ดูจากขนาดแล้วมันดูไม่ใช่มนุษย์เลย!
ตู้ม!ตู้ม!
เสียงระเบิดดังมาจากดวงตาขนาดยักษ์ของมันเสียงนั้นเหมือนกับสายฟ้าสั่นครืน
วงแสงสีอำพันส่องผ่านดวงตาทั้งสองมันเหมือนกับดวงตาของอสรพิษที่แอบออกมาจากถ้ำ วงแสงนี้มีพลังมหาศาลที่คล้ายพลังอสูรเนรมิตร
เมื่อมันปรากฏทั่วทั้งพื้นที่ลับเริ่มสั่นเบา ๆ ทุกคนข้างในเริ่มรู้สึกไม่ปลอดภัยราวกับจะถูกย้ายออกไปได้ทุกเมื่อ
ใบหน้าของกู้ไทซูลู่จือยี่ ปิงหวูชิง เทียนหยู และไป่ชานเหลียงที่มุ่งหน้าไปยังต้นตอพลังฝ่ามือเทพดับสวรรค์ถอดสีพร้อมกัน
“พลังอสูรเนรมิตร?”
แววตางดงามของลู่จือยี่ตกใจมาก
“มีขีดจำกัดที่นี่อสูรเนรมิตรหรือคนที่ใช้พลังอสูรเนรมิตรจะถูกย้ายออกไป มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
เรื่องแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในพื้นที่ลับแห่งนี้ความเป็นไปได้เดียวก็คือคนที่มาใช้สมบัติที่มีพลังเหนือกว่าอสูรเนรมิตร
พื้นที่ลับเมฆาม่วงจำกัดพลังที่มากกว่าอสูรเนรมิตรเอาไว้เพื่อปกป้องที่นี่ไม่ให้เสียหายและเพื่อความปลอดภัยของคนที่เข้ามามันถึงกับย้ายคนที่กำลังจะตายออกไปได้
พลังอสูรเนรมิตรสามารถส่งผลต่อพลังเคลื่อนย้ายได้หากจู่โจมด้วยพลังอสูรเนรมิตร ที่นี่จะไม่สามารถเคลื่อนย้ายเหยื่อออกไปได้ ต่อให้คนที่นี่ไม่รู้ พวกเขาก็ต้องเสี่ยงชีวิตแล้ว คนที่ใช้พลังอสูรเนรมิตรย่อมมีความคิดที่จะสังหารในใจ
ใครกันที่กล้าพอที่จะสังหารคนที่นี่กัน?ถ้าหากไร้ซึ่งความชิงชังกันมาก่อนก็ยากที่จะทำได้ เพราะคนที่ดูแลสำนักต่าง ๆ อยู่ภายนอกทั้งสิ้น พวกเขาคอยดูสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ถ้าหากใครเสียศิษย์ไป ผู้ที่ลงมือก็ย่อมหนีไปไม่ได้
กู้ไทซูยิ้มเบาๆ
“เรากำลังเจอคนที่น่าสนใจเข้าแล้วเป็นทางเดียวกับต้นแสงเสียด้วย”
ปิงหวูชิงเทียนหยู ไป่ชานเหลียง และคนที่เหลือเร่งความเร็วขึ้นอีก
ผู้แข็งแกร่งที่ยังเหลือรอดสัมผัสถึงพลังได้เช่นกันพวกเขามุ่งหน้าไปยังต้นกำเนิดพลัง
ในโลกภายนอกม่อเทียนฉวนกับบุรุษเมฆาม่วงเลิกคิ้วพร้อมกัน ความโกรธแค้นแสดงผ่านแววตา
“พลังระดับอสูรเนรมิตรแต่กลับใช้ในพื้นที่ลับได้ มีคนกำลังใช้โอกาสนี้เพื่อสังหาร”
เสียงของบุรุษเมฆาม่วงดังก้องเขาหรี่ตามองอย่างเยือกเย็น เขาสงสัยตำหนักโลหิตแน่นอน พวกเขาเป็นเพียงสองสำนักที่มีอสูรเนรมิตรเป็นตัวแทนดินแดนพรสวรรค์
ม่อเทียนฉวนแววตาเยือกเย็นลงทันที
“ฮื่มถ้าข้าคิดจะกำจัดศิษย์เจ้า ทำไมข้าจะต้องใช้วิธีสกปรกเช่นนี้?”
