บทที่ 59 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 59 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (1)

เช้าตรู่ หมอกควันในอากาศค่อยๆ จางหายไป ทัศนวิสัยยังคงพร่ามัวเล็กน้อย อี้เป่ยซีบิดขี้เกียจอยู่บนเตียง รู้สึกพึงพอใจเกินบรรยาย เธอหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาดูเวลา แล้วลุกขึ้นมาอย่างร่าเริง

เวลานี้พี่เป่ยเฉินน่าจะยังไม่ตื่นล่ะมั้ง เธอแปรงฟันพลางครุ่นคิด ถ้างั้นเช้านี้เธอทำอาหารเช้าก็แล้วกัน ความคิดนี้ทำให้เธอตื่นเต้นขึ้นมา หลังจากเธอล้างหน้าแปรงฟันอย่างรวดเร็วแล้วก็ย่องลงมาชั้นล่าง ลงมือเสียงดังอยู่ในห้องครัว

‘อืม ปกติพี่เป่ยเฉินชอบกินอะไรนะ?’ อี้เป่ยซีเอียงหัว ไม่ค่อยมั่นใจ หรือว่าจะทำเหมือนที่ทำประจำ?

ไม่ดีๆ ไม่มีความแปลกใหม่ อีกอย่างสิ่งของที่เหมือนกัน เมื่อเทียบแล้วก็จะทำให้รู้สึกว่าฝีมือของเธอแย่แค่ไหน

ถ้าอย่างนั้นตอนเช้าจะทำอะไรได้บ้าง? ยังไงต้มโจ๊กแล้วก็ทำกับข้าวสองสามอย่างแล้วกัน เมื่อตัดสินใจแล้วอี้เป่ยซีก็ดีดนิ้ว ลงมือทำทันที

ทันทีที่อี้เป่ยเฉินเปิดประตูห้องนอนก็ได้ยินเสียงในห้องครัว เขาก้าวเท้าเดินไป มุมปากยกยิ้ม พิงขอบประตูมองดูร่างที่กำลังวุ่นอยู่ภายใต้แสงไฟ กลิ่นหอมหวานลอยอวลอยู่ในอากาศ

อี้เป่ยซีหันกลับมาก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาอมยิ้มของอี้เป่ยเฉิน ทั้งสองคนสบตากัน เขายื่นมือกอดคนตรงหน้าไว้ในอ้อมแขน

“พี่เป่ยเฉิน”

อี้เป่ยเฉินไม่ได้พูดอะไร กำลังตั้งใจสัมผัสอุณหภูมิของคนในอ้อมแขน รู้สึกถึงการเต้นของหัวใจตัวเอง

“เดี๋ยวก็เสร็จแล้วน่า ครั้งนี้จะให้พี่ลองชิมฝีมือของฉัน”

“เสี่ยวซี”

“หืม?”

“พี่ตั้งตารอเลย” อี้เป่ยเฉินคลายอ้อมกอดช้าๆ เขายิ้มแล้วจูบหน้าผากของเด็กสาว

ราวกับมีฟองสบู่หลากหลายสีสันผุดอยู่ในอากาศ ข้างหูคือเสียงลมเย็นและเสียงฮัมเพลง ใต้ฝ่าเท้าเต็มไปด้วยความรู้สึกเหมือนหญ้าต้นเล็กๆ งอกขึ้นมาแผ่วเบา อี้เป่ยซีรู้สึกว่าใบหน้าของเธอร้อนแดง เธอรีบผลักเขาออกไป “เอาละ ระหว่างที่เชฟกำลังเข้าครัวห้ามรบกวนล่ะ จะปล่อยให้พี่เอาสูตรของฉันไปไม่ได้”

เขาพยักหน้า “สูตรของเชฟไม่ใช่พี่เป็นคนสอนหรอกเหรอ?”

“ไม่สนๆ บอกว่าไม่ได้ก็ไม่ได้” อี้เป่ยซีหันหลังกลับงอนๆ ทำงานในมือต่อไป เขามองอยู่ด้านหลังเธอครู่หนึ่ง จึงค่อยออกจากห้องครัว แล้วนั่งลงบนที่นั่งอย่างเงียบๆ

หลังจากได้ยินเสียงก๊องๆ แก๊งๆ อยู่ครู่หนึ่ง อี้เป่ยซีจึงยกอาหารที่ตัวเองตั้งใจทำออกมาอย่างระมัดระวัง เธอนั่งลงข้างๆ อี้เป่ยเฉิน มองเขากินคำแรกด้วยความตื่นเต้นเล็กน้อย

“เป็นไงบ้าง เป็นไงบ้าง”

“อืม พัฒนากว่าครั้งก่อนเยอะมาก”

ดวงตาของอี้เป่ยซีเป็นประกาย เธอชิมไปหนึ่งคำ

“หืม พี่หลอกกันนี่นา” เธอรีบดื่มน้ำอึกใหญ่ทันที ทั้งมันทั้งเค็ม ให้ตายเถอะ

อี้เป่ยเฉินยื่นมือเช็ดคราบน้ำที่มุมปากให้เธอ “ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะแล้วนะ”

“เมื่อก่อนฉันทำได้แย่ขนาดนี้เลยเหรอ?”

