บทที่ 661 ลมฝน

บัลลังก์พญาหงส์

วันรุ่งขึ้นถาวจวินหลันนึกถึงความเหลวไหลของตนเอง ก็แทบจะขุดหลุมแล้วเอาตัวเองมุดหลบไปในนั้น

 

 

ยังดีที่หลี่เย่ไปราชสำนักตั้งแต่เช้า ทำให้นางรู้สึกประหม่าน้อยลงไปมาก มิเช่นนั้นแล้วนางยอมขาดอากาศตายอยู่ในผ้าห่มยังดีกว่าต้องพบหน้าหลี่เย่

 

 

หลี่เย่คงต้องแอบหัวเราะนางอยู่ในใจเป็นแน่กระมัง? ถาวจวินหลันคิดถึงความเป็นไปได้นี้ ทันใดนั้นก็หน้าเห่อแดงทันที

 

 

หงหลัวเข้าใจความคิดของถาวจวินหลัน จึงไม่กล้าหันไปมองหรือมองไปเรื่อย กว่าจะดูแลปรนนิบัติถาวจวินลุกขึ้นมาได้ คิดแล้วสุดท้ายนางก็ยังถ่ายทอดคำพูดที่หลี่เย่ฝากเอาไว้ “องค์รัชทายาทตรัสว่าเหล้าอีกครึ่งไหที่เหลือให้พระชายาองค์รัชทายาทเก็บไว้รอมาดื่มต่อคืนนี้เพคะ อย่าได้เอาไปดื่มเคนเดียวจนหมดตั้งแต่หัววันเพคะ”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินเช่นนี้ก็ยิ่งขายขี้หน้า นางยังจำได้ดีว่าเมื่อคืนนางเมาได้อย่างไร เหล้าดอกเหมยรสชาติดีมาก จึงไม่คิดว่าตนเองเมา เผลอตัวดื่มไปแล้วกว่าค่อนไห กลับเป็นหลี่เย่ที่ไม่ค่อยดื่มเท่าไรนัก

 

 

ผลคือเหล้าดอกเหมยอกกฤทธิ์แรงจนนางมึนเมา

 

 

ถาวจวินหลันจงใจเปลี่ยนเรื่อง “วันนี้ตอนพวกเราไปทำความเคารพไทเฮา ให้เอาขนมอบเกลียวหอยไปให้ไทเฮาทรงชิมด้วย” ขนมอบเกลียวหอยแน่นอนว่าไม่ใช่หอยแช่เนย แต่เป็นของว่างอย่างหนึ่ง ที่ทำเป็นรูปเกลียวเปลือกหอยเท่านั้น ภายในเป็นไส้เนยผสมกับนม ไทเฮาชอบขนมชนิดนี้มาก

 

 

ไทเฮาเห็นถาวจวินหลันก็อดถามเรื่องกอบกู้ตระกูลถาวไม่ได้ และรั้งให้ถาวจวินหลันร่วมโต๊ะอาหารกลางวัน แล้วถึงได้ปล่อยออกมา

 

 

หลังจากถาวจวินหลันกลับถึงวังตวนเปิ่นถึงรู้ว่าที่จริงแล้วฮองเฮาส่งคนมาเชิญนางรอบหนึ่ง แต่เพราะนางร่วมโต๊ะอาหารกับไทเฮา ดังนั้นคนของฮองเฮาจึงต้องกลับไปก่อน

 

 

ตามปกติแล้วนางควรต้องไปถามฮองเฮาว่าหานางด้วยเรื่องอะไร ไม่ว่าอย่างไรก็ควรต้องไปหาสักครั้ง แต่ตอนนี้นางคิดว่าไม่จำเป็น ไม่ไปนางก็รู้ว่าฮองเฮาจะหานางทำไม ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องไป นางไม่เพียงทำไม่ได้ ยังจงใจหลบเลี่ยงด้วย

 

 