บุรุษเมฆาม่วงไตร่ตรองดูใหม่ถึงม่อเทียนฉวนจะตอบทำตัวฝืนประเพณี นางก็กล้าที่จะยอมรับในสิ่งที่นางทำ ถ้าหากนางกล่าวปฏิเสธ มันก็น่าจะไม่ใช่ฝีมือนาง
บุรุษเมฆาม่วงหรี่ตามองคนจากสำนักทั้งสิบหกเขาเตือน
“ถ้ามีใครถูกสังหารเพราะพลังนั้นไม่ว่าจะเป็นใคร ข้าจะหาคนร้ายให้เจอ และจะประหารทิ้งเสีย ทั้งร่างกายและดวงวิญญาณ!”
ทุกคนในทั้งสิบหกสำนักดูเป็นกังวลพวกเขาก็สงสัยเช่นกันว่าสำนักใดที่นำพลังอสูรเนรมิตรเข้าไปยังพื้นที่ลับ
ด้านในพื้นที่ลับแสงสีอำพันจากดวงตาขนาดยักษ์ของอสรพิษพุ่งตรงไปที่กงซุนหวูซื่อและเหมยลี่
ทั้งสองสัมผัสได้ถึงภัยถึงตายพร้อมกันกงซุนหวูซื่อแตะสร้อยคอโดยไม่รู้ตัว มันมีร่างเงาของพ่อนางผนึกเอาไว้ ถ้าหากนางทำลายสร้อย ร่างเขาของพ่อจะถูกอัญเชิญมา แต่ถ้าหากนางทำ นั่นหมายความว่านางได้พบกับอันตรายที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และจากคำสัญญากับพ่อ ทุกการผจญภัยของนางจะต้องจบลง นางจะต้องกลับไปยังผาบั่นภูติและสูญเสียอิสระอีกครั้ง ดังนั้นนางจะไม่มีทางใช้ร่างเงาของพ่อนอกจากจะสิ้นหวัง
“เหมยลี่ต้านมันพร้อมกันเถอะ!”
กงซุนหวูซื่อตะโกนนางยกหน้าไม้สวรรค์สร้างขึ้นและลั่นไกใส่พลังตรงหน้า
เหมยลี่กัดฟันเขี้ยวกัดนิ้วก้อยแก่นโลหิตสด ๆ ไหลลงมา จากนั้น พลังมหาศาลก็ได้ระเบิดออกมาจากโลหิตของนาง เงาพยัคฆ์คำรามอย่างยิ่งใหญ่ มันไม่ต่างจากราชาของสัตว์อสูรทั้งมวล
มันร้องคำรามเสียงดังลั่นกระโจนไปข้างหน้าราวกับดาวตกกรงเล็บของมันคมกริบ เกิดเส้นทมิฬตามรอยคมเล็บ มันคมจนจะฉีกมิติให้ขาดครึ่ง
ดูเหมือนว่านี่ก็เป็นพลังที่ใกล้ขีดจำกัดของพื้นที่ลับเช่นกัน!
