นานพอสมควรแล้วที่ชานกับพระราชาไม่ได้พบปะหารือกันสองคน ครั้งสุดท้ายที่ทำเช่นนั้นก็คือในห้องทำงาน ตอนนั้นชานคือชายหนุ่มที่เผยให้เห็นไหวพริบและความกล้าหาญบนใบหน้าที่หยาบกร้านจากการเดินทางอันยาวนาน ในระหว่างนั้นมันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ สาเหตุของช่องว่างที่ไหลวนระหว่างทั้งสองคงจะไม่ใช่เพียงแค่ชุดสีน้ำเงินเข้มขององค์รัชทายาทที่ดูแปลกตาไป

 

 

“มีอะไรจะบอกอย่างนั้นหรือ”

 

 

ชานรู้สึกได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่สดใสเอาเสียเลยของพระราชาผู้เป็นบิดา ชานหลบตามองต่ำสักพักก็เงยหน้าขึ้นมาจ้องพระราชาตรงๆ อีกครั้งราวกับตัดสินใจได้แล้ว

 

 

“เรื่องเกี่ยวกับพิธีอภิเษกสมรสของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“พิธีอภิเษกสมรส?”

 

 

ปลายเสียงสูงขึ้นเล็กน้อยเพราะเรื่องที่ไม่ได้คาดคิด คนที่รำคาญใจทุกครั้งที่เรื่องอภิเษกสมรสถูกพูดขึ้นมาและหลบเลี่ยงไปทางโน้นทีทางนี้ทีอย่างชาน ทำไมถึงได้พูดเรื่องนี้ขึ้นมาทันทีที่ได้ขึ้นเป็นองค์รัชทายาท

 

 

“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท เพราะว่าตอนนี้กระหม่อมได้รับหน้าที่อันสำคัญยิ่งที่จะต้องสืบเชื้อสายราชวงศ์ต่อไป จึงเห็นควรที่จะต้องรับหญิงสาวที่เหมาะสมเข้ามาเป็นพระชายาเพื่อให้กำเนิดทายาทของราชวงศ์ในเร็ววันพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

“ที่เจ้าพูดมาก็ถูก แต่อย่างที่เจ้ารู้ ช่วงนี้พระวรกายของพระพันปีไม่ค่อยสู้ดีนัก เราไม่สามารถจัดพิธีการคัดเลือกคู่อภิเษกสมรสโดยที่ขาดผู้อาวุโสที่สุดของพระราชวงศ์ได้หรอกนะ”

 

 

“กระหม่อมมีสตรีในใจอยู่แล้วพ่ะย่ะค่ะ เราสามารถให้นางเข้ามาเป็นพระชายาได้โดยไม่ต้องมีพิธีการคัดเลือกคู่อภิเษกให้วุ่นวายมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

สีหน้าของชานที่พูดเช่นนั้นไม่มีความสดใสเลยแม้แต่น้อย พระราชาพยายามข่มความไม่สบายใจที่กำลังไต่ขึ้นมาอย่างช้าๆ จากปลายหน้าอกลงไป แทนที่จะเบาใจกับเรื่องที่จะรับพระชายาเข้ามา

 

 

“ถ้าหากวงศ์ตระกูลมีความเหมาะสมและมีบุคลิกสง่างาม…ก็ไม่เป็นการผิดธรรมเนียมปฏิบัติหรอก เป็นบุตรีของบ้านไหนล่ะ”

 

 

“บุตรีของท่านมหาเสนาบดีซอดู ซอรยูฮาพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

แม้จะพูดด้วยความสุขุม แต่ก็พอที่จะทำให้ความโกรธเกรี้ยวของพระราชาผู้เป็นบิดาเดือดพล่านขึ้นมาได้ กระดาษม้วนมากมายที่วางกองกันเป็นภูเขากระจัดกระจายไปทั่ว บ้างก็กระแทกเข้ากับใบหน้าและหัวไหล่ของชาน บ้างก็กลิ้งตกลงไปที่พื้น ทว่าสีหน้าของชานก็ยังคงไม่มีการเปลี่ยนแปลง

 

 

“เจ้าบ้า กล้าดีอย่างไรถึงอยากได้ภรรยาของน้องชาย เจ้าใจร้ายใจดำทำอย่างนั้นได้เช่นไร!”