สุดท้ายถาวจวินหลันก็ทำเป็นไม่รู้เรื่อง กลับไปนอนกลางวันเลย รอจนตื่นขึ้นมาก็จัดการกิจในวังหลวงที่ควรต้องทำจนถึงหัวค่ำ

 

 

เวลานี้หลี่เย่เองก็กลับมาแล้ว เพราะนางยังคงรู้สึกผิดกับเรื่องเมื่อวาน ดังนั้นจึงไม่ได้ไปรอรับหลี่เย่ที่หน้าประตู กลับแอบหดคออยู่ในห้องดูสมุดบัญชีที่จวนกิจการภายในส่งมา สมุดบัญชีเหล่านี้ล้วนเป็นรายจ่ายบางส่วนภายในวังหลวง คนที่ไม่มีอะไรทำอย่างนางจึงหยิบขึ้นมาเรียนรู้เรื่องค่าใช้จ่ายภายในวังไปด้วย

 

 

อาจด้วยหลี่เย่เข้าใจความรู้สึกของนาง จึงไม่ได้มาหาเรื่องวุ่นวาย แต่กลับไปหาลูกชายลูกสาวทั้งสองคน รอจนถึงเวลาอาหารเย็นแล้วถึงมา “ถึงเวลาอาหารเย็นแล้ว ไม่ต้องอ่านแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันไม่กล้ามองหลี่เย่ รับคำอย่างไม่เต็มคำ แล้ววางสมุดบัญชีลงเดินตามเขาออกไปข้างนอก

 

 

ไม่รู้ว่าเพราะจงใจหรืออย่างไร ตอนที่หลี่เย่เดินไปถึงหน้าประตู ก็หยุดฝีเท้ากะทันหัน ถาวจวินหลันไม่รู้เรื่องย่อมต้องชนเข้าอย่างจัง จนเจ็บจมูกเล็กน้อย นางเอามือกุมจมูกพลางเอ่ยตำหนิหลี่เย่ “อยู่ดีๆ หยุดทำไมเพคะ?”

 

 

หลี่เย่ช่วยดูจมูกให้นาง เห็นว่าไม่ได้เป็นอะไรมากถึงได้อมยิ้มพูดว่า “ข้าอยากดูว่าเจ้าจะชนหรือไม่ เห็นได้ว่า…”

 

 

ถาวจวินหลันพูดไม่ออกทันที เพียงแค่กลอกตามองเขา เดินตรงออกไป

 

 

หลี่เย่หัวเราะพลางส่ายหน้า คิดว่าตนเองนั้นช่างน่าเบื่อเสียจริง แต่ก็อยากดูปฏิกิริยาของถาวจวินหลัน ริมฝีปากของเขายกขึ้นมาอย่างไม่อาจควบคุมได้ อารมณ์ดีขึ้นอย่างไม่มีต้นสายปลายเหตุ

 

 

พอกินอาหารเย็นแล้ว ถาวจวินหลันกับหลี่เย่ก็พาลูกทั้งสองคนไปเดินเล่นที่สวนดอกไม้เล็กในวังตวนเปิ่น หมิงจูยังเด็กเดินเซไปเซมา หลี่เย่จึงต้องอุ้มเอาไว้ ส่วนซวนเอ๋อร์เหมือนลูกนกที่ออกจากกรง วิ่งไปทางนู้นทีทางนี้ที ไม่ว่าจะเห็นอะไรก็ตื่นเต้นไปหมด

 

 

ถาวจวินหลันก็ไม่สนเขา ไม่ว่าอย่างไรวังตวนเปิ่นก็ไม่สถานที่อันตราย อีกทั้งยังมีคนคอยตามเขาโดยเฉพาะ ไม่จำเป็นต้องกังวล

 

 

ตอนนี้ถาวจวินหลันไม่ได้รู้สึกประหม่าเท่าไรแล้ว นางหันมาต่อว่าหลี่เย่แทน “เมื่อวานนี้ทำไมท่านไม่ห้ามหม่อมฉันเพคะ? ท่านจงใจทำเพราะอยากเห็นเรื่องตลกของหม่อมฉันหรือเพคะ?”