ใบหน้าเล็กๆ ของเหมยลี่ซีดเผือด แก่นโลหิตที่ใช้ทำให้นางเหนื่อยล้า
กงซุนหวูซื่อลั่นไกยันต์ไปหลายครั้งยันต์ทับซ้อนระเบิดพลังออกมา
พลังของทั้งสองฝ่ายเกินกว่าจ้าวเทวะระดับเก้าและกำลังจะไปถึงอสูรเนรมิตร
ความวุ่นวายปั่นป่วนจากการต่อสู้ทำให้คนที่เพิ่งจะมาถึงตกตะลึง
“วิชาอัญเชิญโลหิตของเหมยลี่!นางตกอยู่ในอันตราย”
ลู่จือยี่ใจหาย
กู้ไทซูที่ใจเย็นมาจนถึงตอนนี้เลิกคิ้ว
“ทำไมลี่เอ๋อถึงเกี่ยวข้องด้วยกัน?”
พวกเขาไม่คิดว่าเหมยลี่จะเป็นฝ่ายที่ถูกพลังสูงสุดนั้นโจมตีนางเป็นยอดฝีมืออันดับสามแห่งตำหนักเมฆาม่วงและแบกรับความหวังของสำนักเอาไว้ แต่ก็มีคนกล้าลงมือกับนาง! “ไปลงนรกซะ!”
กู้ไทซูถอนหายใจแรงพื้นที่บริเวณหน้าผากเกิดรอยแยก แสงสีม่วงปกคลุมพื้นที่กว่าครึ่งของพื้นที่ลับไป หมอกควันหนาแน่นถูกแสงสีม่วงแทงทะลุ แรงโน้มถ่วงลดลงไปครึ่งหนึ่ง ระยะทางไกลหลายสิบลี้นั้นเป็นเพียงระยะทางพริบตาเดียวของผู้อยู่จุดสูงสุดของจ้าวเทวะอย่างกู้ไทซู พลังในสายโลหิตของเขาแข็งแกร่งจนปลดการจำกัดพลังของยอดเขา!
กู้ไทซูผู้เปี่ยมไปด้วยจิตสังหารก้าวเข้าไป
ขณะนั้นการต่อสู้ในบึงลั่วหลานยังคงดำเนินต่อไป การจู่โจมของกงซุนหวูซื่อและเหมยลี่มีพลังสูงสุดในขอบเขตจ้าวเทวะแล้ว ยากที่จ้าวเทวะระดับเก้าคนใดจะต้านทานได้
แต่ละการโจมตีนั้นต้านทานวงแสงสีอำพันทั้งสองไปพร้อมกัน
พยัคฆ์จากเลือดเหมยลี่พุ่งไปข้างหน้าด้วยพลังที่ปิดล้อมฟ้าดินมันเข้าต้านทานพลังของอสรพิษได้ชั่วขณะ แต่ไม่นานแสงสีอำพันก็ระเบิดออกจากตัวพยัคห์ที่แหลกเป็นเสี่ยงๆ จากอสรพิษ
ยันต์ทั้งหมดของกงซุนหวูซื่อที่ระเบิดนั้นไร้ความหมายต่อหน้าอสรพิษพลังของมันพุ่งตรงผ่านทะเลเพลิงไปยังกรงกระดูก
ทั้งสองสาวตกตะลึง
“นั่นมันวิชาอะไรกัน?”
เหมยลี่ตกตะลึงแม้แต่กู้ไทซูยังต้องระวังเมื่อนางใช้วิชาอัญเชิญวิญญาณโลหิต แต่มันก็อ่อนแอจนน่าอายเมื่ออยู่ต่อหน้าวงแสงพลังอำพัน
กงซุนหวูซื่อตัวแข็งทื่อไม่ต่างกันนางยิงยันต์ไปมากมายในคราเดียว แต่พลังที่ปลดปล่อยออกมาก็เทียบกับการโจมตีเดียวไม่ได้
เจ้าตัวใหญ่ยักษ์นั่นคืออะไรกันแน่?ทำไมถึงแข็งแกร่งนัก? พวกนางเหลือเวลาคิดไม่มาก กงซุนหวูซื่อกับเหมยลี่รู้สึกถึงความตาย
มิติเริ่มสั่นรอบตัวพวกนางพื้นที่ลับสัมผัสได้ถึงอันตรายและกำลังจะเคลื่อนย้ายพวกนางออก แต่ในตอนนั้นก็เกิดความผิดแปลก ไม่เพียงแต่พวกนางจะไม่ถูกเคลื่อนย้าย แต่ได้มีพลังประหลายกระจัดกระจายไปทั่วรอบกายพวกนาง
“บัดซบ!” novel-lucky
กงซุนหวูซื่อหยิบเอายันต์สีขาวเงินออกมาจากกระเป๋าที่เอวมันมีพลังมิติอยู่
“ยันต์เคลื่อนย้ายหรือ?”
