บทที่ 414 การปรากฎตัวขึ้นอย่างเป็นปริศนา

พ่อเลี้ยงยอดเซียน (异界无敌奶爸)

ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีคนจำนวนไม่น้อยที่พยายามพุ่งเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ซึ่งผู้คนเหล่านั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยในทางเข้าที่มืดทมิฬเหมือนสีหมึก โดยที่ทางเข้านั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลงใด ๆ แม้แต่น้อย

ซึ่งการเปลี่ยนแปลงของทางเข้านั้นจะมีความเปลี่ยนแปลงก็ต่อเมื่อมีผู้ที่มีกุญแจเดินเข้าไปในมันหรือคนที่อยู่ด้านในกำลังจะออกมาก็เท่านั้น

ซึ่ง 5 ปีที่แล้วก็มีผู้คนที่เริ่มออกมาจากทางเข้าของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ

คนแรกที่ออกมาคือหนิงฮ่าว

ในตอนที่หนิงฮ่าวออกมานั้นเขาได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ซึ่งร่างกายบางส่วนของเขานั้นได้หายไปคล้ายกับว่าโดนของมีคมตัดออก

ซึ่งถ้าไม่ใช่เพราะโอสถวิเศษของเฟิงหมานเทียน ไม่เพียงหนิงฮ่าวจะไม่สามารถฟื้นจากอาการบาดเจ็บได้ แต่เขาอาจจะตายไปแล้ว

หลังจากที่หนิงฮ่าวหายจากอาการบาดเจ็บ เขากลับต้องการพบกับเสี่ยวเยว่เฟิงอีกครั้ง

อย่างไรก็ตาม เสี่ยวเยว่เฟิงที่เอาแต่อยู่ในค่ายกลกระบี่เหินเมฆา ดังนั้นหนิงฮ่าวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจากไปอย่างไม่พอใจ

ขณะที่หนิงฮ่าวจากไป คนบางคนในฝูงชนก็มองตามเขาด้วยสายตาที่เป็นประกาย เนื่องจากพวกเขาสามารถมองเห็นได้ชัดเจนว่าในขณะที่หนิงฮ่าวออกมาจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ เขาได้ถือไม้เท้าไม้ไผ่สีเขียวไว้ในมือด้วยตอนที่เขาออกมา

ซึ่งคนทุกคนต่างรู้ดีว่าสิ่งของต่าง ๆ ที่ออกมาจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับนั้นทุกอย่างล้วนแล้วแต่เป็นของที่ล้ำค่าทั้งสิ้น

ยิ่งไปกว่านั้นผู้พิทักษ์ที่อยู่ข้างหนิงฮ่าวก็คือ เฟิงหมานเทียน เพียงผู้เดียว ซึ่งเขานั้นเป็นเพียงผู้เชี่ยวชาญระดับหลุดพ้นสามัญเพียงเท่านั้น และด้วยความแข็งแกร่งที่ไม่มากแบบนี้มันจึงเป็นสิ่งล่อตาล่อใจแก่ผู้คนทั้งหลายที่เห็นว่าหนิงฮ่าวกำลังจากไป

เมื่อหนิงฮ่าวและเฟิงหมานเทียนจากไปได้สักพัก เหล่าผู้คนที่ยังอยู่ด้านหน้าทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังวิญญาณจากการต่อสู้อย่างรุนแรง ซึ่งหลังจากนั้นความผันผวนของพลังวิญญาณจากการต่อสู้ก็ห่างออกไปเรื่อย ๆ และเรื่อย ๆ และจากนั้นก็หายไป