 

 

“กระหม่อมเองพ่ะย่ะค่ะ คนที่ใส่ยาพิษลงในเหล้า”

 

 

กระดาษม้วนที่บินออกมาไม่หยุดหย่อนหยุดลงหลังจากอันสุดท้ายร่วงหล่นดังตุ้บ

 

 

“เจ้าว่าอย่างไรนะ”

 

 

“กระหม่อมกินยาพิษไปทีละนิดเพื่อให้ดื้อยา จากนั้นจึงใส่ยาพิษลงไปในขวดเหล้าพ่ะย่ะค่ะ เพื่อที่จะได้ตัวพระชายาในองค์รัชทายาท ไม่ใช่สิ พระชายาในองค์ชายมาพ่ะย่ะค่ะ หากไม่ได้ตัวนาง กระหม่อมก็ไม่มีความจำเป็นที่จะมาอยู่ในตำแหน่งนี้พ่ะย่ะค่ะ ถ้าเช่นนั้นโปรดทรงปลดหม่อมฉันและตัดสินโทษตามกฎหมายได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

นี่เป็นการขู่อย่างชัดเจน เพราะชานรู้อยู่แล้วว่าในบรรดาองค์ชายทั้งสามพระองค์ มีเพียงตนผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถสืบทอดราชบัลลังก์ต่อไปได้ จึงนำชีวิตมาเป็นหลักประกันในการข่มขู่ ภาพของชานข่มขู่พระราชาผู้เป็นบิดาอย่างห้าวหาญโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแม้เพียงสักนิด ซ้อนทับกับฮอนที่เปลี่ยนไปเป็นคนหัวแข็งและขอให้สามัญชนเข้ามาเป็นนางสนมเมื่อหลายปีก่อน ถึงแม้จะสายเลือดเดียวกันต่างกันแค่แม่ผู้ให้กำเนิด แต่ทำไมถึงได้ต่างกันราวฟ้ากับดินแบบนี้ ความเสียใจปรากฏขึ้นในดวงตาของพระราชา แทนความแก่ชรา

 

 

“รู้หรือไม่ว่ารยูฮาเป็นเด็กแบบไหนสำหรับข้า”

 

 

นั่นอ่อนโยนเกินไปสำหรับชื่อที่เรียกลูกสะใภ้ ชานเกิดความสงสัยเล็กๆ ขึ้น แต่ก็ลบมันทิ้งไปจนเกลี้ยงในทันที เพราะสิ่งที่สำคัญในตอนนี้ไม่ใช่คำเรียกที่พระราชาใช้เรียกรยูฮา

 

 

“…จะพูดอย่างไรดี แต่เรื่องนั้นเป็นไปไม่ได้ รับภรรยาของน้องชายที่ยังมีชีวิตอยู่เข้ามาเป็นพระชายาเนี่ยนะ เจ้าอยากจะเปลี่ยนข้าราชบริพารและราษฎรทั้งหมดให้กลายเป็นปรปักษ์อย่างนั้นหรือ”

 

 

ชานลงมาจานเก้าอี้แล้วหมอบกราบลงติดพื้นที่เย็นเฉียบ แผ่นหลังกว้างหมอบติดกับพื้น นั่นฉีกหัวใจของบิดาออกเป็นชิ้นๆ พระราชาที่ไม่กล้ามองเขาเอามือก่ายหน้าผากและเบนสายตาไปทางอื่น

 

 

“ได้โปรดช่วยเหลือกระหม่อมสักครั้งด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อ กระหม่อมจะเป็นกษัตริย์ผู้มีเมตตาและปรีชาสามารถต่อจากเสด็จพ่อโดยไม่ออกนอกลู่นอกทางแม้แต่นิดเดียว เพื่อฟื้นฟูประเทศชาติพ่ะย่ะค่ะ”

