ภาคที่ 4 ช่วงชิงตำแหน่งสูงสุด ตอนที่ 32 ความน่ารักคือพลัง!

กาลหนึ่งเคยมีเขากระบี่วิญญาณ

ตอนที่ 32 ความน่ารักคือพลัง! โดย Ink Stone_Fantasy

          การแข่งขันรอบที่สองของสำนักกระบี่วิญญาณและสำนักเซียนหมื่นเวทจบลงแทบจะทันทีที่เริ่มขึ้น ทว่าภายในไม่กี่อึดใจนั้นกลับมีหลายอย่างเกิดขึ้น

          ท่ามกลางเสียงโห่ร้องยินดีในชัยชนะจากฝูงชน หลิวหลีหัวเราะเบาๆ จากนั้นก็เดินลงมาจากลานเมฆา ใบหน้าของนางอาบไปด้วยความยินดีแห่งชัยชนะ

          “ศิษย์พี่หญิงหลิวหลี ท่านนี่เจ๋งสุดๆ เลย!”

          “ฮ่ะๆๆ~” หลิวหลีเอามือจับแก้มตัวเองด้วยความเขินอาย

          “ศิษย์พี่หญิงหลิวหลี เราจะเป็นกำลังใจให้ท่านตลอดไป!”

          “ฮุๆ!”

          เสียงโห่ร้องยังดังอยู่อย่างต่อเนื่องจนนางเดินไปถึงจุดพักผ่อนที่เสียงโห่ร้องถูกค่ายกลกันออกไปเพื่อให้ผู้แข่งขันอยู่ในสภาพแวดล้อมที่เงียบสงบ

          “ศิษย์พี่หญิง ท่านเผยไม้เด็ดออกไปแบบนี้มันไม่เร็วไปหน่อยหรือ”

          ศิษย์สำนักชั้นนอกขั้นพิสุทธิ์ที่อยู่ในสำนักมาราวๆ ยี่สิบปีถามขำๆ ขณะถือถ้วยชาร้อนมาให้ เครื่องดื่มนี้ยอดเขาเสรีทำขึ้นเป็นพิเศษ มันช่วยฟื้นฟูพลังอิทธิฤทธิ์และยกระดับขวัญและกำลังใจ

          หลิวหลีรับถ้วยน้ำชามาจากชายผู้นั้น ต่อหน้าศิษย์ที่เข้าสำนักหลังเขาเป็นเวลานานแถมยังมีขั้นตบะที่ต่ำกว่า เขาไม่มีตัวเลือกอื่นนอกจากจะเรียกนางว่าศิษย์พี่หญิงและถามคำถามออกไปพร้อมรอยยิ้ม ทว่าคำตอบของหลิวหลีนั้นเรียบง่าย “เพราะข้าต้องใช้ไม้เด็ดนั่นจึงจะเอาชนะเขาได้”

          ศิษย์สำนักชั้นนอกพยักหน้าและไม่ถามอะไรอีก เพราะแม้หลิวหลีจะตอบด้วยเสียงแผ่วเบา แต่เมื่อนางตัดสินใจแล้ว เช่นนั้นย่อมไม่ผิดแน่

          อย่างไรเสียกระบี่กระจ่างใจก็เป็นวิชาที่หาได้ยากยิ่ง ตัวมันเองเป็นวิชาเซียนระดับสูง ดังนั้นข้อกำหนดที่ผู้ฝึกต้องมีจึงสูงลิบไปด้วย แม้แต่สำนักเซียนหมื่นเวทเองก็ยังไม่เข้าใจวิชานี้ในระดับลึกซึ้ง นอกจากการระเบิดพลังที่รุนแรง และกาย ‘ไม่แปดเปื้อนแม้ฝุ่นสักเม็ดแล้ว’ กระบี่กระจ่างใจยังทำให้ผู้ฝึกไวต่อการหยั่งรู้อย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ดังนั้นพวกเขาจึงสามารถตัดสินใจด้วยจิตใต้สำนึกได้อย่างแม่นยำ

