นอย่างดี ผมได้แต่ขมวดคิ้วให้กับภาพเหตุการณ์เหล่านี้ และในตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกได้ว่ามีคนแปดคนกำลังบุกเข้ามาจากทั่วทุกสารทิศ

เส้นทางการเข้ามาของคนทั้งแปดคนนั้น แสดงออกอย่างชัดเจนว่ากำลังเข้ามาห้อมล้อมตัวผมไว้ ยิ่งไปกว่านั้น หากพิจารณาถึงการเคลื่อนไหวที่ค่อยๆ ย่างกรายเข้ามา จะเห็นได้ว่ามีทั้งความปราดเปรียวและความรวดเร็ว และมันกำลังประกาศศักดาให้รู้ว่าความสามารถของพวกมันไม่ใช่ธรรมดาๆ อย่างแน่นอน

พวกมันเข้ามาใกล้เพียงไม่ถึงเสี้ยววินาที และแล้วทั้งแปดคนนั้นจึงได้ปรากฏกายอยู่เบื้องหน้าของพวกศัตรูที่ได้ถอยกรูดไปคนละทิศคนละทาง

จากตำแหน่งในการยืนจะแบ่งกลุ่มเป็น สาม สาม และสอง ดูท่าจะเป็นผู้เล่นระยะประชิดไปเกือบครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งที่เหลือนั้นเหมือนกับเป็นนักฆ่า ผมเผลอสูดลมหายใจเข้าไปหนึ่งครั้ง ผมรู้สึกชาตรงปลายจมูก เพราะอากาศที่เผลอสูดเข้าไปนั้นต่างคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นความกระหายเลือดจางๆ

ดูถูกไม่ได้เลยนะเนี่ย

เกิดความวุ่นวายขึ้นมาก็จริง แต่ถึงอย่างนั้นสายตาทุกคู่ก็ล้วนจับจองมาที่ผมอยู่เช่นเดิม รอบกายผมล้วนอัดแน่นไปด้วยพวกศัตรูที่กรูกันเข้ามา ผมจำเป็นจะต้องปลุกวิชาการเคลื่อนย้ายร่างในพริบตาขึ้นมา เพื่อที่จะสามารถเคลื่อนตัวไปยังที่ต่างๆ ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด แต่ทว่าจำนวนครั้งในการที่จะใช้ทักษะนี้กลับถูกจำกัดสิทธิ์ไปแล้วเป็นที่เรียบร้อย  ดังนั้นในระหว่างที่ผมกำลังมุ่งมั่นที่จะฟันฝ่ามันไปอยู่นั่นเอง คนทั้งแปดคนก็เผยตัวออกมาโดยไม่ได้คาดคิด

ผมทราบถึงจุดประสงค์ของพวกมันได้อย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง บางทีพวกมันอาจจะปล่อยผมให้วิ่งพล่านไปในทุกๆ ที่ไปเสียก่อนครู่หนึ่ง แล้วจึงค่อยเข้ามารวบตัวผมไว้ก็เป็นได้

เตรียมกระบวนการรบอยู่หรือเปล่าล่ะเนี่ย

“แกต้องตาย… (You shall die…)”

วินาทีที่เสียงอันแสนแผ่วเบาค่อยๆ เอื้อนเอ่ยออกมานั่นเอง การประจัญหน้าที่มีมาต่อเนื่องยาวนานจึงได้พังทลายลง ชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมเปิดปากพูดออกมา ซึ่งในเวลาเดียวกันนั้นเอง เหล่าคนทั้งแปดคนก็ได้วิ่งกรูกันเข้ามาโจมตีผมในคราวเดียวกัน ผมรู้สึกได้ถึงความกระหายเลือดที่ค่อยๆ แผ่ซ่านไปตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ดังนั้นผมจึงวางท่าทีสุขุม ทำสมาธิ ปลุกวิชาการเคลื่อนย้ายร่างในพริบตาขึ้นมาอีกครั้ง

ฟิ้ว!

