ติดตามการแจ้งเตือนตอนใหม่ที่แฟนเพจ

Facebook Fanpage กดเลย

••••••••••••••••••••

นิยายอื่นที่ทางค่ายแปล

สารบัญ ARK

สารบัญ อาณาจักรวิญญาณ

••••••••••••••••••••

บทที่****217: สถานการณ์ที่เต็มไปด้วยอันตราย

หลังจากที่ซ่งจงกล่าวเช่นนั้น เขารู้สึกว่าบรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด เขารีบหันมองทุกคนทันทีและพบว่านอกจากมู่ซื่อหรงแล้ว ทุกคนนั้นใบหน้าซีดขาว พวกเขาจ้องมองอินทรีย์ขาวราวกับว่ามันเป็นสัญลักษณ์แห่งความตาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งตาเฒ่าพิษที่แสดงความขี้ขลาดออกมาอย่างไม่อาจเก็บไว้ได้ เขากลัวจนร่างกายสั่นไหวและเริ่มพึมพำกับตนเอง “พวกเราต้องตายอย่างแน่นอน เวลาตายของพวกเรามาถึงแล้ว!”

แม้ว่าซูหยู่และซูหยุนจะไม่ขลาดเขลา ทว่าใบหน้าของพวกนางนั้นหมดหวังและซีดขาว แม้แต่หินผู้ที่ไม่เคยสนใจสิ่งใด ใบหน้าของเขายังมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่แย่

แม่มดเปลือยกายก็เช่นกัน ใบหน้าของนางนั้นบิดเบี้ยวจนน่าเกลียด จากนั้นนางกัดฟันพร้อมปาอาหารลงบนพื้น “เรื่องราวทั้งหมดที่จบลงเช่นนี้ จะกล่าวโทษข้าไม่ได้!” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตกใจไปชั่วขณะ เขาคิดว่าแม่มดเปลือยกายต้องการจะต่อสู้กับเขาในเวลาเช่นนี้ มู่ซื่อหรงนั้นแกว่งดาบของตนไปมาพร้อมกับจ้องมองแม่มดเปลือยกาย

แต่แม่มดเปลือยกายนั้นไม่มีเจตนาที่จะโจมตี จากนั้นนางถอยไปหนึ่งก้าวพร้อมกับทุบหน้าอกตนเองด้วยมือทั้งสอง เกิดเสียงดังสนั่น นางพ่นเลือดออกมาก้อนใหญ่ เมื่อซ่งจงและมู่ซื่อหรงเห็นดังนั้น พวกเขางุนงงและไม่รู้ว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกันแน่ เหตุใดนางจึงต้องทรมานตนเองเช่นนั้น? หรือนี่สามารถเพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของตนเองได้?

ทั้งหมดเข้าใจสถานการณ์อย่างรวดเร็ว หลังจากที่แม่มดเปลือยกายได้พ่นเลือดออกมา นางเรียกใช้งานเวทมนตร์ด้วยโลหิต จากนั้นนางใส่ปราณจิตวิญญาณลงไปพร้อมตะโกนออกมา “ร่างเงาหมื่นโลหิตเร้นกาย!”

ตามด้วยเสียงของนาง แม่มดเปลือยกายถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีแดงเข้มและหายไปในพริบตา

ซ่งจงและมู่ซื่อหรงตกใจทันที พวกเขาเคยได้ยินชื่อร่างเงาหมื่นโลหิตเร้นกายมาก่อน ซึ่งมันเป็นมาตรการสุดท้ายในการหนีเอาชีวิตรอด มันสามารถส่งคนผู้หนึ่งหลบหนีไปได้ไกลกว่าหมื่นลี้ แต่ว่ามันจะเป็นอันตรายอย่างมาก แม้ว่าแม่มดเปลือยกายจะเป็นผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิขั้นสุดท้าย นางจะต้องล้มป่วยเป็นเวลาครึ่งปีและใช้เวลาหนึ่งปีเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย นอกจากนั้นนางยังต้องล่าช้าในการเข้าสู่ระดับจินตันไปร่วมทศวรรษ ในตอนนี้เป็นเวลากลางวันและไม่มีอันตรายใดนอกจากเหล่าอสูรกายขั้นสี่ที่อยู่รอบ ๆ อีกทั้งพวกมันทั้งหมดถูกกำจัดแล้วและนาวายักษ์สามารถพาทุกคนเดินทางได้อย่างรวดเร็วและปลอดภัย ทำไมนางจึงต้องหนีไป? ซ่งจงและมู่ซื่อหรงต่างพากันงุนงงโดยสมบูรณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้

ตาเฒ่าพิษที่เห็นเช่นนั้นได้แต่สาปแช่งออกมาอย่างช่วยไม่ได้ “นังสารเลว เป็นถึงหัวหน้าทีมแต่กลับหนีเอาตัวรอด!”