          ในการประลองที่เพิ่งจบไป เมื่อรู้ว่าลำพังกระบี่เพลิงของนางไม่อาจเอาชนะได้ หลิวหลีจึงใช้กระบี่วารีกระจ่างใจซึ่งเป็นไพ่เด็ดที่ซ่อนไว้ และเอาชนะคู่ต่อสู้ได้อย่างงดงามและขาวสะอาด หากปฏิกิริยาของนางช้ากว่านั้นเพียงนิดเดียว เป็นไปได้สูงว่านางอาจจะบาดเจ็บจากยันต์วิญญาณของฝ่ายตรงข้าม แต่อย่างไรเสียผลการต่อสู้ก็อาจเปลี่ยนไปเพียงนิดเดียว ตราบใดที่นางยังมีกระบี่กระจ่างใจ ต่อให้การแข่งขันนี่เกิดขึ้นซ้ำเดิมร้อยครั้งหรือแม้แต่พันครั้ง ก็เป็นไปไม่ได้ที่ลู่เฉียนไช่จะฉวยโอกาสจากความแตกต่างเพียงน้อยนิดนั้นและพลิกสถานการณ์กลับมาได้

          นี่ละคือศิษย์ผู้สืบทอดของสำนักกระบี่วิญญาณ อัจฉริยะผู้มากพรสวรรค์ซึ่งเหล่าผู้อาวุโสจากหอกระบี่นภาภาคภูมิใจ หากมีนางอยู่ ต่อให้คนของสำนักเซียนหมื่นเวทจะจองหองแค่ไหน ก็ไม่อาจทำลายความมั่นใจของสำนักกระบี่วิญญาณลงได้

          ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งของลานเมฆา บรรยากาศในส่วนที่พักของสำนักเซียนหมื่นเวทช่างอึมครึมนัก

          การพ่ายแพ้ของลู่เฉียนไช่ไม่ใช่เรื่องที่พวกเขาประหลาดใจ สิ่งที่ประหลาดใจก็คือแม้เขาจะพยายามอย่างสุดความสามารถแล้วแต่กลับไม่มีโอกาสแม้สักนิด… หลิวหลีนั้นแหข็งแกร่งกว่าที่พวกเขาคาดเอาไว้มาก แค่กระบี่เพลิงสิบหกชั้นก็ทำให้พวกเขาปวดหัวแล้ว แต่นี่จู่ๆ นางยังมาใช้กระบี่วารีกระจ่างใจอีก แล้วพวกเขาจะต้านทานการผนึกกำลังกันของสองกระบี่นี้ได้อย่างไร

          อย่างน้อยในหมู่ผู้ที่รวมกลุ่มกันอยู่ ไม่มีใครมั่นใจว่าจะต้านทานสิ่งนี้ได้สักคน แม้แต่พี่ใหญ่จ้านจื่อเย่เองก็มีสีหน้าสิ้นหวัง

          ผ่านไปพักใหญ่ ลู่เฉียนไช่ก็เอ่ยขึ้นช้าๆ “ข้าว่าเราอย่ามองโลกในแง่ร้ายกันหน่อยเลย แม้ในการต่อสู้คู่แข่งจะใช้ไม้เด็ดนี้ แต่หากมันเกิดขึ้นจริง กายสายฟ้าก็สามารถตอบโต้ไม้เด็ดที่ว่าได้”

          เจ้าเจียงยวันยิ้มเยาะ “พูดน่ะมันง่าย กุญแจสำคัญไม่ได้อยู่ที่กระบี่วารีกระจ่างใจของนาง แต่เราไม่รู้ว่ายังจะมีเรื่องประหลาดใจอื่นนอกจากกระบี่กระจ่างใจของนางอีกหรือเปล่า”