เหมยลี่อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อสายตายันต์เคลื่อนย้ายเป็นยันต์ที่หาได้ยากที่สุดเพราะมีแค่สิบคนที่สามารถสร้างมันขึ้นมาได้ พวกเขาคือราชาทั้งเก้าเขตและจ้าวผาบั่นภูติ มีแค่สิบคนนี้เท่านั้นที่ครอบครองพลังเซียนและมีพลังสร้างยันต์เคลื่อนย้าย
ถ้าหากไม่ใช่ลูกหลานโดยตรงของพวกเขาก็ยากที่จะจินตนาการว่าคนเหล่านั้นสร้างยันต์ให้ใครใช้ป้องกันตัวและกงซุนหวูซื่อเองก็ไม่ได้มียันต์แค่ใบเดียว นางมียันต์อยู่เต็มกำมือ! กงซุนหวูซื่อใช้ยันต์เหล่านี้หนีเอาชีวิตรอดทุกการเคลื่อนย้ายนั้นมีระยะที่มากพอและแม่นยำ แต่ตอนนี้มิติกำลังปั่นป่วน การเคลื่อนย้ายของนางถูกปิดกั้น
“ข้าทำได้แค่สู้แล้ว!”
กงซุนหวูซื่อเก็บยันต์และยกมือขว้างยันต์ที่สลักรูปภูเขาออกมาภูเขานี้เหมือนจริงมาก มันแทบจะไม่ใช่ภาพเขียน
“ผาแปดทบ!”
ยันต์ระเบิดก่อเกิดเป็นหน้าผาสูงแปดพันศอกหน้าผานี้ตั้งตรง มันปกคลุมไปด้วยเมฆาขาว
เหนือหน้าผามีกระบี่หักปักอยู่หลายเล่มมันดูเหมือนกับสุสานกระบี่
“ผาบั่นภูติ!”
เหมยลี่เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง
หน้าผาตรงหน้านางดูเหมือนกับผาบั่นภูติในตำนานมันคือสมาคมใต้ดินที่ควบคุมขุมอำนาจมืดในทวีป ว่ากันว่าผาบั่นภูติสร้างมาจากศิลาพิเศษที่แข็งเกินกว่าจะวัด มันคือหน้าผาที่ไม่มีสิ่งใดทำลายได้
ภาพเงาผาบั่นภูติแปดเงาทับซ้อนกันเป็นชั้นเกราะแปดชั้นแต่ละชั้นเทียบเท่ากับพลังป้องกันของจ้าวเทวะระดับเก้า
ตู้ม!
พลังทั้งสองทะลวงหน้าผาแรกราวกับเศษกระดาษเช่นเดียวกับผาชั้นที่สองและผาต่อไป ความเร็วของวงแสงอำพันช้าลงเมื่อมาถึงผาที่เจ็ด แต่มันก็แค่ช้าลงไปหนึ่งในสิบ ผาที่แบดสั่นสะเทือนอย่างแรง เงาผาของผาแปดทบนี้มีพลังป้องกันของจ้าวเทวะระดับเก้าถึงแปดพลัง แม้กระนั้นก็ถูกพลังวงแสงอำพันทำลายอย่างง่ายดาย
ไม่นานกรงกระดูกขาวก็พบชะตาแบบเดียวกัน เสียงแตกละเอียดของกระดูกเกิดขึ้นจากวงแสงอำพัน มันพุ่งตรงไปยังสองคนด้านใน
กงซุนหวูซื่อสูดหายใจเข้าลึกพลังของวงแสงอำพันเกินกว่าที่นางคาดคิด! นางกังวลใจมาก ตอนนี้นางมิอาจป้องกันตัวได้ทันเวลา นางทำได้แค่บีบสร้อยให้แตกเพื่อเรียกร่างเงาของพ่อออกมา แต่นั่นก็หมายความว่านางต้องทิ้งอิสระของตัวเองไป
“ตาข้าบ้าง!”
