บทที่ 61 โดย Ink Stone_Romance

บทที่ 61 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (3)

            “เป่ยซี ในที่สุดเธอก็กลับมาแล้ว หลายวันนี้เธอไปไหนมา?” ถังเสวี่ยเดินมาที่ข้างเตียงอี้เป่ยซี อี้เป่ยซีลงจากเตียงมานั่งอยู่บนม้านั่งไม้ของตัวเอง

            “มีธุระที่ยังจัดการไม่เรียบร้อยน่ะ ก็เลยอยู่บ้านหลายวัน หลายวันนี้ไม่มีการบ้านอะไรเนอะ”

            ถังเสวี่ยส่ายหน้า มองเธอเหมือนต้องการจะพูดบางอย่างแต่ไม่ได้พูด “ช่างเถอะ ไม่มีอะไร”

            “อะไรๆ?”

            ฟางหมิ่นเปิดประตู สีหน้าของเธอดีขึ้นเล็กน้อย แต่ก้าวเดินยังคงอ่อนแรงนิดหน่อย เธอเดินเข้ามาในห้องพัก นั่งลงข้างโต๊ะอ่านหนังสือ “อี้เป่ยซี หลายวันนี้เธอไม่เป็นไรนะ?”

            อี้เป่ยซีที่จู่ๆ ได้รับความห่วงใยอย่างไม่คาดฝันก็ประหลาดใจ ปกติฟางหมิ่นพูดจาเย็นชา ทำไมวันนี้ถึงได้อ่อนโยนขึ้น “ไม่เป็นไร เธอล่ะ ได้ยินว่าเธอเข้าโรงพยาบาลเหรอ? ตอนนี้ร่างกายเป็นยังไงบ้าง ทำไมดูแล้วยังไม่มีชีวิตชีวาเลย”

            ฟางหมิ่นหัวเราะอย่างอ่อนแรงมากสองครั้ง เธอจะยกมุมปากขึ้นเผยรอยยิ้ม แต่กล้ามเนื้อบนใบหน้ากลับกระตุก ทำอย่างไรก็ยิ้มไม่ออก จึงได้แต่ยอมแพ้ “ไม่มีอะไรดีไม่ดีหรอก ไม่ตายก็นับว่าเป็นบุญแล้ว”

            “ฟางหมิ่น” ถังเสวี่ยมองเธออย่างตำหนิ รู้สึกไม่ชอบใจกับความรู้สึกหดหู่ในคำพูดของเพื่อน ฟางหมิ่นเงยหน้าขึ้นอย่างเชื่องช้า เหลือบมองถังเสวี่ย ความขมขื่นในแววตายิ่งล้ำลึก มือที่ถือแก้วสั่นเบาๆ ของเหลวสองสามหยดกระเด็นใส่เสื้อตัวเอง

            “ฉันรู้แล้ว” เธอดึงทิชชูสองสามแผ่นมาเช็ดน้ำบนเสื้อผ้าของตัวเอง แล้วเช็ดหยดน้ำบนโต๊ะอย่างพิถีพิถัน ทุกขั้นตอนเป็นไปด้วยความเชื่องช้า อี้เป่ยซีมองดูการกระทำและอาการเจ็บป่วยอ่อนแรงของฟางหมิ่นทั้งอย่างนี้โดยไม่ได้พูดอะไร ฟางหมิ่นป่วยหนักเป็นอะไรงั้นเหรอ?

            “เป่ยซี ฉันจะบอกเธอให้ ฝั่งวิจิตรศิลป์มีอาจารย์หล่อมากคนหนึ่งมาใหม่ หล่อมากๆ จริงๆ นะ ได้ยินว่าเป็นคนประเทศ U แหละ”

            อี้เป่ยซีไม่สนใจเรื่องอะไรพวกนี้ เธอพยักหน้า รู้สึกว่าแบบนี้จะทำให้หอพักกลับเข้าสู่ความเงียบงันอีกครั้ง “เอ่อ แล้วเขาชื่ออะไรเหรอ?”