ไม่นานหลังจากหนิงฮ่าวจากไป ซือโถวเหวินหยวนก็ออกมา

ทางด้านของซือโถวเหวินหยวนนั้นได้ประสบความสำเร็จในการทะลวงผ่านไปยังขอบเขตสวรรค์ระดับสวรรค์สามัญ อย่างไรก็ตามสีหน้าของซือโถวเหวินหยวนนั้นดูหดหู่เป็นอย่างมาก เนื่องจากแม้ว่าเขาจะทะลวงขอบเขตได้ก็จริง แต่การทะลวงขอบเขตของเขานั้นต่อให้ไม่ได้เข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงเขาก็สามารถทะลวงขอบเขตได้อยู่แล้ว สิ่งที่ทำให้เขาหดหู่ก็คือเขาไม่เจอโชคดีอะไรจากข้างในนั้นที่ทำให้เขาสามารถพัฒนาศักยภาพของตัวเองได้เลย

หรือพูดอีกนัยหนึ่งคือเขาเสียสิทธิ์ไปโดยเปล่าประโยชน์

หลังจากที่ซือโถวเหวินหยวนออกมา สีอี้เฉิง ปิงยู่หลางและคนอื่น ๆ ก็ออกมาทีละคน

ทางด้านของสีเป่ยเซียะและลั่วหยุนก็เหลือบมองไปที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาเป็นครั้งคราว

พวกเขาทั้งคู่ต่างรู้สึกว่ามันแปลกมาก ทำไมไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ เลย?

ลั่วหยุนส่ายหัว ไม่ว่าหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ จะทำอะไรเขาก็ไม่มีสิทธิ์จะไปแทรกแซง แต่แล้วหลังจากที่เขาเห็นว่าศิษย์ของเขาตวนจู้ออกมาจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้อย่างปลอดภัย แถมยังสามารถทะลวงศักยภาพของนางได้และที่สำคัญนางยังได้รับสมบัติแห่งสวรรค์และโลกกลับมาด้วย สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นมีความสุขทันที

“ด้วยสมบัติแห่งสวรรค์และโลกชิ้นนี้ เจ้าจะมีโอกาสสร้างสมบัติแห่งชะตาชีวิตของเจ้าได้ในอนาคต” ลั่วหยุนพูดพลางลูบหัวนางอย่างเอ็นดู

ตวนจู้เองก็มีความสุขมากเช่นกัน การเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับของนางบรรลุเป้าหมายอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้ตอนนี้นางยังมีอาจารย์ที่มีความแข็งแกร่งอยู่ในขอบเขตราชันอีกต่างหาก เมื่อนางนึกย้อนไปถึงเรื่องที่นางใช้สมบัติวิเศษสองชิ้นแลกกับโอกาสเหล่านี้มา มันก็นับว่าคุ้มค่าเป็นอย่างมาก

“ศิษย์ต้องขอบคุณอาจารย์สำหรับการชี้แนะ!” ตวนจู้ตอบ

ลั่วหยุนหัวเราะ “เจ้าต้องขอบคุณท่านหลิงที่ให้โอกาสเจ้าเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับด้วย ต่อให้แม้ว่าเจ้าจะจ่ายเขาด้วยราคาที่สมเหตุสมผลก็ตาม”

ตวนจู้พยักหน้าและพูดขึ้นด้วยสีหน้าเปี่ยมอารมณ์ “ท่านหลิงเป็นผู้ที่วิเศษโดยแท้ ทั้งที่เขามีระดับการบ่มเพาะอยู่แค่ขอบเขตประสานทะเลปราณ แต่เขากลับสามารถเข้ามายังพื้นที่ของขอบเขตรวมแสงดาราได้อีกต่างหาก”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ดวงตาของลั่วหยุนก็หรี่ลงขณะที่เขาจ้องไปที่ตวนจู้และถามว่า “เจ้าเจอกับเขาข้างในนั้นเหรอ?”

ในระหว่างที่ถาม ลั่วหยุนก็มองไปที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาด้วยสายตาสงสัย

ตวนจู้พยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้วท่านอาจารย์ ตอนที่ข้าอยู่ข้างใน ข้าได้บังเอิญเจอกับเขาพอดี และไม่ใช่แค่เขาคนเดียวที่ข้าเจอ แต่รวมไปถึงลูกชายของเขา แม่นางเย่และภูตนางฟ้าคนนั้นข้าก็เจอ”

ลั่วหยุนเมื่อได้ยินเช่นนี้เขาดูตื่นเต้นมาก หลิงตู้ฉิงสามารถพาผู้คนเข้าไปเพิ่มได้ยังไง?

