บริเวณส่วนลึกของเนินเขานอกเมือง เป็นเวลาที่ดวงจันทร์อยู่กลางฟ้าพอดี
ตอนนี้ เสียงแมลงและสายลมในลำธารภูเขาผสมไปกับเสียงฝีเท้า…เสียงฝีเท้าของเซียงหลิ่วและยังมีเสียงอะไรบางอย่างถูกลากมาด้วย
เซียงหลิ่วเดินเข้าไปในถ้ำดูลึกลับแห่งหนึ่งและค่อยๆ เดินเข้าไปในส่วนลึกของถ้ำ ในนั้นมีตัวอักษรที่เปล่งประกายสีทองอยู่เต็มไปหมด
เดิมทีพวกมันควรจะเป็นสีทอง แต่ตอนนี้กลับดูมืดทึบลงและเหมือนจะจางหายไปได้ตลอดเวลา
ที่นี่เป็นจุดผนึกจุดที่หนึ่ง
แต่เห็นได้ชัดว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่เซียงหลิ่วคนเดียว ยังมีอีกคน: ผู้ชายในชุดลำลอง แต่มีสีหน้าอมทุกข์
ท่าทางเหมือนมีอายุราวๆ สามสิบปี เส้นผมสีดำค่อนข้างบางมัดรวบเอาไว้ด้านหลัง
ผู้ชายคนนั้นนั่งพิงอยู่ที่ผนังโอบกอดของบางอย่างที่เรียวยาวและถูกปกคลุมด้วยผ้า…เหมือนกับกระบองหรืออะไรสักอย่าง
เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า ผู้ชายคนนั้นก็ลืมตาขึ้นมา เขาไม่ได้กลัวเซียงหลิ่ว และไม่ได้กลัวของที่เซียงหลิ่วใช้กรงเล็บทั้งสองข้างหิ้วมา มือซ้ายขวาของเซียงหลิ่วลากปีศาจมาด้วยข้างละตัว
ดูจากท่าทีแล้วอ่อนแอมาก แต่ยังไม่ถึงขั้นตาย
ผู้ชายคนนั้นเอ่ยว่า “ฉันเคยพูดแล้วว่าก่อนที่ผนึกจะกัดกร่อนเสร็จในเร็วๆ นี้ นายไม่ควรเดินเพ่นพ่าน”
เซียงหลิ่วปล่อยปีศาจในมือ แล้วนั่งลง จากนั้นเขาก็ฉีกแขนข้างหนึ่งของปีศาจตัวหนึ่งออกมาจนกระดูกแตกและเลือดสาดกระเซ็น
เซียงหลิ่วอ้าปากกัดแขนชุ่มเลือดข้างนั้น เคี้ยวไปด้วยพูดไปด้วยว่า “ก็ข้าหิว”
ผู้ชายคนนั้นพูดว่า “ความหมายของฉันก็คือ ไม่ให้นายยุ่งกับปีศาจสาวที่นายยุ่งด้วยก่อนหน้านี้ ฉันไม่อยากให้แผนการมีจุดบอดอีก”
เซียงหลิ่วหรี่ตาลง “เอ๋? ซูจื่อจวินถูกเจ้าแทงทะลุร่างแล้วมิใช่หรือ? อย่างไร เจ้าไม่มั่นใจในตนเองงั้นหรือ? ครั้งก่อนไม่รู้ว่าใครช่วยนาง…ซูจื่อจวินถึงหนีไปได้ ข้าไล่ตามไปโจมตีต่อนั้นผิดด้วยหรือ?”