          สำนักเซียนหมื่นเวทช่างมีสายตาเฉียบคม พวกเขาค้นพบกุญแจสำคัญของเรื่องนี้อย่างรวดเร็ว

          “อ้าว แล้วนี่ศิษย์น้องอวิ๋นฟานไปอยู่ไหน” จู่ๆ ลู่เฉียนไช่ก็เงยหน้าขึ้นมาถาม

          “เหมือนว่าเขาจะออกไปพบเพื่อนเก่า” เย่เฟยเฟยตอบใจลอย จิตใจของหญิงสาวจดจ่อไปที่การแข่งขันระหว่างศิษย์พี่ใหญ่ของนางกับหลิวหลีและไม่ไยดีสักนิดว่าศิษย์น้องของตนอยู่ที่ใด

          “ออกไปพบเพื่อนเก่า?” ลู่เฉียนไช่และคนอื่นๆ งุนงง

          ไห่อวิ๋นฟานออกไปพบเพื่อนเก่าจริงๆ เขาและหวังลู่นั่งข้างๆ กันอยู่แถวลานเมฆา ต่างพูดคุยและหัวเราะอย่างรื่นเริง

          “พี่หวัง ท่านอารมณ์ดีหรือ ดูท่าท่านจะมั่นใจในการแข่งขันครั้งนี้ไม่น้อย”

          “เสี่ยวไห่ หากมีอะไรจะพูดก็พูดมาตรงๆ เถอะ”

          ไห่อวิ๋นฟานหัวเราะขำ “พี่หวังนี่ช่างใจกว้างนัก ความจริงแล้วข้าอยากมาขอโทษท่านเรื่องก่อนหน้านี้”

          หวังลู่กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ “ตั้งแต่ต้น ข้าก็ไม่คิดว่าผ้านั่นจะพลิกสถานการณ์อะไรได้ ข้าแค่จะสร้างเรื่องป่วนเล็กๆ เพื่อที่จะสังเกตประสิทธิภาพการต่อสู้ของไพ่ชัยชนะของสำนักเจ้า ไม่คิดว่ามันจะได้ผลกว่าที่คิดเอาไว้… ทว่าดีแล้วที่เยว่ยวินแพ้ ไม่เช่นนั้นคนอื่นจะกังขากับชัยชนะที่เอื้อมไม่ถึงเช่นนั้น ดังนั้นเจ้ามีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ”

          ไห่อวิ๋นฟานถาม “หากเป็นท่าน ท่านจะรับมือศิษย์พี่หญิงหลิวหลีในการประลองอย่างไร”

          หวังลู่ปรายตามองอีกฝ่าย “เจ้าถามทำไม”

          ไห่อวิ๋นฟานกล่าว “ข้าแค่อยากรู้ ข้ามั่นใจว่าพี่หวังนึกถึงปัญหานี้ไว้อยู่แล้ว เพราะ… หากทั้งสองคนเอาชนะการแข่งขันได้อย่างราบรื่น ก็เป็นไปได้สูงที่พี่หวังจะเจอกับหลิวหลีในรอบชิงชนะเลิศ

          หวังลู่กล่าว “ใช่ นี่เป็นสถานการณ์ที่เป็นไปได้มากที่สุด ในฝั่งของข้า ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าไม่ว่าเจ้าเจียงยวันหรือเย่เฟยเฟยก็ไม่อาจจะหยุดข้าได้ และแทบไม่มีทางที่จ้านจื่อเย่จะเอาชนะหลิวหลีได้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้มากที่ข้าต้องเจอกับหลิวหลีในรอบชิงชนะเลิศ”

          ไห่อวิ๋นฟานปฏิเสธที่จะออกความเห็นในเรื่องนี้แต่กลับถามขึ้นมาแทน “แล้วพี่หวังจะเอาชนะนางได้อย่างไร”

          “การจะเอาชนะหลิวหลี แน่นอนว่าข้าต้องใช้สมอง ด้วยความทรงพลังของนาง ถ้าข้าสู้กับนางซึ่งๆ หน้ามันก็ไม่ต่างจากรนหาที่ตาย นางเป็นคนทึ่มดังนั้นข้าย่อมใช้แผนการและเล่ห์กลเอาชนะนางได้”

          “…แผนการและเล่ห์กล?”