การที่หลิงตู้ฉิงไม่อนุญาตให้ใครเข้าไปในค่ายกลกระบี่เหินเมฆานั้นมันจะต้องมีอะไรเกี่ยวข้องกับเรื่องที่พวกเขาสามารถเข้าไปด้านในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับได้อย่างแน่นอน ว่าแต่มันคือวิธีไหนกันล่ะ?

ในขณะนี้สีหน้าของสีเป่ยเซียะก็เต็มไปด้วยความตื่นเต้นเช่นกัน เนื่องจากนางเองก็ได้ยินเรื่องของหลิงตู้ฉิงจากสีอี้เฉิงแล้วเรียบร้อย ซึ่งสีเป่ยเซียะนั้นได้คิดการณ์ไกลไปกว่าลั่วหยุนมาก

ถ้าสำนักของนางได้รับวิธีการนี้ของหลิงตู้ฉิงมามันจะเป็นเช่นไรกัน…?

หลังจากนั้นสีเป่ยเซียะและลั่วหยุนก็กลายเป็นให้ความสนใจกับทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเป็นพิเศษมากขึ้น พวกเขาต้องการดูว่ากลุ่มของหลิงตู้ฉิงนั้นจะออกมาแบบไหน

แต่แล้วเมื่อพวกเขาเอาแต่จด ๆ จ้อง ๆ มันมามากว่า 2-3 ปีแล้ว แต่พวกของหลิงตู้ฉิงกลับไม่มีใครออกมาสักคน ซึ่งในเวลานี้หมอกสีดำที่ทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับก็เริ่มพุ่งพล่าน ขึ้นซึ่งบ่งบอกว่าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกำลังจะปิดลงในไม่ช้า

เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ ลั่วหยุนและสีเป่ยเซียะต่างก็รู้สึกแปลกมาก ประตูเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกำลังจะปิด แต่พวกเขาก็ยังไม่ออกมา?

แล้วเด็กสาวจากภูเขาฟีนิกซ์คนนั้นล่ะ? แล้วภูตนางฟ้าตนนั้นล่ะ?

จากนั้นยิ่งเวลาผ่านไป หมอกสีดำของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับก็ยิ่งเริ่มหดตัวกลับลงสู่พื้นดินมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งเป็นสัญญาณว่าทางเข้าของเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกำลังจะปิดลงแล้ว

แต่แล้วในตอนที่หมอกสีดำกำลังจะหายไปจนหมด ร่างของอี้ลั่วเอ๋อและเสี่ยวหลิงเฟิงก็ปรากฏขึ้นภายในหมอกที่ใกล้จะสลายนั้น

และในมือของพวกนางทั้งคู่นั้นก็เต็มไปด้วยสิ่งของล้ำค่าอยู่หลายอย่างเต็มมือ ซึ่งมันคือผลจากการเก็บเกี่ยวภายในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ

แต่สิ่งที่ไม่มีใครสังเกตเห็นก็คือ ไม่เพียงแต่อี้ลั่วเอ๋อจะถือสมบัติออกมาด้วยเท่านั้น แต่นางยังมีสิ่งอื่นที่ติดตัวนางออกมาด้วยอีกหลายชีวิต

เมื่อออกมาจากหมอกสีดำแล้ว อี้ลั่วเอ๋อและเสี่ยวหลิงเฟิงก็เดินตรงกับเข้าไปที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาทันทีโดยไม่สนใจกับสายตาของผู้คนจำนวนมากที่มองมายังพวกนางเลย

ทางด้านของลั่วหยุนและสีเป่ยเซียะต่างก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ในขณะที่พวกเขามองดูทางเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับค่อย ๆ หายไปและปิดตัวลงอย่างสมบูรณ์

เนื่องจากพวกเขาไม่เห็นการปรากฏตัวของหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ในใจของพวกเขาจึงมีแต่คำถามว่า เขาอยู่ที่ไหน? เขาไปไหน?