 

 

แววตาของหลี่เย่อบอุ่น อมยิ้มส่ายหน้า “นานครั้งจะอารมณ์ดี เมาบ้างก็ไม่เป็นไร อีกอย่างเหล้าดอกเหมยเมาแล้วก็ไม่ปวดหัว ปล่อยตัวสักครั้งแล้วจะทำไม?” แน่นอนว่าต่อให้มีความคิดเช่นนี้จริง ตอนนี้เขาก็ไม่กล้าพูดมาก ถาวจวินหลันกลอกตามองหลี่เย่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เดินไปอีกครู่หนึ่งหลี่เย่ก็เอ่ยปากพูด “ที่จริงวันนี้ชายแดนส่งข่าวมา ทหารกบฏเหล่านั้นถูกบีบไปจนถึงบริเวณภูเขารกร้างว่างเปล่า สภาพแวดล้อมย่ำแย่ ถือว่าเราได้รับชัยชนะแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันตะลึงไป จากนั้นก็พยักหน้า “นั่นถือเป็นเรื่องดีเพคะ” เช่นนี้ก็ไม่ต้องสู้รบอีก ประชาชนเองก็อยู่เย็นเป็นสุข และราชสำนักก็สามารถวางใจได้ ท้องพระคลังไม่จำเป็นจะต้องเอาเงินออกมาก้อนใหญ่อีก

 

 

แต่นางเห็นหลี่เย่เหมือนจะไม่มีความสุขนัก จึงเริ่มอึดอัดใจ “ทำไมท่านถึงดูไม่มีความสุขเล่าเพคะ”

 

 

“อู่อ๋องถูกลอบทำร้าย” หลี่เย่หัวเราะเสียงเย็น ใบหน้าแฝงความเย็นชา “ถ้าไม่ใช่เพราะลูกน้องไปทันเวลา เกรงว่าอู่อ๋องคงตายอยู่ตรงนั้นแล้ว”

 

 

ถาวจวินหลันได้ยินก็ตกใจจนตัวสั่น “เป็นไปได้อย่างไรเพคะ?”

 

 

“มีหนอนบ่อนไส้” หลี่เย่พูดกระชับได้ใจความ “แต่ข้าสงสัยว่าไม่ได้ต่างจากเหตุการณ์ขององค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อนัก”

 

 

ตอนนั้นองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อถูกคนตลบหลัง ดังนั้นถ้าเป็นเหมือนกัน เช่นนั้นอู่อ๋องก็ต้องถูกคนตลบหลังด้วย ใครที่ต้องการตลบหลังอู่อ๋อง แน่นอนว่าเป็นคนที่กลัวอู่อ๋องสร้างผลงานกลับมา

 

 

หากให้คนอื่นคาดเดา ก็จะต้องทายว่าเป็นหลี่เย่อย่างแน่นอน เพราะอู่อ๋องมีอำนาจ และได้รับการสนับสนุนจากฮองเฮา แม้หลี่เย่เป็นองค์รัชทายาท แต่ก็ต้องระแวงเช่นเดียวกัน และเพราะว่าเขาเป็นองค์รัชทายาท เขาถึงได้มีเหตุผลให้ลงมือ

 

 

ถาวจวินหลันถอนหายใจ “ไม่รู้ว่าตอนนี้มีคนสงสัยท่านมากขนาดไหน”

 

 

หลี่เย่ส่ายหัว “ไม่จำเป็นต้องกังวล คนบริสุทธิ์ย่อมบริสุทธิ์ คนแปดเปื้อนย่อมสกปรก ที่ข้าเป็นกังวลคือจวงอ๋อง”

 

 