เมื่อซูหยุ่นและซูหยู่ได้ยินเช่นนั้น อดไม่ได้ที่จะกล่าวออกมาอย่างขื่นขม “ถ้านางยังอยู่ มีแต่นางจะตายตกไปกับพวกเราเท่านั้น การหลบหนีไปนั้นดีกว่าที่จะมาตายตรงนี้ ถูกไหม? น่าเสียดายสำหรับศิษย์น้องซ่งและศิษย์น้องมู่ นี่เป็นเพียงภารกิจแรกเท่านั้นและทั้งสองต้องมาตายในทะเลตะวันออก ช่างน่าสงสารจริง ๆ!”

“อะไรกัน?” เมื่อซ่งจงได้ยินเช่นนั้น เขาตอบกลับอย่างมึนงง “เกิดอะไรขึ้น? ทำไมพวกเราจะต้องตาย? ใครสามารถอธิบายข้าได้บ้าง?”

“เฮ้อ!” หญิงสาวทั้งสองถอนหายใจพร้อมกับมองไปที่อินทรีย์ขาว “เจ้าเห็นอินทรีย์ขาวตนนั้นไหม? มันคือราชันเหยี่ยวฟ้า เหลยซานเอ๋อ เมื่อเขามาถึงที่นี่ เราทั้งหมดจะตาย!”

“อะไรกัน?” ซ่งจงกล่าวอย่างขื่นขม “ข้าขอถามหน่อยใครคือราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ? ช่วยกล่าวให้มันชัดเจนหน่อยได้ไหม?”

“อา ต้องขออภัย ข้าลืมไปว่าเจ้าเพิ่งมาถึงทะเลตะวันออก ข้าลืมไปสนิท ข้าจะอธิบายให้เจ้ารู้ก่อนตายแล้วกัน!” ซูหยู่และซูหยุ่นอธิบาย “เรื่องมันเป็นเช่นนี้!”

เมื่อฟังซูหยู่และซูหยุ่นอธิบายข้อมูลต่าง ๆ เหล่าอสูรกายในทะเลตะวันออกนั้นไม่ได้กระจัดกระจายกันอยู่ เหล่าอสูรกายระดับสูงโดยเฉพาะขั้นหกขึ้นไป สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้และมีความเฉลียวฉลาดไม่ต่างจากมนุษย์ เมื่อเวลาผ่านไปมันสร้างเขตแดนของตนเองขึ้นมาและเรียกว่าจักรววรดิทะเลตะวันออก

เกี่ยวกับเขตนี้ มนุษย์รู้จักมันแค่ชื่อเท่านั้น พวกเขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับจำนวนของพวกมัน ใครเป็นคนปกครองหรือโครงสร้างใดๆ สิ่งเดียวที่รู้ก็คือเขตแดนของมัน นอกจากนี้เหล่าอสูรกายทุกคนยังเป็นประชากรของพวกมันด้วย

ดังนั้นเมื่อประชากรของพวกมันมากมายเกินไป พวกมันจึงเกิดความขัดแย้งภายในขึ้นและเริ่มบุกเข้ามาในเขตแดนของมนุษย์

จากนั้นเมื่อผู้ฝึกตนได้รวมกลุ่มขึ้นมาเพื่อจัดการกับพวกมัน จึงจัดตั้งเป็นกลุ่มพันธมิตรทะเลตะวันออก อีกทั้งยังมีกองกำลังเพื่อเฝ้าระวังพวกจักรวรรดิทะเลตะวันออกตรงเขตแดนอีกด้วย แต่ทางฝั่งของอสูรกายก็มีทีมเฝ้าระวังเช่นกัน พวกมันไม่ได้มีจำนวนมากแต่เต็มไปด้วยความแข็งแกร่ง เมื่อพวกมันเริ่มต่อสู้มักเทียบเท่ากับกองกำลังหลายร้อยหรือพัน