พวกเขาคงไม่ได้ติดอยู่ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับใช่ไหม?

เมื่ออี้ลั่วเอ๋อเดินกลับเข้าไปภายในค่ายกลกระบี่เหินเมฆา จากนั้นนางก็เดินเข้าไปในรถม้าที่ถูกจอดทิ้งไว้ตั้งแต่แรกก่อนที่พวกของหลิงตู้ฉิงจะเข้าไปในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ จากนั้นเมื่อเข้ามาด้านใน นางก็เฝ้าดูหลิงตู้ฉิง มี่ไลและคนอื่นกลับร่างสู่ร่างขนาดปกติทีละคน ๆ

“นายท่าน ข้าว่านี่มันน่าอัศจรรย์เกินไปจริง ๆ” แม้ว่าอี้ลั่วเอ๋อจะเห็นมันด้วยตาของนางเองถึงหลายครั้งแล้ว นางก็ยังพบว่ามันยากที่จะเชื่อ

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “เอาล่ะทุกคนไปเอาของของตัวเองคืนมาจากเยว่เฟิงก่อน จากนั้นเรามาดูกันดีกว่าว่าเราได้อะไรจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับกันมาบ้าง แล้วหลังจากนั้นเราค่อยเตรียมตัวกลับไป”

จากนั้นทุกคนก็ไปเอาแหวนมิติและสิ่งของอื่น ๆ ของตัวเองกลับคืนมาจากเสี่ยวเยว่เฟิง

แม้ว่าเสี่ยวเยว่เฟิงจะรู้ว่าหลิงตู้ฉิงและคนอื่น ๆ ได้เข้าสู่ เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับแล้ว แต่นางก็ยังไม่ค่อยอยากจะเชื่อสายตาสักเท่าไหร่เช่นกัน

อย่างไรก็ตามความสงสัยของนางเองก้ไม่ได้อยู่นานนัก จากนั้นนางก็หันไปสนใจกับน้องสาวของนางมากกว่า ที่ในตอนนี้เสี่ยวหลิงเฟิงได้อยู่ในระดับ 13 ของขอบเขตประสานทะเลปราณเรียบร้อยแล้ว แถมยังเข้าใจการใช้กฎอัคคีในระดับที่ลึกซึ้งขึ้นรวมถึงคาถาวัฏจักรศักดิ์สิทธิ์ก็เช่นกัน

“ขอบคุณสำหรับความรักและความห่วงใยที่นายท่านมีต่อน้องสาวของข้า!” เสี่ยวเยว่เฟิงพูดอย่างซาบซึ้ง

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เป็นไร นี่คือสิ่งที่เจ้าควรได้รับจากการทำงานกับข้ามาหลายปี เอาล่ะเจ้าจงไปแจ้งลั่วหยุนให้ข้าที และหลังจากที่ข้าอธิบายทุกอย่างให้เขาฟัง จากนั้นเราจะเตรียมตัวกลับไปที่ทะเลชางหมางกันทันที”

“รับทราบ!” เสี่ยวเยว่เฟิงลุกขึ้นยืนทันทีและเดินออกจากค่ายกลกระบี่เหินเมฆา และเมื่อนางเดินมาถึงลั่วหยุน นางก็เอ่ยเพียงสั้น ๆ ว่า “ผู้อาวุโสลั่ว นายท่านอยากพบท่าน”

ลั่วหยุนมองไปที่เสี่ยวเยว่เฟิงอย่างแปลกประหลาดและพูดว่า “เขาอยู่ที่นี่เหรอ?”

“นายท่านกำลังรออยู่!” เสี่ยวเยว่เฟิงพยักหน้า

เมื่อได้ยินเช่นนี้ลั่วหยุนรู้สึกได้ทันทีว่าเรื่องนี้ช่างน่าสนใจ