ผู้ชายคนนั้นพูดอย่างเรียบเฉยว่า “ก็เหมือนกับที่นายพูด ว่ามีคนแอบช่วยคนที่นายเรียกองค์หญิงนั่น แต่ถึงตอนนี้พวกเราก็ยังไม่รู้ว่าเป็นใคร”
เซียงหลิ่วพูดอย่างไม่ใส่ใจว่า “ถึงแม้เจ้านั่นจะช่วยซูจื่อจวินหนีไปได้ แต่สุดท้ายก็ถูกเจ้ายิงโดนแล้วมิใช่หรือ? ถึงไม่รู้ว่ามีที่มาอย่างไร แต่หากมีกำลังพอก็คงไม่หลบ ทั้งยังถูกเจ้ายิงโดนอีก อาจจะตายอยู่ที่ไหนสักแห่งแล้วก็ไม่รู้”
ผู้ชายคนนั้นกลับพูดว่า “อะไรก็เกิดขึ้นได้ หากไม่เห็นด้วยตาตนเอง ฉันจะไม่ยอมตัดสินว่าศัตรูตายไปจริงๆ อีกอย่าง หากนับองค์หญิงปีศาจที่นายพูดถึง อย่างน้อยพวกเราก็พบกับศัตรูสองคนแล้ว…หรืออาจจะสามคน เซียงหลิ่ว นายได้รับบาดเจ็บแล้วใช่ไหม”
เซียงหลิ่วเพียงแต่อ้าปากกว้างกัดแขนปีศาจข้างนั้นโดยไม่พูดอะไร
เขาไม่เคยต่อสู้กับซุนเสี่ยวเซิ่ง และอีกฝ่ายก็ปรากฏตัวหลังจากที่เขาถูกขับไล่ออกมาแล้ว…อีกอย่างเขาก็ไม่คิดว่าเขาจะพบปะกับซุนเสี่ยวเซิ่งในเมืองนี้
แต่เรื่องที่เขาเสียเปรียบเพราะเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องจริง…เจ้าลิงที่มีที่มาไม่ชัดเจนตัวนี้ ดูเหมือนจะยุ่งยากกว่าที่เขาคิดเอาไว้
แต่เซียงหลิ่วเป็นคนที่หากมีแค้นต้องชำระ แม้จะเป็นเพียงแค้นจากคำพูดก็ช่าง…
หลังจากเขากลืนแขนทั้งข้างลงไปแล้วถึงได้มองผู้ชายคนนั้นอย่างเย็นชา “คุก ไม่ใช่เพราะคนของเจ้าหรอกหรือที่ไม่มาตามสัญญาเสียที เรื่องนี้ถึงได้ล้าช้าอยู่อย่างนี้? หากคนตามที่เคยสัญญากันไว้มาครบ จะต้องรอถึงตอนนี้และเกิดเรื่องให้กังวลใจมากมายอีกทำไม?”
ผู้ชายคนนั้น…คุกเอ่ยอย่างเรียบเฉยว่า “ฉันก็พูดแล้ว มีคำสั่งจากสมาคมให้หยุดการเคลื่อนไหวและหลบซ่อนตัวชั่วคราว ตอนนี้ถ้าไม่ใช่เพราะนายเคลื่อนไหวโดยพลการ พวกเราอาจจะไม่ต้องระมัดระวังขนาดนี้”
เซียงหลิ่วยิ้มเยาะขึ้น “ให้รอต่อไปงั้นหรือ? ล้อเล่นหรือไงกัน? ไม่รู้ว่าเพราะอะไรหลงซีรั่วถึงจากไป และข้าก็ไม่ไม่จำเป็นต้องรู้! แต่นี่ก็เป็นโอกาสดี! พวกเจ้าไม่รู้จักความน่ากลัวของหลงซีรั่ว!”