 

 

อีทัน เขาคือบิดาของบุตรชายทั้งสามคน ทั้งยังเป็นบิดาของเหล่าราษฎรจำนวนมากอีกด้วย น้ำหนักของราชบัลลังก์ที่เขานั่งอยู่นั้น ในบางครั้งก็กดทับลงมาจนบดละเอียดเจ้าของอย่างแรง ดั่งเช่นตอนนี้ที่จะต้องผลักบุตรชายคนสุดท้องที่รักสุดหัวใจกับบุตรีของหญิงผู้เป็นที่รักลึกลงไปในขุมนรก เพื่อกษัตริย์แห่งรัชกาลถัดไป

 

 

“ไปซะ นับตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปเจ้าไม่ใช่บุตรชายของข้าอีก การมีอยู่ของเจ้าจะหลงเหลือเพียงแค่ในฐานะองค์รัชทายาทของประเทศเท่านั้น”

 

 

ความสัมพันธ์ของพ่อกับลูกชายขาดสะบั้นด้วยเสียงของพระราชาที่คมดั่งมีด ชานรู้ว่าตนเองได้สูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างที่ที่เคยพึ่งพาอาศัยไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นก็ไม่เป็นไร ขอเพียงแค่ได้ตัวหญิงสาวที่หมายจะครอบครองอย่างบ้าคลั่งเป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา

 

 

“กระหม่อมจะจดจำไว้พ่ะย่ะค่ะ”

 

 

ชานลุกขึ้นจากพื้น ก่อนจะค่อยๆ โค้งตัวลงอย่างมีมารยาท ฝีเท้าของเขาที่มุ่งตรงไปยังห้องบรรทมทันทีที่ออกมาจากห้องทำงานเต็มไปด้วยความรีบเร่ง ไม่ได้มีอะไรเร่งด่วนและไม่ได้มีอะไรไล่ตามมา แต่สุดท้ายเขาก็รีบวิ่งไปเปิดประตูห้องบรรทม

 

 

“เหล้า! เอาเหล้ามาให้ข้า!”

 

 

เหล่าข้าราชบริพารพากันตื่นตระหนกตกใจ ก่อนจะรีบนำเหล้ามาถวายอย่างรีบร้อน ชานฉวยมันมาไว้ก่อนที่จะถูกวางลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงกระดกเข้าปากดังอึกๆ ไม่ว่าจะดื่มเยอะเท่าไหร่ ความกระหายน้ำก็ยังคงไม่หายไป ใครบางคนโผล่เข้ามาในหัวของชานที่กำลังนั่งเหม่อบนเก้าอี้มองดูข้าราชบริพารที่หวาดกลัวกำลังวางกับแกล้ม

 

 

“มินอา ไปพามินอามา”

 

 

ตอนนี้เขาทั้งมีความสุขและดีใจ รวมถึงโศกเศร้าและเจ็บปวดไปพร้อมๆ กัน คนที่สามารถรับอารมณ์อันน่ากลัวนี้ได้ก็มีเพียงแค่คนเดียวเท่านั้น จากนั้นไม่นาน มินอาก็เข้ามาในห้อง ซึ่งในตอนนั้นเหล้าสองขวดได้หมดลงไปแล้ว ส่วนขวดที่สามก็เหลือแค่ก้นขวด

 

 

ติ๋ง เหล้าหยดสุดท้ายร่วงหล่นลงในแก้วเหล้าพร้อมกับเกิดเป็นระลอกคลื่นเบาๆ ชานมองดูสิ่งนั้นด้วยดวงตาที่แดงก่ำแล้วจึงเปิดขวดใหม่ มินอาเข้ามาหยุดมือของเขาที่ยกขวดเหล้าขึ้นมาและเอียงไปทางแก้วเหล้า

 

 

“ทรงดื่มเยอะไปแล้วเพคะ”

 

 

“เจ้านี่ยุ่มย่ามเสียจริง”