เหมยลี่ตะโกนและกัดปลายดัชนีอีกครั้งหยดโลหิตพุ่งออกมา โลหิตได้กลายเป็นเต่าวิเศษที่แผ่บรรยากาศเก่าแก่
“ตามข้ามา!”
เหมยลี่คว้าตัวกงซุนหวูซื่อและมุดเข้าไปในร่างเต่าวิเศษ
ตู้ม!
วงแสงอำพันทั้งสองพุ่งเข้าใส่เงาเต่าวิเศษสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงแต่มันก็สามารถป้องกันวงแสงอำพันได้สำเร็จ
กงซุนหวูซื่อโล่งใจและดีใจมาก
“เจ้านี่เยี่ยมไปเลย…”
นางเริ่มพูดแต่นางก็รู้สึกว่าแขนหนักขึ้น เหมยลี่หลับตาและหลับไปเพราะความเหนื่อยล้า นางล้มลงเพราะใช้โลหิตถึงสองครั้ง
กงซุนหวูซื่อก็ไม่ได้ดีไปกว่ากันพลังชีวิตและพลังกายของนางลดลงไปมากหลังจากลั่นไกหน้าไม้สวรรค์สร้างอย่างต่อเนื่อง ถึงจะเป็นการต่อสู้สั้น ๆ ก็ทำให้นางเหนื่อยอ่อน
นางเศร้าใจเมื่อพบว่าเต่าวิเศษรับการโจมตีไม่ได้ทั้งหมดวงแสงอำพันยังคงเจาะทะลุเต่าวิเศษมาต่อไปอีกเล็กน้อย จากนั้นเต่าวิเศษจึงแตกสลาย วงแสงอำพันซัดใส่ทั้งสองราวกับสายฟ้า
กงซุนหวูซื่อกัดฟันนางอุ้มเหมยลี่ด้วยมือข้างเดียวและใช้มืออีกข้างดิ้นรน
“ผนึกจักรวาล!”
นางมีโอกาสสวนในตอนที่เต่าวิเศษรับพลังรอยผนึกสีครามถูกขว้างออกไป ผนึกนี้หมุนวนในอากาศ พลังมิติปะทุออกมาจากมัน มันดูดทุกสิ่งใกล้ ๆ เข้าไปภายใน
ด้านในผนึกมีมิติที่มนุษย์สร้างขึ้นเมื่อถูกดึงเข้าไป มันจะเหมือนกับถูกยึดอยู่กับมิติอิสระที่ไม่สามารถออกมาได้ และก็เป็นเช่นเดียวกัน สมบัติประเภทนี้มีแต่เซียนที่สร้างขึ้นได้ วงแสงอำพันทั้งสองถูกดูดกลืนเข้าไป
แต่ก่อนที่กงซุนหวูซื่อจะได้ยินดีกับชัยชนะผนึกก็เกิดสั่นสะเทือน ผิวของมันส่องแสง
“เป็นไปได้ยังไง?”
กงซุนหวูซื่อตกใจลางร้ายคืบคลานเข้ามาอีกครั้ง นางคว้าตัวเหมยลี่และรีบถอยอย่างรวดเร็ว แต่มันก็สายไปแล้วที่จะหนี
ผนึกของนางขยายขนาดอย่างรวดเร็วมันขยายจากขนาดเท่ากำปั้นเป็นเท่ากะโหลก
ปั้ง!