ถาวจวินหลันอึ้งไปเล็กน้อย เข้าใจความหมายของหลี่เย่ในทันใด จวงอ๋องสามารถตลบหลังองค์รัชทายาทฮุ่ยเต๋อ แล้วยังตลบหลังอู่อ๋อง เช่นนั้นคนต่อไปที่เขาจะตลบหลังก็ควรจะเป็นหลี่เย่ จวงอ๋องแทบจะตลบหลังองค์ชายทุกคนจนหมดแล้ว เห็นได้ชัดว่าแข็งแกร่งเพียงใด

 

 

จวงอ๋องแข็งกร้าวเช่นนี้ เช่นนั้นหลี่เย่ก็อันตรายแล้ว

 

 

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ถาวจวินหลันก็กังวล “ถ้าเช่นนั้นพวกเราควรทำอย่างไรเพคะ? คงไม่อาจนั่งรอความตายหรอกกระมัง?”

 

 

หลี่เย่ส่ายหน้า “ไม่มีทางอื่น ทำได้แค่รอเท่านั้น อย่างมากก็พยายามเพิ่มการป้องกันให้มากขึ้น แต่หากอยากจับฝ่ายตรงข้ามให้ได้ ก็ไม่อาจเพิ่มป้องกันจนเห็นชัดมากเกินไป“ หากชัดเจนมากเกินไปจนฝ่ายตรงข้ามสังเกตเห็น เช่นนั้นคงไม่ได้ผลลัพธ์โดยไม่ออกแรง

 

 

“ในเมื่ออู่อ๋องไม่เป็นอะไร คิดว่าน่าจะกลับเมืองหลวงมาได้กระมัง?” ถาวจวินหลันมองหมิงจูที่อยู่ในอ้อมกอดหลี่เย่ เห็นนางตาปรือง่วงงุน จึงแสดงท่าทีให้หลี่เย่ลดเสียงพูด พลางค่อยๆ กระชับผ้าคลุมให้นางอย่างเบามือ

 

 

หลี่เย่เปลี่ยนท่าด้วยความเอ็นดู ให้หมิงจูได้นอนหลับสนิทยิ่งขึ้น ปากก็ตอบว่า “อืม ทัพทหารที่ออกไปนั้นกลับราชสำนักมาแล้ว คิดว่าอีกเดือนหนึ่งก็น่าจะถึง”

 

 

“ถ้าเช่นนั้นเมื่อถึงเวลานั้น เมืองหลวงคงต้องวุ่นวายอีกระยะหนึ่งเลยนะเพคะ” ถาวจวินหลันหัวเราะออกมา ไม่ได้กังวลเท่าไรนักว่าอู่อ๋องกลับมาแล้วจะสั่นคลอนตำแหน่งของหลี่เย่ ตอนนี้หลี่เย่องค์รัชทายาทคนนี้ยังได้ใจประชาชนเป็นอย่างมาก

 

 

หลี่เย่ก็หัวเราะ “ฮองเฮามีความสุขที่สุด”

 

 

“ที่น่าเสียดายก็คืออย่างไรนั่นก็ไม่ใช่ลูกชายแท้ๆ ของนาง จิ้งเฟยยังมีชีวิตอยู่ดีกินดีเพคะ” ถาวจวินหลันพูดแฝงนัย ผ่านไปครู่หนึ่งก็ถอนหายใจ “เมื่อไรเรื่องเหล่านี้จะจบลงเสียที”

 

 

“ใกล้แล้ว” หลี่เย่เองก็ถอนหายใจเช่นเดียวกัน

 

 

ถาวจวินหลันหัวเราะขมขื่น แต่ไม่ได้รู้สึกเช่นนั้น ยืนอยู่จุดกลางของอำนาจ ชีวิตของนางและหลี่เย่คงไม่สงบสุขอีกแล้ว ถึงเวลานั้นไม่ใช่เรื่องนี้ก็เป็นเรื่องอื่นอยู่ดี

 

 

ไม่เช่นนั้นจะพูดกันว่าเป็นฮ่องเต้นั้นเหนื่อยได้อย่างไร?