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับกองกำลังเช่นนี้ ทางกลุ่มพันธมิตรนั้นไม่อาจรับมือได้ไหว ดังนั้นสิ่งที่ดีที่สุดก็คือการไม่พบเจอกับพวกมัน หากทีมใดต้องพบเจอพวกมัน สิ่งเดียวที่ทำได้คือการวิ่งหนี ในบางครั้งพวกเขาไม่มีโอกาสแม้แต่จะหลบหนี โชคดีที่เหล่าอสูรกายเหล่านี้นั้นมีความขี้เกียจอย่างมากและจะไม่ยอมออกจากเขตแดนของตนเอง และโอกาสที่ทีมนักล่าจะพบเจอกับพวกมันก็ไม่ได้สูงมากนัก ดังนั้นทีมพันธมิตรทะเลตะวันออกก็คงออกล่าอสูรกายกันตามปกติ

อย่างไรก็ตาม พวกมันนั้นชอบออกมาเที่ยวเล่นอยู่เสมอในบางครั้ง อย่างเช่นในสถานการณ์ครั้งนี้ ทีมที่ต้องพบเจอกับความโชคร้ายทำได้เพียงโทษตนเองเท่านั้น แต่ว่าอสูรกายเหล่านั้นเป็นกองทัพขนาดใหญ่ พวกมันเคลื่อนไหวได้ช้า ผู้ฝึกตนจึงมีโอกาสที่จะหลบหนีได้

อย่างไรก็ตาม มีบางตนที่ผิดปกติไปจากพวก เมื่อมันพบกับผู้ฝึกตนแล้วเป็นไปไม่ได้แม้ว่าจะหลบหนี ราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อที่เจ้าอ้วนได้พบคือหนึ่งในนั้น ราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อนั้นเป็นอสูรกายขั้นห้า แต่ความบังเอิญของมันก็คือมันพบกับถ้ำของผู้ฝึกตนและกินยาอายุวัฒนะของเขาจนหมด จากนั้นมันเข้าใจเคล็ดการฝึกฝนอย่างลึกซึ้ง ราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อจึงเป็นอสูรกายขั้นห้าที่สามารถแปลงกายเป็นมนุษย์ได้และนางเป็นหญิงสาววัยสิบกว่าที่งดงามอย่างยิ่ง

แน่นอนแม้ว่านางจะเปลี่ยนโฉม แต่ความเป็นเหยี่ยวของนางนั้นไม่ได้เปลี่ยนไป ทุกที่ที่นางได้เดินทางไป นางมักจะอยู่ในกองทัพขนาดใหญ่ มันคือนกอินทรีย์นับหมื่นตัวที่บินอยู่บนทองฟ้า แน่นอนว่าจำนวนของมันเพียงพอที่จะบดบังทุกอย่างบนฟ้าได้

อินทรีย์สายฟ้านั้นมีความสามารถพิเศษสองอย่าง หนึ่งพวกมันมีสายฟ้าอยู่ในร่างกายของตนเอง เมื่อเวลาต่อสู้สายฟ้าจะถูกยิงออกมาจากปีกของมัน เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอินทรีย์สายฟ้าเพียงตัวเดียว ไม่ถือว่าอันตราย แต่การที่พวกมันรวมตัวกันและยิงสายฟ้าออกมาดั่งเช่นห่าฝน สถานการณ์คงไม่ต่างอะไรจากวันสิ้นโลก แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับหยวนหยินก็ไม่อาจต้านทานอินทรีย์สายฟ้านับหมื่นตัวได้ สองก็คือความเร็วในการบินของมันซึ่งไม่อาจหาที่เปรียบได้ พวกมันบินได้เร็วเทียบเท่ากับผู้ฝึกตนระดับจินตัน ดังนั้นถ้าหากผู้ฝึกตนระดับปฐมภูมิถูกค้นพบโดยราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ แน่นอนว่าจะไม่มีโอกาสหนีรอดไปได้