“มังกรที่แท้จริงของแผ่นดินเทพ สมาคมบันทึกเอาไว้ว่าอย่าไปยุ่งโดยพลการ” คุกเอ่ย “ฉันไม่เคยดูแคลนศัตรูคนไหน แต่ก็อยากลองว่าหอกของฉันจะแทงทะลุเธอได้ไหม”
“หวังแต่เจ้าคงไม่ถูกกรงเล็บของนางฉีกขาดเสียก่อน” เซียงหลิ่วยิ้มเยาะ
คุกหลับตาลง
แต่ก่อนจะหลับตา เขาก็พูดประโยคสุดท้ายว่า “เซียงหลิ่ว สมาคมไม่พอใจกับการเคลื่อนไหวของนายในครั้งนี้มาก สิ่งที่นายได้รับจากสมาคมนั้นมากพอแล้ว…หากครั้งนี้ล้มเหลวแล้วละก็ สมาคมให้ฉันบอกนายว่า พวกเราจะเอาของที่ลงทุนในตัวนายกลับคืนมา”
เซียงหลิ่วหรี่ตามองคุก แล้วเอ่ยถามขึ้นทันใดว่า “สมาคมของพวกเจ้ากำลังหวาดกลัวอะไรกันแน่? ทำไมเพียงแค่คืนเดียวถึงเลือกหดตัวอยู่ในกระดองอย่างกะทันหัน ทั้งยังหยุดกิจกรรมตั้งมากมาย?”
คุกไม่ได้ลืมตามาพูดกับเขาอีก
เซียงหลิ่วจึงไม่ได้รับคำตอบ
เขาได้แต่กลืนกินร่างกายที่เหลือของปีศาจต่อ
ตัวอักษรสีทองที่เปล่งประกายอยู่บนผนังในถ้ำมืดทึบลงเรื่อยๆ
ไม่นานเซียงหลิ่วก็กินร่างที่เหลือของปีศาจสองตนจนเสร็จ และทิ้งของบางส่วนลงไปยังหลุมในถ้ำ
ในนั้นดูเหมือนจะมีของบางอย่าง…กำลังค่อยๆ ขยับเคลื่อนไหว
เซียงหลิ่วหรี่ตาลงพิจารณาดูของที่อยู่ในหลุมและยิ้มเยาะพูดว่า “เทคโนโลยีนี้ของสมาคมไม่เลวจริงๆ…รีบพัฒนาขึ้นมาเร็วๆ เถอะ”
ภายในหลุมมีแสงนับสิบจุด…เป็นเหมือนดวงตาเป็นดวงๆ
อาศัยแสงวาววาบที่ส่องออกมาจากตัวอักษรสีทองก็สามารถมองเห็นภายในหลุมได้เล็กน้อย…เป็นของเหลวเหนียวสีแดงเข้ม
พวกมันเบียดคลุมเต็มทั้งหลุม
ตรงกลางของของเหลวเหล่านี้มีของที่ดูเหมือนก้อนเนื้อขนาดใหญ่…บนก้อนเนื้อนั้นมีชิ้นส่วนที่ดูแปลกประหลาดอยู่มากมาย
มีมือแล้วก็มีขา ทั้งยังมีของที่ดูคล้ายเขาสัตว์…แต่ก็มีใบหน้าที่แตกต่างกัน
มากมาย
…
…
นี่เป็นการ…ยุ่งเรื่องไม่เป็นเป็นเรื่องหรือไม่?
หลีจื่อพิจารณาดูดวงจันทร์ที่ไม่เต็มดวงสักเท่าไรดวงนี้และซ่อนตัวอยู่ในซอกหญ้าใต้ต้นไม้ใหญ่…เธอไม่รู้ว่าที่นี่ห่างจากเขตเมืองมาไกลแค่ไหน
แต่ถึงจะรู้ก็ไม่มีแรงเดินไปอยู่ดี
หลีจื่อก้มลงมองหน้าอกของตนเองโดยไม่รู้ตัว ตรงนี้มีบาดแผลที่ไม่สามารถหายขาดได้อยู่อันหนึ่ง อีกทั้งยังคร่าชีวิตของเธอไปเรื่อยๆ
ทำไมถึงเป็นเช่นนี้ได้?