          หวังลู่หัวเราะขำ “ก็เหมือนที่เจ้าเอาลูกอมสองเม็ดไปแลกผ้าเช็ดหน้าของนางอย่างไรเล่า ข้าใช้ผ้าเช็ดหน้าไหมเพื่อลวงให้จ้านจื่อเย่ยอมแพ้ได้ ไม่แน่ว่าข้าอาจใช้ลูกอมสองเม็ดทำให้หลิวหลียอมแพ้ได้เช่นกัน”

          ไห่อวิ๋นฟานหลุดขำทั้งๆ ที่พยายามกลั้นแล้ว “ศิษย์พี่หญิงหลิวหลีไม่ได้จัดการง่ายขนาดนั้นหรอกใช่ไหมเล่า”

          “แน่ละว่ามันไม่ง่ายขนาดนั้น อย่างไรเสียนางก็มีอาจารย์ ในเมื่อเขารับรู้มานมนานว่านางขาดแคลนสมอง อาจารย์ของนางย่อมต้องเตรียมการไว้ให้แน่ แน่นอนว่าเขาย่อมเตรียมแผนรับมือที่หลากหลายเพื่อไม่ให้นางโดนล่อลวงบนลานประลอง แต่บังเอิญข้าก็มีเอี่ยวในการออกแบบหลักสูตรฝึกซ้อมพิเศษให้นางก่อนการแข่งขันครั้งนี้เสียด้วยสิ”

          ไห่อวิ๋นฟานถาม “ในเมื่อพวกท่านมีการเตรียมการให้นางอย่างละเอียดรอบคอบ ทำไมท่านถึงคิดว่าจะใช้เล่ห์กลกับนางได้อีกเล่า”

          หวังลู่ตอบ “เราต้องแหย่จุดบกพร่องของนางทีละนิด ตัวอย่างเช่น หากเราใช้ลูกอมสองเม็ดเพื่อให้นางยอมแพ้ ไม่แน่ว่าก่อนการแข่งขัน ผู้อาวุโสอาจจะบอกนางว่าห้ามยอมแพ้หรือประกาศว่ายอมแพ้เพียงเพื่อจะเอาลูกอม ดังนั้นนางก็จะไม่สะทกสะท้านต่อเล่ห์กลนั้น ทว่าเจ้าอาจจะลวงนางด้วยขาไก่ เท้าหมู เนื้อตุ๋นและสิ่งอื่นๆ แทนได้… จุดอ่อนข้อเดียวของนางคือสมองที่ไม่ค่อยชาญฉลาดนัก ดังนั้นข้าก็มีแค่เรื่องนี้ที่จะเอาชนะนางได้ น่าเสียดายที่ศิษย์พี่ของเจ้าเองกลับโง่เง่าอย่างไม่น่าเชื่อเขาจึงพลาดโอกาสที่จะใช้ไม้นี้กับนาง”

          “โอ้?”

          “หากเขาไม่คิดฉวยโอกาสจะเอาชัยชนะตั้งแต่ในกระบวนท่าแรก ในทางทฤษฎีเขาจะรอดได้นานพอสมควร และในช่วงเวลานั้น เขาจะสามารถตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริงของอีกฝ่าย มองหาช่องโหว่ในวิธีการคิดของนาง จากนั้นต่อให้เขาไม่ชนะ เขาก็อาจจะสร้างโอกาสให้พี่ใหญ่ของเขาได้”