            ถังเสวี่ยหัวเราะอย่างมีเลศนัย “ชื่อของเขาก็เพราะมากด้วย ชื่อเซี่ยเช่อ เซี่ยที่หมายถึงฤดูร้อน เช่อที่แปลว่าใสสะอาด คนก็ช่างเข้ากับชื่อดีจริงๆ อาจารย์คนนั้นดูแล้วก็สะอาดเอี่ยมมากเลยล่ะ”

            “เซี่ย เซี่ยเช่อ”

            “ใช่แล้ว แต่ฉันรู้สึกว่าอาจารย์คนนี้ดูคุ้นตานิดหน่อย แค่นึกไม่ออกว่าเคยเจอเขาที่ไหน” ถังเสวี่ยครุ่นคิดจนสมองแทบแตกเป็นเสี่ยงๆ สีหน้าใช้พลังมากอย่างเห็นได้ชัด

            “เธอว่า คงไม่ใช่เซี่ยเช่อคนนั้นที่ฉันรู้จักหรอกมั้ง”

            “ใช่ๆๆ เซี่ยเช่อคนนั้นแหละ ฉันก็ว่าทำไมเขาถึงคุ้นหน้าขนาดนี้ ที่แท้ก็เคยเห็นที่งานวันเกิดเธอ คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าเขาจะเป็นศิลปิน”

            อี้เป่ยซีหัวเราะแห้งๆ “งั้นวิชาเลือกต่อไปของพวกเราก็ไม่เกี่ยวกับเขาสินะ”

            “จะไม่เกี่ยวได้ยังไง ต่อไปเขานี่แหละที่จะสอนพวกเรา อาจารย์คนก่อนลาหยุดไปแล้ว ได้ยินว่าจะกลับไปคลอดลูก”

            หางตาเธอกระตุก อาจารย์หนุ่มโสดจะลาคลอดอะไรกัน “เอ่อ งั้นต่อไปวิชานั้นก็ไม่สนุกแล้ว” เธอส่ายหน้า ไม่เข้าใจว่าทำเซี่ยเช่อถึงสนใจอยากเป็นอาจารย์สอนในโรงเรียน รู้สึกเหนื่อยกับการออกแบบงั้นเหรอ หรืออยากเปลี่ยนรสชาติ?

            เหตุผลอะไรก็ไม่สำคัญ สุดท้ายอย่าทำให้คะแนนของเธอดูไม่ได้ก็พอแล้ว อี้เป่ยซีพยักหน้าอย่างจริงจังมาก ใช่ นี่แหละคือประเด็นสำคัญ

            “เป่ยซี อาจารย์เซี่ยเขาคุยง่ายหรือเปล่า วิชาเลือกน่ะ เขาคงไม่ปล่อยให้นักศึกษาดรอปกันหลายคนหรอกนะ” ถังเสวี่ยถามอีก

            อี้เป่ยซีส่ายหัว “ทุกอย่างต้องดูอารมณ์ของเขาเลย ถ้าเขาเห็นเธอแล้วไม่ถูกชะตา เรื่องบ้าบออะไรก็หยิบยกขึ้นมาได้ ถ้าเขาอารมณ์ดี ทุกๆ อย่างที่อยู่ตรงหน้าเขาก็จะปล่อยผ่านไปได้ แต่ว่าฉันไม่เคยเป็นนักเรียนของเขา ไม่รู้ว่าเขาโหดหรือเปล่า”

            “หา ฉันดูแล้วอาจารย์เซี่ยน่าจะคุยง่ายซะอีก”

            ถ้าถังเสวี่ยเห็นเขาเผาเสื้อผ้าที่คนอื่นทำมาอย่างยากลำบาก หรือตอนที่เขายัดแป้งเข้าไปในปากอีกฝ่ายแล้วล่ะก็ เธอก็จะไม่คิดว่าเขาเป็นคนพูดง่ายแล้ว

“ที่จริง ส่วนใหญ่แล้วเขาก็ถือว่าคุยง่ายอยู่นะ”

            “เป่ยซี แล้วก็ๆ เธอรู้รึเปล่า คาบของอาจารย์เซี่ยบ่ายนี้น่ะ รุ่นพี่หลานก็กลับมาแล้วด้วย” ดวงตาทั้งคู่ของถังเสวี่ยเป็นประกายแวววาว

            “ว่าไงนะ? วันนี้ก็มีคาบของเขาแล้วเหรอ?”