เป็นตอนที่กำลังผ่อนคลายอยู่ในเอลิเซียมบาร์นั้น กำลังเบื่อๆ ก็มองไปเห็นปีศาจหนูตนหนึ่งกำลังคุยกับบาร์เทนเดอร์อย่างลับๆ ล่อๆ รู้สึกสนใจขึ้นชั่วขณะจึงตามมาดู…สุดท้ายเงาร่างของปีศาจหนูตนนั้นกลับหายไปตรงนี้
วนหาตั้งนานก็ไม่พบอะไร สุดท้ายก็พบกับปีศาจสองตนที่มีพลังปีศาจอันน่ากลัวต่อสู้กันอยู่ที่นี่
“คงยุ่งเรื่องไม่เป็นเรื่องเข้าแล้วจริงๆ” หลีจื่อถอนหายใจ เพียงเพราะเห็นอีกฝ่ายถูกอีกฝ่ายลอบโจมตีแล้วไม่ชอบใจ จึงลงมือช่วยเท่านั้นเอง
ผลสุดท้ายกลับทำให้ตนเองเป็นแบบนี้ สำหรับเจ้าคนที่ถูกช่วยกลับหนีไปในทันที…ดูเหมือนเนื้อเรื่องจะผิดจากบทไปสักหน่อย
ควรจะหนีไปก่อนแล้วก็ลอบกลับมาตรวจสอบ จากนั้นก็จะพบกับตนเองและซาบซึ้งจนคิดหาวิธีช่วยเหลืออาการบาดเจ็บของตนเองสิ?
“ฉันไม่อยากตายในสภาพที่สวมชุดอย่างนี้…”
หลีจื่อมองกางเกงรัดรูปกับเสื้อกล้ามตัวเล็ก…โธ่เอ๊ย
นี่ไม่เหมือนท่วงท่าก่อนตายที่เธอคิดเอาไว้เลย
เธอหวังเอาไว้ว่าจะต้องมีสักวันที่ตนเองสามารถสวมกระโปรงสีขาว ล้มตัวนอนลงบนพื้นหิมะอันนุ่นนวล อาจจะเป็นตอนกลางวันหรือตอนกลางคืนก็ได้ หลังจากที่ได้นอนบนพื้นหิมะมองโลกนี้เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว เธอถึงจะจากไป
“เอาเถอะ เป็นแบบนี้ละกัน…”
ไม่มีครอบครัว
ไม่มีเพื่อน
แต่ไหนแต่ไรมาก็มีเธอเพียงคนเดียว
ดูเหมือนว่าหากได้จากไปอย่างสงบในสถานที่ที่ไม่มีคนหรือสถานที่ที่ไม่มีใครพบเห็นก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวทางหนึ่ง
“ถือว่าฉันได้ลาพักร้อนยาวโดยไม่มีจุดกำหนดก็แล้วกัน…” หลีจื่อค่อยๆ หลับตาลง “ถึงอย่างไร…ไม่นานก็…ลืมเอง”
เธอรู้สึกหนาวเย็น
นี่เป็นครั้งที่สองที่เธอรู้สึกหนาวเย็นนับตั้งแต่เกิดขึ้นมา
ที่แท้ตอนกำลังจะตายก็หนาวเย็นแบบนี้ได้
เธอหนาวเย็นถึงขีดสุด แต่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยนเป็นอบอุ่นขึ้นมา…เป็นความอบอุ่นในจิตใจไม่ใช่ร่างกาย
เพราะเธอรู้ว่าร่างกายของเธอไม่เคยมีความร้อน แม้คนธรรมดาจะสัมผัสได้แต่ก็เป็นเพียงสิ่งลวงตา
แต่เธอยังคงสัมผัสได้ถึงของที่แตกต่างจากความหนาวเย็น…ในเมื่อแตกต่าง เช่นนั้นมันคือความอบอุ่น…ใช่ไหม?
ยังมีกลิ่นหอมลอยมาจากไหนสักแห่ง กลิ่นหอมอ่อนๆ
สบายจังเลย…
…
“ฉันไม่อยากได้ยินคนมาถึงบ้านแล้วบ่นว่าเหนื่อยจะตาย แล้วงอแงหนีออกจากบ้านทุกวันหรอกนะ…”
มีใคร…กำลังพูดอยู่?