          ไห่อวิ๋นฟานมองเหม่ออยู่ครู่ใหญ่จากนั้นก็ยิ้มขื่น “โชคร้ายที่ข้าไม่ได้ฟังความคิดที่ชาญฉลาดของท่านตั้งแต่แรก”

          “เหลวไหลน่า ถ้าก่อนหน้านั้นเจ้ามาถามข้า ข้าก็ไม่บอกเจ้าหรอก อย่างน้อยข้ากับนางก็เป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน แล้วข้าจะช่วยเพื่อนร่วมคณะของเจ้าให้เอาชนะนางไปทำไม” พูดจบหวังลู่ก็กลอกตา “แล้วเจ้าเล่า เจ้าเป็นตัวสำรอง เจ็บใจไหมที่ไม่มีโอกาสได้แสดงความสามารถบนลานประลอง หากเจ้าต้องการ ข้าหาวิธีให้ได้นะ”

          ตามกฎแล้ว ตัวสำรองจะมีสิทธิ์ลงแข่งขันก็ต่อเมื่อฝั่งชนะไม่สามารถแข่งขันต่อในรอบถัดไปได้ ข้อเสนอของหวังลู่ชัดเจนว่าเขาต้องการใช้เล่ห์เหลี่ยมกับจ้านจื่อเย่ที่เอาชนะในรอบแรกได้แล้ว

          ไห่อวิ๋นฟานรีบปฏิเสธทันที “ช่างเถอะ แม้แต่พี่หวังเองก็ไม่อยากสมรู้ร่วมคิดกับคนนอกเพื่อลวงเพื่อนร่วมคณะตัวเอง ข้าเองก็ไม่ต้องการเช่นเดียวกัน”

          หวังลู่ปรายตามองไห่อวิ๋นฟานอย่างมีนัยะจากนั้นก็กล่าวขึ้น “เจ้านี่สมกับที่เป็นไห่อวิ๋นฟานที่ทรงเกียรติและเที่ยงธรรมจริงๆ นิสัยอย่างเจ้าน่ะคู่ควรกับศิษย์พี่หญิงสองของเจ้าที่สุดแล้ว”

          ไห่อวิ๋นฟานตัวสั่นเทิ้มจากนั้นก็ลุกขึ้น “อาจารย์ตามตัวข้าแล้ว ข้าไปก่อนละ”

          “ฮ่าๆๆ เชิญเถอะ”

——

          เมื่อกลับไปยังจุดพักผ่อนของสำนักเซียนหมื่นเวท ไห่อวิ๋นฟานรู้สึกว่าหลังของเขาเย็นวาบ เสื้อคลุมสำนักเซียนหมื่นเวทของเขาเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อไปทั้งตัว

          ในฐานะผู้บำเพ็ญเซียนตบะขั้นสร้างฐานผู้น่าเกรงขาม ร่างกายของเขาย่อมแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ชั้นเยี่ยมในโลกมนุษย์มากนัก ทว่าประโยคสุดท้ายของหวังลู่กลับทำให้เหงื่อเม็ดโตไหลอาบท่วมร่างของเขา

          สมกับที่เป็นเด็กมหัศจรรย์ที่โดดเด่นเหนือมนุษย์ในการชุมนุมคัดเลือกเซียน ไม่คิดว่าหลายปีที่ไม่ได้พบกัน เขากลับโหดเหี้ยมกว่าที่ได้เจอกันครั้งแรกเสียอีก ไห่อวิ๋นฟานไม่คาดคิดว่าในการพบเจอกันลับๆ ครั้งนี้ เขาจะได้พลังและอำนาจของเห็นเด็กหนุ่มที่อายุยังไม่สิบแปดปีเต็มคนนี้ และเมื่อผนวกรวมเข้ากับการจู่โจมด้านจิตวิทยาของอีกฝ่ายที่เขาไม่อาจตั้งรับได้ทัน จึงทำให้ไห่อวิ๋นฟานต้องเจ็บปวดใจไม่น้อย