 

 

“หากทรงดื่มอีก หม่อมฉันก็คงต้องขอตัวก่อนเพคะ”

 

 

“ยา”

 

 

มินอาที่กำลังก้าวเท้าออกไปข้างนอกหันกลับมาอีกครั้งหลังจากได้ยินคำนั้น ชานจึงหัวเราะคิกคัก

 

 

“เจ้านี่ช่างอวดดีและทำตามใจชอบเสมอเลยนะ เหมือนกับเจ้านายของเจ้า น่าตลกเสียจริง ถ้ารู้ก่อนหน้านี้ว่าจะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบ หลังจากทำให้พวกเจ้าตกอยู่ในกำมือได้ง่ายๆ แบบนี้ก็คงจะดี”

 

 

มือที่ล้วงเข้าไปลึกในแขนเสื้อออกมาพร้อมกับถุงขนาดเล็กจิ๋วอันหนึ่ง ข้อมือของมินอาที่ยื่นออกไปเพื่อจับถุงนั้นถูกชานรั้งเอาไว้ หลังจากนั้นริมฝีปากก็บรรจบกัน ในระหว่างที่ลมหายใจของกันและกันกำลังพันกันยุ่งเหยิงอยู่นั้น มือซ้ายของมินอาก็ขยับอย่างว่องไวไปทางนู้นทางนี้เพื่อจับถุงที่บรรจุยาเอาไว้

 

 

“หากทรงคิดที่จะล้อหม่อมฉันเล่น โปรดหยุดทำเช่นนั้นด้วยเพคะ”

 

 

เสียงของมินอาที่กำลังพูดโดยไม่ผละริมฝีปากออกทำให้ชานหัวเราะออกมาอีกครั้ง ชานเม้มริมฝีปากล่างปิดท้ายก่อนจะปล่อยมือ จากนั้นเดินโซเซตรงไปยังเตียงนอนหลังจากยัดถุงใส่ในมือของนาง

 

 

“เอาไปสิ สิ่งนี้คงจะทำให้หายใจต่อไปได้อีกสองสามเดือน”

 

 

มือที่ดูเหมือนจะลังเลแตะลงบนไหล่ของชานที่นอนแผ่บนเตียงโดยไม่ห่มผ้า มินอาดึงผ้าห่มขึ้นมาห่มให้ ก่อนจะลูบหัวไหล่ที่เหนื่อยล้าโดยไม่พูดอะไร พร้อมกับปรับลมหายใจของตนเองให้เข้ากับลมหายใจของเขาที่ขยับขึ้นลง

 

 

“…เจ้าเองก็มองว่าข้าเป็นเหมือนปีศาจสินะ”

 

 

“เพคะ”

 

 

คิก ชานหัวเราะออกมาอีกครั้ง ช่างเป็นผู้หญิงที่ไม่รู้จักการพูดอะไรที่น่าฟังจริงๆ

 

 

“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็จะเป็นนางสนมของปีศาจ พระชายาก็จะเป็นพระชายาของปีศาจ ฮอนน่ะ ไม่ต้องเป็นปีศาจก็มีทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในครอบครอง แต่ข้ากลับต้องกลายเป็นปีศาจถึงจะได้ครอบครองสิ่งนั้น”

 

 

เสียงที่พูดพร่ำอย่างแผ่วเบาค่อยๆ เบาลง ระยะห่างของลมหายใจก็เพิ่มขึ้น มินอาเอามือออกอย่างช้าๆ และลูบศีรษะที่ยุ่งเหยิง จากนั้นจึงมองดูใบหน้าของชานที่ส่องสว่างด้วยแสงจันทร์สักพักหนึ่ง บางทีแค่ปล่อยให้เป็นไปตามที่เป็นอยู่ก็ได้ จริงๆ แล้วเหตุผลที่บอกว่าจะรับเข้ามาเป็นนางสนมเป็นเพียงเพราะความสงสารธรรมดาๆ ใช่ไหม ถ้าหากไม่ใช่…