“เมื่อก่อนขนาดเกลือกับน้ำตาลยังแยกไม่ออก ครั้งนี้ดีกว่าเดิมเยอะแล้วเสี่ยวซี ค่อยเป็นค่อยไป ไม่ต้องรีบร้อน”

“ต่อไปฉันจะไม่เข้าครัวอีกแล้ว” เธอวางแก้วน้ำลงบนโต๊ะอย่างแรง เหมือนกับกำลังกล่าวสาบาน “ทำไมพี่เป่ยเฉินถึงทำอร่อยขนาดนั้นแต่ฉันทำไม่ได้ ไม่ใช่แค่ใส่น้ำมันใส่เครื่องปรุงรสเหรอ ทำไมถึงต่างกันขนาดนี้”

“เป็นคำถามที่ดี ถ้าอย่างนั้นต่อไปเธอก็ดูสิว่าพี่ทำยังไง?”

อี้เป่ยซีครุ่นคิดครู่หนึ่ง ก่อนส่ายหน้า “เมื่อกี้ฉันเพิ่งพูดไปเองว่าจะไม่เข้าห้องครัวอีกแล้ว”

“เสี่ยวซี ต่อไปคิดจะใช้เหตุผลนี้หนีงานบ้านใช่หรือเปล่า” อี้เป่ยเฉินเขี่ยจมูกเธอ

“แหะๆ ไม่หรอกๆ งั้นฉันคืนคำ ต่อไปงานหนักงานหยาบก็ฝากไว้ที่ฉัน ส่วนงานฝีมือพวกนี้ก็ยกให้พี่แล้วกัน”

“เธอนี่นะ” อี้เป่ยเฉินลูบผมของเธอ อี้เป่ยซีพิงอยู่ในอ้อมอกเขาอย่างว่าง่าย

“พี่เป่ยเฉิน พวกเราออกไปกินข้างนอกกันเถอะ”

“ตอนนี้ก็คงทำได้แค่นี้แหละ พี่จะขึ้นไปเอาของ เธอเก็บของพวกนี้ดีไหม?”

“อืม”

หลังจากเก็บของเสร็จแล้ว อี้เป่ยซีแบกกระเป๋าหนังสือใบน้อยของตัวเองนั่งรออี้เป่ยเฉินอยู่บนโซฟาอย่างว่าง่าย เธอเหลือบมองหนังสือพิมพ์ กระดาษพิมพ์สีขาวดำถูกยึดครองด้วยรูปถ่ายขนาดใหญ่ คิดว่าคงเป็นข่าวใหญ่โตอะไรสักอย่าง เธอพิงพนักโซฟา แสงอาทิตย์สาดส่องอยู่บนใบหน้า หลับตาลงด้วยความอิ่มอกอิ่มใจ เหมือนกับแมวสีขาวที่นอนกรนอยู่ข้างเก้าอี้โยก

“เสี่ยวซี พวกเราไปได้แล้ว” อี้เป่ยเฉินจัดแจงเสื้อผ้าของตัวเอง จูงมือน้อยๆ ของเธอออกไป

พอสั่งอาหารเสร็จแล้ว อี้เป่ยซีรู้สึกว่าไม่สบายท้อง จึงลุกขึ้นเดินไปห้องน้ำ ขณะที่กำลังจะออกจากประตูกลับได้ยินเสียงแปลกๆ

“เอาใจผมแล้ว คุณไม่มีอะไรเลย คุณคิดว่าเขาเล่นกับคุณแล้วจะรับผิดชอบอะไรงั้นเหรอ อย่าฝันไปหน่อยเลย”

“ขอโทษที เชิญคุณหลบไปซะ ไม่งั้นฉันจะร้องให้คนช่วย”

ฉินรั่วเข่อ? อี้เป่ยซีกลอกตา เธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

“แหม ในโลกนี้มันหายากจริงๆ คุณหนูที่เลือกแขกได้ด้วย…”