          แม้ไม่ยากที่จะเดาสิ่งที่อยู่ในจิตใจของไห่อวิ๋นฟาน แต่ไม่มีทางที่ใครจะใช้เหตุผลนั้นลวงเขาให้ติดเบ็ดได้ เขาไม่ใช่พวกสมองตายแบบจ้านจื่อเย่ ทว่าหากคนผู้นั้นเป็นหวังลู่… ไห่อวิ๋นฟานก็อาจหลงติดกับก็เป็นได้

          เพราะในเมื่อหวังลู่เอ่ยปากมาแล้ว มันก็เป็นไปได้ว่าหวังลู่ย่อมมีลู่ทางที่จะทำให้ฝันของไห่อวิ๋นฟานเป็นจริง และยิ่งถ้าหวังลู่ยืนกราน ไห่อวิ๋นฟานก็ไม่มีทางจะปฏิเสธ! หากหวังลู่คิดจะเป็นแม่สื่อแม่ชักให้เขา เขาย่อมไม่มีทางเลือกนอกจากแต่งงานและมีลูก! ตอนนี้ความคิดของไห่อวิ๋นฟานวิ่งไวเสียจนกระทั่งก่อนที่หวังลู่จะทันพูดจบ ใจเขาก็คิดถึงฉากอนาคตอันสวยงามของคนทั้งคู่เรียบร้อย ซึ่งทำให้เขาใจเต้นแรงด้วยความตื่นเต้น

          ในขณะเดียวกันเขาก็ตื่นตกใจกับปฏิกิริยาของตัวเอง เคราะห์ดีที่เขาบำเพ็ญเซียนที่สำนักเซียนหมื่นเวทมาหลายปี คำพูดไม่กี่คำจึงไม่อาจทำให้เขาสติหลุดได้ ดังนั้นเขาจึงรีบลุกขึ้นและจากมา ปิดฉากบทสนทนาอันตรายเหล่านั้นลง

          หลังจากนั่งสงบใจอยู่ในส่วนพักผ่อน ขวัญของไห่อวิ๋นฟานก็ฟื้นคืนกลับมาเต็มที่ ตอนนั้นเองเขาก็ได้รู้ว่าศิษย์พี่สามเจ้าเจียงยวันพร้อมที่จะลงแข่งขันแล้ว

          การต่อสู้รอบถัดไปเป็นของศิษย์พี่สามของเขากับหวังลู่ ตอนนี้ผ่านมาพักใหญ่แล้วที่หลิวหลีเอาชนะลู่เฉียนไช่ได้ ทว่าบรรยากาศคึกคักที่ล้อมรอบลานเมฆากลับไม่จางลงไปแม้แต่น้อย หลังจากที่ได้เห็นหลิวหลีเอาชนะคู่แข่งได้อย่างรวดเร็ว ผู้ชมย่อมต้องคาดหวังในตัวหวังลู่ที่โด่งดังในเรื่องการใช้เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวเพื่อให้ได้ในสิ่งที่ต้องการ เรื่องที่ว่าเขาจะต่อกรกับศิษย์จากสำนักเซียนหมื่นเวทที่แข็งแกร่งกว่าเขาหลายเท่าได้อย่างไรกลายเป็นประเด็นร้อนให้เหล่าผู้ชมได้ครุ่นคิดกัน

          ทว่าแม้แต่ฝั่งสำนักกระบี่วิญญาณเอง มีไม่กี่คนที่มองโลกในแง่ดีว่าหวังลู่จะมีโอกาสชนะ หลังจากถกเถียงข้อดีข้อด้อยของหวังลู่กับคู่สนทนาแล้ว ก็ไม่มีใครสามารถโน้มน้าวให้อีกคนเชื่อได้เลย เมื่อได้ยินการถกเถียงดังกล่าว หัวใจของไห่อวิ๋นฟานก็หนักอึ้งลง