เสียงระเบิดราวสายฟ้าลั่นสั่นไปทั่วพื้นที่ลับมันดังไปยังทุกทิศทาง ผนึกจักรวาลที่แตกระเบิดทำให้เกิดคลื่นวายุอันน่ากลัว
กงซุนหวูซื่อกับเหมยลี่รับแรงกระแทกอย่างหนักทั้งสองกระเด็นไปราวกับเศษผง เหมยลี่ถูกแรงดึงออกจากอ้อมแขนของกงวุนหวูซื่อและหายไปท่ามกลางซากระเบิดที่ฟุ้งกระจาย
กงวุนหวูซื่อกระอักเลือดออกมาร่างกายบอบบางของนางกระเด็นไปรอบ ๆ ราวกับก้อนหิน
ที่แย่กว่าวงแสงอำพันนั้นยังคงอยู่ วงแสงแต่ละวงพุ่งตรงไปยังพวกนางแต่ละคน วงที่เล็งกงซุนหวูซื่อนั้นเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ มันกำลังจะถึงตัวนางที่บาดเจ็บอยู่แล้ว นางแทบจะไม่มีเวลากำสร้อยหยกที่คอให้แตกก่อนจะกระเด็น
ชีวิตในอดีตแล่นผ่านสมองเงามืดแห่งความตายปกคลุมหัวใจ
“ข้าคงจบแค่นี้สินะ…”
กงซุนหวูซื่อพึมพำเมื่อวงแสงอำพันเข้าสู่ระยะสายตานางรู้ว่านี่คือแสงสีสุดท้ายในชีวิตที่นางจะมองเห็น แต่เมื่อนางกำลังจะหลับตายอมรับชะตากรรม แสงสีม่วงก็ได้เข้าปกคลุมวงแสงอำพัน กงซุนหวูซื่อรู้สึกราวกับว่ามิติเวลาได้หยุดนิ่งพอนางตอบสนอง เอวนางก็ถูกมือใหญ่คว้าเอาไว้ มือนั้นมีความอบอุ่นจนร้อน กงซุนหวูซื่อเงยหน้ามองผู้ช่วยชีวิตและเบิกตากว้าง นางพบเส้นผมขาวราวหิมะ หน้ากากสีเงิน ดวงตาลึกล้ำที่ราวกับมีจักรวาลซ่อนอยู่ข้างใน
นางที่ไม่คิดว่าจะรอดพ้นความตายร้องไห้ออกมาน้ำตานั้นร้อนฉ่า
“พี่ซือหยูพี่มาช่วยช้า”
กงซุนหวูซื่อสะอื้นมันคือน้ำตาปิติ
นางคิดว่าชีวิตนางจะจบลงตรงนั้นแล้วแต่สุดท้ายซือหยูก็ได้ดึงนางขึ้นมาจากประตูแห่งความตาย ความรู้สึกที่เหมือนถูกชุบชีวิตนี้มิอาจอธิบายได้ด้วยคำพูด
นางจ้องซือหยูหัวใจนางเต้นแรง นางมิอาจปิดบังความรู้สึกในใจได้อีก นางเงยหน้าไปที่คอของซือหยู ฝังหัวลงในอ้อมแขนและมองออกมาข้างนอกราวกับเด็กที่ถูกรังแก
ซือหยูแตะหลังจากเบาๆ เขาจ้องมองวงแสงอำพันไม่วางตา พลังนี้อันตรายมาก และเขายังสัมผัสกลิ่นอายที่อันตรายยิ่งกว่าในระแวกนี้!
เขาหันไปมองเขาพบชายหนุ่มรูปงามที่แบกเหมยลี่ ข้าง ๆ เขามีหญิงสาวผู้งดงาม
ซือหยูมองบุรุษและเบิกตากว้าง
“กู้ไทซู!”
นามที่ฝังแน่นในใจของเขาได้กลั่นออกมาเป็นคำพูด!