 

 

“ทางด้านองค์หญิงเก้า ท่านคิดจะจัดการอย่างไรเพคะ? เรื่องที่กู้ซีทำ ท่านคิดจะปิดบังเอาไว้หรือว่า…” ถาวจวินหลันมองหลี่เย่พลางถามอย่างลังเล

 

 

หลี่เย่ส่ายหัว “คงจะยังไม่พูด จดบัญชีแค้นครั้งนี้เอาไว้ก่อน”

 

 

ถาวจวินหลันไม่ได้คิดว่าหลี่เย่ทำเพื่อปกป้องกู้ซี นางรู้ดีแก่ใจว่านี่ทำเพื่อไทเฮาและภาพรวม “ตอนนี้พระวรกายของไทเฮายังถือว่าพอใช้ได้ แต่นั่นก็เป็นเพราะไทเฮาปล่อยวาง ไม่โกรธแค้น หากบอกความจริงเหล่านี้กับไทเฮา เกรงว่าไทเฮาคงกริ้วจนอาการกำเริบเพคะ”

 

 

ตอนนี้นางได้พบไทเฮาบ่อยครั้งย่อมต้องเห็นความแก่ชราของไทเฮาชัดเจนมากกว่าเคย จึงยิ่งอยากให้ไทเฮามีความสุข อย่างน้อยไทเฮาจากไปก็จะไม่เสียดายมากนัก

 

 

หลี่เย่พยักหน้า จับมือของถาวจวินหลันเอาไว้เงียบๆ ทั้งสองคนเดินเคียงกันไปตามทางข้างหน้า

 

 

“แต่ก็ยังต้องตักเตือนนะเพคะ” ถาวจวินหลันพูดเบาๆ น้ำเสียงกลับไม่ได้คิดให้ปรึกษากัน “มิเช่นนั้นจะปล่อยให้เป็นเช่นนี้ต่อไป ทำซ้ำๆ กันคงไม่มีใครรับไหวทั้งนั้นเพคะ วันพรุ่งนี้ข้าจะไปพบนาง”

 

 

หลี่เย่ส่งเสียงรับคำ จากนั้นก็พรู้สึกผิด “ลำบากเจ้าแล้ว” ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไม่ยอมพูดความจริง ถาวจวินหลันก็ไม่จำเป็นต้องทุ่มเทเรี่ยวแรงเช่นนี้

 

 

“ลำบากอะไรกันเพคะ?” ถาวจวินหลันยิ้มสดใส มองหลี่เย่อย่างตำหนิ พูดอย่างจริงจัง “หม่อมฉันเป็นภรรยาของท่าน สมควรทำเรื่องพวกนี้เพื่อท่านอยู่แล้ว”

 

 

หลี่เย่ก็ยิ้ม แต่มือกลับออกแรงเล็กน้อย กระชับมือของนางให้แน่นมากยิ่งขึ้น

 

 

หลังจากนั้นทั้งสองคนก็ไม่ได้พูดอะไรกันอีก เพียงแค่เดินไปข้างหน้าเงียบๆ แต่ใจของทั้งสองคนนั้นเต็มไปด้วยความอบอุ่นจางๆ เหมือนว่าเสี้ยววินาทีนี้คือนิรันดร์ และลมพายุที่กรรโชกแรงข้างหลังนั้นก็ไม่ได้แรงอีกแล้ว

 

 

วันรุ่งขึ้นหลังจากถาวจวินหลันกินข้าวเช้าเสร็จก็ตรงไปที่วังของกู้ซีด้วยตนเอง ข้ออ้างที่ใช้คือไปเยี่ยมองค์ชายเก้า อย่างไรองค์ชายเก้าก็เคยถูกเลี้ยงที่วังนางมาก่อนชั่วหนึ่ง จะผูกพันกันก็ถือเป็นเรื่องสมเหตุสมผล ดังนั้นใช้ข้ออ้างนี้ก็ไม่มีใครสงสัยอะไรแล้ว