          นั่นเพราะ…แม้แต่ศิษย์ของสำนักกระบี่วิญญาณเองก็ยังไม่อาจประเมินพลังที่แท้จริงของหวังลู่ได้อย่างถูกต้อง ในสำนักกระบี่วิญญาณชายหนุ่มผู้นี้ก็ยังเป็นเรื่องลึกลับ ทว่าความลึกลับนี้ไม่ส่งผลดีต่อสำนักเซียนหมื่นเวทที่อาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลของคู่แข่งก่อนลงแข่งขันเพื่อหาวิธีโต้กลับที่ชาญฉลาด

          “ศิษย์พี่ ท่านจะชนะได้ง่ายๆ ไหม”

          เมื่อเห็นศิษย์น้องเดินตรงมาหาเขา เจ้าเจียงยวันก็เหม่อเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับไป “แน่นอน…ว่าไม่”

          จากนั้นเจ้าเจียงยวันก็กล่าวอย่างสิ้นหวัง “ข้อมูลที่จะใช้วิเคราะห์นั้นมีน้อยเกินไป วิชาไร้ลักษณ์นั้นลึกลับเสียยิ่งกว่าวิชากระบี่กระจ่างใจอีก ข้อมูลเดียวที่เรารู้คือวิชานี้ผู้อาวุโสแห่งยอดเขาไร้ลักษณ์เป็นคนคิดค้นขึ้น ความสามารถในการตั้งรับและการเอาตัวรอดของมันนั้นแข็งแกร่งยิ่งนัก ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าวิชานี้ทรงพลังเพียงใด หากไม่มีการต่อสู้ระหว่างปรมาจารย์จื้อเฟิงของสำนักเซิ่งจิงและผู้อาวุโสแห่งยอดเขาไร้ลักษณ์ เราก็จะไม่มีแม้กระทั่งตัวอย่างการต่อสู้จริงๆ”

          ไห่อวิ๋นฟานถามหลับ “หือ สำนักของเรายังวิเคราะห์วิชาไร้ลักษณ์ไม่เสร็จอีกหรือ”

          “มีข้อมูลให้วิเคราะห์น้อยเกินไป ทว่าวิเคราะห์ไม่ได้ก็ช่างเอะ เหตุใดข้าต้องกลัวเจ้าถุงปุ๋ยนั่นด้วย”

          ไห่อวิ๋นฟานยิ้ม “ศิษย์พี่พูดถูกแล้ว เอาละ การแข่งขันใกล้จะเริ่มแล้ว ข้าขอให้ศิษย์พี่โชคดี…”

          ก่อนที่เขาจะทันพูดจบ ทันใดนั้นที่อีกฟากของลานประลองเสียงร้องด้วยความประหลาดใจผสมรวมกับเสียงวี้ดว้ายของศิษย์ผู้หญิงของสำนักกระบี่วิญญาณก็ดังขึ้น เสียงเหล่านั้นดังกึกก้องจนค่ายกลป้องกันเสียงก็ไม่อาจจะสกัดไว้ได้

          “อ้า นั่นอะไรน่ะ!?”

          “น่ารักจัง!”

          “ดูสิ มันมองข้าด้วย มันมองมาที่ข้าด้วย!”

          คนของสำนักเซียนหมื่นเวทต่างมองหน้ากันจากนั้นก็รีบหันไปมองด้านหน้าในทันที

          พวกเขาเห็นหวังลู่ค่อยๆ ปีนขึ้นมาบนอีกด้านหนึ่งของลานเมฆาอย่างช้าๆ

          และที่บนพื้นข้างๆ เขา ลูกสุนัขขนกระดำกระด่างที่ดูซุกซนแต่น่ารักกำลังวิ่งไปรอบๆ อย่างดีอกดีใจที่ได้เป็นจุดสนใจ

          “เวรเอ๊ย นั่นอะไรน่ะ!?”

 …………………………………………..