            “ประเด็นไม่ได้อยู่ตรงนั้นเหอะ”

            ตอนพักเที่ยง อี้เป่ยซีทำอย่างไรก็นอนไม่หลับเพราะเรื่องของฉินรั่วเข่อกับเซี่ยเช่อวนเวียนอยู่ในหัว ดังนั้นเมื่อเธอลืมตาขึ้นมา คนในหอพักก็ต่างเตรียมตัวออกไปเรียนกันแล้ว เธอเก็บข้าวของช้าๆ ยังคงอยู่ในอาการเหม่อลอย จนกระทั่งถึงห้องเรียน ขณะนี้เลยเวลาเข้าเรียนมาสิบกว่านาทีแล้ว เธอค่อยๆ เดินย่อง ต้องการจะเข้าห้องเรียนทางประตูหลัง ชอล์กตกลงมาจากท้องฟ้า หล่นลงบนศีรษะของเธอโดยตรง ห้องเรียนเงียบสงัด เธอกลายเป็นจุดเด่นทันที

            “นักศึกษาคนนี้ เธอมาสายแล้ว” เซี่ยเช่อกอดอกยืนอยู่บนเวทีบรรยาย ยิ้มมองอี้เป่ยซี อี้เป่ยซีรู้สึกแต่ว่าตัวเองไม่มีที่ให้หลบซ่อนตัวอีก เธอยิ้มเก้ๆ กังๆ ในใจรู้สึกสังหรณ์ไม่ดี ตราบใดที่หมอนี่ยิ้มสวยขนาดนี้ จะต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่นอน เธอยอมรับชะตากรรมแล้วเดินไปด้านหน้า

            “อาจารย์คะ ชอล์กของอาจารย์ค่ะ” เธอก้มหน้า ราวกับเด็กนักเรียนประถม

            เซี่ยเช่อรับชอล์กมาจากมืออี้เป่ยซี แล้วเริ่มบรรยายเนื้อหาเมื่อครู่ต่อ อี้เป่ยซียืนทำตัวไม่ถูกเล็กน้อย จะไปก็ไม่ใช่ จะยืนอยู่ตรงนี้ก็ไม่ได้ จนกระทั่งเหลือบไปเห็นที่นั่งว่างข้างๆ หลานฉือเซวียน เธอจึงขยับเข้าไปอย่างระมัดระวัง และนั่งลงข้างเขา

            “เกิดอะไรขึ้น?” หลานฉือเซวียนถามเธอ อี้เป่ยซีส่ายหน้าให้

            “ไม่รู้สิ ใครจะไปรู้ว่าในใจเขาคิดอะไร”

 “ฉันหมายถึงเธอ ก่อนหน้านี้เขาก็บอกแล้วนี่ เธอจะไม่มาก็ได้ แต่ว่าห้ามสายเด็ดขาด”

            “ก่อนหน้านี้ ก่อนหน้านี้ฉันไม่ได้อยู่ที่มหา’ลัย ใช่ว่านายไม่รู้”

            “เกือบลืมไปแล้ว” หลานฉือเซวียนพยักหน้า “เธอกับเป่ยเฉินเกิดอะไรขึ้น ทำไมขังเธอไว้นานขนาดนั้น”

            เธอถอนหายใจ “พูดไปเรื่องมันยาว ไม่เล่าจะดีกว่า แต่ทำไมจู่ๆ นายถึงโผล่มาที่มหา’ลัยล่ะ แถมยังเรียนเซ็คนี้อีก”