ดั่งเช่นซ่งจงและทีมของเขาในตอนนี้ แม้แต่แม่มดเปลือยกายยังต้องใช้วิชาต้องห้ามเพื่อหลบหนี ส่วนคนที่เหลือทำได้เพียงยืนรอความตายเท่านั้น ซึ่งความเร็วของนาวายักษ์ก็ไม่อาจหลบหนีเงื้อมมือของอินทรีย์สายฟ้าได้ ความเร็วของดาบบินที่พวกเขามีนั้นก็ไม่ได้ช่วยให้ความตายนั้นช้าลงแต่อย่างใด นอกจากนี้ทุกคนยังอยู่ในสภาพที่สิ้นหวังและไม่คิดที่จะหลบหนีเลย

หลังจากที่ซ่งจงและมู่ซื่อหรงได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองเข้าใจทันทีว่าทำไมแม่มดเปลือยกายจึงหนีเอาตัวรอดไป หลังจากที่เขาเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด เขาได้แต่ก่นด่าออกมาอย่างอดกลั้น “นังเพศยา ในฐานะผู้นำ นางไม่เพียงแต่ไม่ต่อสู้ร่วมกับพวกเรา แต่ยังกล้าที่จะหนีรอดไปคนเดียว นี่มันตัวอะไรกันแน่ ถ้าหากข้ามีชีวิตกลับไป แน่นอนว่าข้าจะต้องสั่งสอนบทเรียนให้กับนาง!”

เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น สายตาของพวกเขากรอกกลิ้งไปมา เพราะไม่มีใครคิดว่าซ่งจงจะสามารถรอดชีวิตกลับไปได้

อย่างไรก็ตาม ซ่งจงนั้นไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก แม้ว่าในตอนนี้เขาจะพบกับราชันเหยี่ยวฟ้าเหลยซานเอ๋อ เขาก็ไม่กลัว แม้ว่าเขาจะต้องตาย แน่นอนว่าเขาจะลากมันลงไปด้วยอย่างแน่นอน

เนื่องจากมันไร้ประโยชน์ที่จะหลบหนี ซ่งจงจึงตัดสินใจเมินเฉยต่อเรื่องราวทั้งหมดนี้ จากนั้นเขามองไปที่ซูหยุ่นและซูหยู่พร้อมกล่าวอย่างติดตลก “โอ้ ในตอนนี้เรากำลังจะตายแล้ว ข้าขออะไรจากเจ้าสักอย่างได้หรือไม่?”

เนื่องจากหญิงสาวทั้งสองนั้นประทับใจซ่งจงอยู่แล้ว นางตอบกลับอย่างรวดเร็ว “ขอสิ่งใด? ถ้าหากเราทำได้ แน่นอนว่าเราจะทำมัน!”

“ฮ่าฮ่า ยอดเยี่ยม! สิ่งที่ข้าจะขอนั้นง่ายมากและเจ้าทั้งสองก็สามารถทำได้!” ซ่งจงยิ้ม “ข้าต้องการเห็นใบหน้าที่แท้จริงของเจ้า!”

เมื่อซู่หยู่และซู่หยุ่นได้ยินเช่นนั้น ทั้งสองหัวเราะออกมาพร้อมตอบกลับ “นี่เราอยู่ในสถานการณ์แบบไหนกัน เจ้ายังคงคิดถึงแต่เรื่องนี้?”

“แล้วข้าควรคิดอะไรอีก? ในเมื่อตอนนี้ข้ากำลังจะตายแล้ว อย่าบอกนะว่าเจ้ายินดีที่จะให้ข้าตายไปพร้อมกับความเสียใจนี้?” ซ่งจงกล่าวอย่างอาลัยอาวรณ์ “นี่เป็นเรื่องสุดท้ายที่ข้าจะขอแล้ว เจ้าทำให้ข้าไม่ได้หรือ? ได้โปรด”

เมื่อเห็นซ่งจงอ้อนวอน ซู่หยุนและซูหยู่ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี ในขณะนั้นภายในใจของพวกนางก็อ่อนลงและเริ่มคิดว่า ‘เนื่องจากพวกเรากำลังจะตาย มันคงไม่สำคัญหรอกว่าเราจะรักษาความลับของเราไว้ได้หรือไม่ ทำไมเราจึงไม่ทำตามที่เขาขอดูล่ะ!’