ผมเอี้ยวตัวหันกลับไปมองด้านหลัง แล้วจึงได้เห็นว่าในช่วงเวลาแทบจะพร้อมๆ กันนั้น พวกมันได้วิ่งเข้ามาตรงจุดที่ผมยืนอยู่เมื่อครู่นี้ ช่างเป็นความสามารถที่ใช้พิชิตฝ่ายตรงข้ามแล้วได้ผลดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

ผมหมุนกายกลับมาอีกครั้ง ชูคาลิโก อาบรักซัสขึ้นและปรับสมดุลของเกียรติยศแห่งวิคตอเรียให้เข้าที่ ความสามารถของทั้งคู่จึงผนึกกำลังกันจนเกิดแสงแห่งดาบไปทั่วทุกทิศ

เคร้ง!

หลังจากนั้นไม่นานก็เกิดรอยดาบยาวๆ ปรากฏอยู่บนแผ่นหลังของพวกมันที่ได้แต่ยืนมองด้านหลังของผม ส่วนพวกที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมนี้ มีแสงสีขาวเฉียดผ่านลำคอของพวกมันไป ผู้เล่นที่เหลืออีกสามสี่คน รวมทั้งชายผู้ที่ประกาศกร้าวว่าจะฆ่าผมให้ตายนั้นก็ส่งครวญครางแผ่วเบาออกมา แล้วจึงค่อยล้มตึงไปกองอยู่ที่พื้น

กำลังพลที่เหลืออยู่ ณ ขณะนี้มีเพียงสามคนเท่านั้น ผมเห็นดังนั้นจึงได้แต่จิ๊ปาก

เหตุผลที่แสงแห่งดาบนี้ได้แสดงฤทธิ์เดชออกมานั้นเป็นเพราะผมสามารถใส่ข้อมูลผู้เล่นของตัวเองลงไป ก่อนหน้านี้ผมได้ใส่อำนาจและสมรรถภาพในฐานะผู้ชำนาญดาบลงไปแล้ว และก็จะสามารถใส่พลังของฮวาจงลงไปด้วยได้ เพียงแต่ในตอนนี้ผมแอบรู้สึกเสียดายเล็กน้อยที่ตัวเองใจร้อน รีบปลุกพลังขึ้นมาใช้งานโดยไม่ทันคิด

คงต้องประหยัดพลังความสามารถที่เหลือไว้เสียแล้วสิ

การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อชิงความเป็นใหญ่กับคนเรียกภูติ เพราะเป้าหมายของผมคือ ต้องฆ่าพวกมัน และหนีเอาตัวรอดออกมาให้ได้เท่านั้น แน่นอนว่าจำนวนของกำลังพลฝ่ายตรงข้ามยังคงหลงเหลืออยู่บ้าง แต่อะไรก็เกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ดังนั้นแสงแห่งดาบที่ยังเหลืออยู่อีกเพียงหนึ่งครั้งนี้ ผมคิดว่าผมควรเก็บไว้เสียก่อนจะดีกว่า ผมจัดการความคิดของตัวเองได้ดังนั้น จึงบุกโจมตีอีกครั้งหนึ่ง พร้อมต้อนรับขับสู่ฝ่ายศัตรูที่กรูเข้ามาตรงหน้าอีกสามคน

“ย๊ากกก!”

ผมรวบรวมพลังกายพลังใจอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว พร้อมกับสามคนที่วิ่งเข้ามาปะทะตรงเบื้องหน้า ซึ่งพวกที่วิ่งดาหน้าเข้ามาหาผมอยู่ ณ ขณะนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นพวกระยะประชิดทั้งนั้น อาจเป็นเพราะนักฆ่าจากการต่อสู้คราวก่อนได้ตายไปหมดอย่างไม่คาดคิดคาดฝันนั่นเอง

ผมคำนวณวงโคจรที่พวกมันวิ่งเข้ามา แล้วจึงถือดาบเพื่อป้องกันเจ้าพวกนั้นอย่างเยือกเย็น ในทุกๆ วินาทีที่ดาบเกิดการกระทบกระทั่งกันนั้น ผมรู้สึกได้ว่าข้อมือของผมเริ่มหนักขึ้น แต่แล้วผมก็ได้เรียกคืนพลังเหล่านั้นกลับมา และจึงเห็นว่าพวกมันต่างก็กระเด็นออกไปทันทีทันใด การที่สามารถพลิกสถานการณ์จากหน้ามือเป็นหลังมือได้โดยไม่มีใครทันสังเกตนั้น นับว่าคุณค่าที่แท้จริงของมันได้เผยโฉมออกมาแล้ว