            หลานฉือเซวียนมองคนที่อยู่บนเวที หรี่ตาเล็กน้อย “เรื่องนี้จะว่าไปก็ซับซ้อนเหมือนกัน วันหลังค่อยคุยเถอะ”

            “ดูแล้วเซี่ยเช่อยัง…”

            “นักศึกษาอี้เป่ยซี” อี้เป่ยซียังไม่ทันพูดจบก็ถูกเซี่ยเช่อเรียกชื่อ เธอลุกขึ้นยืน ไม่เข้าใจว่าเพราะอะไร

            เซี่ยเช่อกวาดตามองหลานฉือเซวียนแล้วมองเธอ คนที่เขาพามาพูดกับเขาไม่กี่คำ แต่พออยู่กับเธอแล้วกระซิบกระซาบกันขึ้นมาเชียว มือยาวๆ ออกแรงเล็กน้อย “ได้ยินว่าเธอเข้าใจภาพวาดหมึกดี ถ้าอย่างนั้นเธอมาบรรยายตามแนวคิดของพวกเราเมื่อกี้หน่อย”

            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าฟ้าผ่ากลางศีรษะของตัวเอง เธอเข้าใจภาพวาดหมึกอะไรกัน เธอก็แค่รู้สึกชอบเท่านั้นเองนะ เธอหันไป ต้องการจะมองเนื้อหาที่อยู่บนกระดานดำ ขณะที่กำลังเดาว่าแนวคิดเมื่อครู่คืออะไร เซี่ยเช่อก็เอาแปรงลบกระดานลบทุกอย่างจนสะอาดสะอ้านแล้ว เธอมองหลานฉือเซวียนเพื่อขอความช่วยเหลือ คนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยักไหล่อย่างจนปัญญา

            ‘เซี่ยเช่อ นายตั้งใจนี่’ เธอมองคนบนเวทีบรรยายอย่างขุ่นเคือง

            ‘ฉันตั้งใจเองแหละ เธอจะทำอะไรฉันได้’ เซี่ยเช่อเผยยิ้มไม่แยแสเหมือนปกติออกมา กำลังรอคำตอบของอี้เป่ยซีอยู่เงียบๆ

            “คือว่า ที่จริงฉันรู้สึกว่พวกภาพวาดหมึกอะไรนั่น เอ่อ แบบว่ามันคือ ฉันรู้สึกว่าที่จริงมีหลายครั้ง ทำไมจะต้องวัดค่าของความสวยงามในเชิงปริมาณด้วย คิดว่าวาดได้ก็สวยแล้ว ตรงตามมาตรฐานนี้ก็ถือว่าสวยแล้ว แม้ว่าจะมีสิ่งที่เป็นนามธรรม ก็ควรจะมีความยืดหยุ่น และถูกลอกไปดื้อๆ ไม่ได้ เพื่อแสดงความสามารถด้านสุนทรียภาพและคำศัพท์เฉพาะทางอะไรนั่น”

            เธอรวบรวมความกล้าพูดต่อ “ภาพวาดหมึกที่ฉันชอบ ไม่ใช่เพราะศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในยุคโบราณเป็นคนวาด หรือเพราะรสนิยมความงามสุดขั้วอะไร แต่เป็นเพราะความรู้สึกที่มันส่งต่อมาให้ฉัน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันอยู่ในภาพวาดจริงๆ ไม่ใช่แค่ฉากทิวทัศน์ แต่แนวคิดโดยรวมทั้งหมดที่เขาวาดก็ทำให้ฉันรู้สึกถึงมันจริงๆ ทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขและพอใจ”

            เซี่ยเช่อพยักหน้า อี้เป่ยซีจึงค่อยถอนหายใจโล่งอกแล้วนั่งลง หลานฉือเซวียนเหลือบมองเธอด้วยความสับสนเล็กน้อย “นี่คือเหตุผลที่เธอชอบภาพวาดของจื่อจวีหานซื่อ?”

        เธอเผยรอยยิ้มกว้าง พยักหน้าตอบ

………………………..