“คุณอย่า…อือ…” จากนั้นเสียงเสื้อผ้าฉีกขาดก็ดังขึ้นในห้องน้ำที่เงียบสงบ อี้เป่ยซีทนไม่ไหว ผลักประตูพรวดออกไป

“ใครให้แกมาขัดความสุขฉัน” ผู้ชายคนนั้นหันมา ใบหน้าแดงก่ำ สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยว หลังจากเห็นคนที่อยู่ตรงหน้าสีหน้าก็อ่อนลง “อี้เป่ยซี? ทำไม อยากเป็นลูกมือพี่ชายวีรบุรุษของเธอช่วยสาวงามรึไง? อย่ามาขัดจังหวะเรื่องของฉัน ไม่งั้นฉันจะจัดการเธอไปด้วยกันเลย ไปให้พ้น”

อี้เป่ยซีเอียงหัวชำเลืองมอง คว้าไม้ที่อยู่บนพื้นตีไปที่หัวของเขาทันที จากนั้นดึงคนคนนั้นขึ้นมาแล้ววิ่งไปที่ห้องกินข้าวของตัวเอง

“พี่เป่ยเฉิน ที่ห้องน้ำ มี…” เธอหายใจไม่ทั่วท้อง อี้เป่ยเฉินเห็นสภาพของฉินรั่วเข่อก็คิ้วขมวดกันแน่น ดึงอี้เป่ยซีเข้ามาอย่างเป็นกังวล

“เธอไม่เป็นไรนะ”

“ฉันไม่เป็นไร แค่เจอคนไม่ดีน่ะ แต่ว่าเพื่อนนักศึกษาของฉันไม่ค่อยดีเท่าไร”

อี้เป่ยเฉินเหลือบมอง ตอนนี้เสื้อผ้าของฉินรั่วเข่อถูกดึงออกไปแล้ว เศษผ้าที่ขาดวิ่นปกคลุมร่างกายของเธอ ผิวที่ขาวผ่องยังมีร่องรอยแดงช้ำ เธอก้มหน้าอย่างอึดอัดใจ ยืนอยู่ข้างประตูไม่พูดไม่จา

อี้เป่ยซีคิดครู่หนึ่ง จึงเอาเสื้อนอกของตัวเองคลุมร่างกายของฉินรั่วเข่อไว้ ปากยังคงพูดไม่หยุด “พี่เป่ยเฉิน เขาจะต้องได้รับโทษอะไรนะ มันเกินไปแล้วจริงๆ”

“อืม เขาได้ทำอะไรเธอหรือเปล่า”

เธอรีบโบกมือ “ไม่มีๆ เขาก็แค่ขู่ฉันสองสามคำ เธอไม่เป็นไรนะ?”

ฉินรั่วเข่อเงยหน้า กัดริมฝีปากแน่น ตอนนี้น้ำตาเอ่อล้นเบ้าตาแล้ว เธอส่ายหัวกับอี้เป่ยซี เอ่ยน้ำเสียงอ่อนแรง “ฉันไม่เป็นไร เรื่องนี้อย่าเอาเรื่องกันอีกได้ไหม เขาเป็นคนบ้านเดียวกับฉัน ปกติก็ดูแลฉันดีมาก ฉัน…ให้มันแล้วไปแล้วได้หรือเปล่า”

“ไม่ได้ๆ คนประเภทนี้ถ้าไม่ได้รับบทลงโทษที่สมควรได้รับ ฉันทนไม่ได้แน่ เขาทำแบบนี้กับเธอ ทำไมต้องพูดแทนเขาด้วย ใครจะรู้ว่าเมื่อก่อนที่ดีกับเธอเป็นเพราะมีเหตุจูงใจอย่างอีกอื่นหรือเปล่า” อี้เป่ยซีหันไปมองอี้เป่ยเฉิน “พี่เป่ยเฉิน ฉันไม่อยากกินข้าวที่นี่แล้ว”

“ได้” อี้เป่ยเฉินตบๆ ไหล่ของเธอ ถอดเสื้อนอกของตัวเองออก “เดี๋ยวจะหนาวเอานะ”

อี้เป่ยซีคิดพลางพยักหน้า แล้วมองฉินรั่วเข่ออย่างเป็นห่วง อีกฝ่ายสวมเสื้อคลุมของตัวเธอเอง สองมือกำแน่นอีกทั้งยังสั่นเล็กน้อย ‘คงจะทรมานมากสินะ’ อี้เป่ยซีคิดในใจ แววตามัวหมอง

……………………..