ผมยังอยากจะชื่นชมที่พวกมันไม่พลาดต่ออาวุธของผมเลยแม้แต่น้อย แต่แล้วแขนของพวกมันสามคนก็ยกขึ้นมาพร้อมเพรียงกัน ผมเห็นดังนั้นจึงยกดาบของตัวเองชูขึ้นฟ้าตามที่ได้คิดไว้ แล้วจึงค่อยๆ ลดมือนำมันกลับมาวางอยู่ด้านหน้าอีกครั้งหนึ่ง

และในตอนนั้น

รู้สึกว่าเหมือนมีน้ำเย็นๆ หยดลงมาบนแก้ม ผมเบิกตาโพลงสงสัยอยู่ชั่วขณะเดียวเท่านั้น แต่ผมคิดว่าจะต้องสะสางสิ่งที่จะต้องลงมือในตอนนี้เสียก่อน จึงได้ปล่อยผ่านความคิดเหล่านั้นไป พร้อมใช้ดาบฟาดฟันไปอย่างต่อเนื่อง แล้วในที่สุดผมก็เห็นพวกมันกระเด้งออกไป พอผมได้เห็นว่าลำคอของพวกมันมีเลือดไหลออกมาเป็นสายแล้ว จึงยกมือขึ้นมาถูหน้าตัวเอง

และสิ่งที่เลอะข้อมือผมอยู่ในตอนนี้ คือ น้ำ อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิด

ผมรู้สึกตกใจไปชั่วขณะหลังจากที่ได้รู้ว่ามีมวลน้ำหยดลงมา แต่แล้วผมก็ข่มอารมณ์ไว้เพียงเท่านั้น พร้อมหยิบดาบขึ้นมา แล้วจึงเริ่มกวาดตามองสถานการณ์โดยรอบอย่างค่อยเป็นค่อยไป

พอได้ลองมาคิดๆ ดูแล้ว พบว่ามีอะไรแปลกไปเล็กน้อย แม้จะบอกว่าการต่อสู้ของพวกมันทั้งแปดคนสามารถปิดฉากลงได้อย่างรวดเร็วในพริบตาก็ตาม แต่ทว่าการที่พวกศัตรูได้แต่ยืนมองอยู่เฉยๆ เช่นนั้น ก็ทำให้ผมทำใจยอมรับกับอะไรบางอย่างได้ยากอยู่ดี ยิ่งไปกว่านั้นแล้ว พวกมันกำลังยืนปิดกั้นผมทั่วทั้งสี่ทิศก็จริง แต่ทว่าต่างคนต่างก็กระเถิบถอยหลังไป เหมือนกับสละพื้นที่ให้ผมอย่างไรอย่างนั้น

ไม่รู้ทำไมสายตาที่พวกมันจ้องมองมายังผมนั้นกลับดูละเอียดอ่อนเกินคำบรรยายใดๆ ดูแล้วท่าทีเหมือนกับกำลังรอคำสั่งจากใครบางคนอยู่ ยิ่งเห็นสถานการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นจนถึงเมื่อครู่แล้ว ผมรู้สึกมั่นใจแปลกๆ อย่างบอกไม่ถูก

ไม่เพียงเท่านั้น ผมรู้สึกเหมือนปลายทางคือที่คุมขัง อีกทั้งยังรู้สึกอีกว่ามีพลังเวทจำนวนมากกำลังรอโอกาสจะแผลงฤทธิ์ออกมา ผมเห็นทั้งธนูและหน้าไม้จำนวนไม่น้อยกำลังเล็งเป้ามาที่ผม ซึ่งด้านหน้าของพวกมันเหล่านั้นก็มีพวกนักต่อสู้ประชิดกำลังยืนคุ้มกันอย่างแข็งแกร่งอยู่

เหล่าผู้เล่นหลายร้อยคนที่กำลังยืนล้อมรอบผมอยู่ ณ ขณะนี้ กำลังแสดงให้ผมเห็นถึงกระบวนการแนวรบที่ถูกปรับให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้นกว่าเมื่อครู่ก่อน ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังจะต้องเผชิญหน้ากับ ‘การระดมยิง’

หรือว่า…

ผมใช้สมาธิจดจ่ออยู่กับการให้ล่วงรู้เท่าทันพลังเวทอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ความคิดเช่นนั้นแล่นผ่านเข้ามาหัวผมไป และแล้วผมจึงสามารถเข้าใจได้ถึงกลิ่นน้ำที่เข้ามาแตะจมูกได้ในที่สุด สิ่งนั้นกำลังบอกเป็นนัยๆ ว่า ผู้ปลุกพลังแห่งน้ำกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ๆ นั่นเอง

แปลกแฮะ ยังไม่ถึงขนาดสัมผัสเลยแท้ๆ…อ๊ะ

ไม่สิ อาจจะเป็นเช่นนั้นก็ได้ พอผมได้ลองมาแยกแยะดูใหม่แล้ว จึงพบว่าตัวเองคิดผิดไปอย่างมหันต์ ผู้ปลุกพลังแห่งน้ำไม่ได้เลือกที่จะหนีแต่อย่างใด ต่อให้ผมจะวิ่งหรือไม่ เขาก็ยังยอมรับในจุดนี้ แต่ทว่าเขากลับมาด้วยตัวเองเพื่อจัดการผมโดยเฉพาะ ซึ่งนั่นก็หมายความว่า ต่างคนต่างได้เดินหน้าเข้ามา เพื่อลดช่องว่างระหว่างกันและกัน แม้จะลองเปลี่ยนมุมมอง แล้วย้อนกลับมามองใหม่อีกครั้งก็ตาม จะเห็นได้ว่าต่อให้ผมวิ่งหรือไม่วิ่ง ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกศัตรูจะหวาดกลัวแล้ววิ่งหางจุกตูดไปแต่อย่างใด

“ไฟ! (Fire!)”

บู้มมม!

ในระหว่างที่ผมกำลังสงสัยอยู่นั้นเอง ก็บังเกิดเสียงดังกึกก้องดังออกมาต่อเนื่องทันที พร้อมกับได้ยินเสียงเวทจำนวนมากมายที่ถูกตระเตรียมเอาไว้แล้วพุ่งออกมา โดยเวทที่ถูกยิงออกมานั้นได้ถูกยิงขึ้นไปบนฟากฟ้า หลังจากนั้นจึงวาดเส้นโค้งอย่างสวยงามอยู่บนนั้น แล้วจึงตกลงมาตรงจุดที่ผมยืนอยู่

ผมได้แต่สบถอยู่ภายในใจ พวกมันเจ้าเล่ห์มาก โดยการสร้างม่านกำบังขึ้นมารอบๆ บริเวณที่กำลังยืนอยู่ ในขณะที่เวทมากมายกำลังยิงพุ่งมารอบกายผมอยู่ฝ่ายเดียว

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าจะต้องลองสู้ดูสักตั้ง จึงได้กำดาบทั้งสองไว้แน่น หลังจากนั้นจึงเริ่มฟาดฟันหอกแห่งน้ำแข็งกับคมมีดแห่งวายุที่กำลังพุ่งเข้ามา

เชร้ง! เพล้ง!

เวทที่หลุดเข้ามาในวงโคจรของดาบนั้นถูกเฉือนขาดไปพอดีเป๊ะ แต่ทว่าทั้งสองสิ่งที่พุ่งเข้ามานั้นถูกฟาดฟันไปในระดับที่พอเอาตัวรอดถูไถไปได้เท่านั้น ผมรู้สึกถึงความสั่นไหวเล็กๆ บางอย่างในร่างกายเป็นระยะๆ ถึงจะบอกว่าตัวเองมีพลังต้านทานเวทพิเศษ จึงทำให้สามารถอดทนต่อกลุ่มเวทที่พลาดพลั้งเข้ามาได้นั้น แต่ถ้าหากสะสมพอกพูนเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วล่ะก็ ผมเองก็ไม่สามารถพูดออกมาได้อย่างมั่นใจเช่นกันว่าตัวเองจะต้องรับมือกับมันอย่างไร

“ไฟ! (Fire!)”

ฟิ้ว! ฟิ้ว!