ตอนที่ 189-2 จดหมายจากเมืองหลวง

ข้ามกาลบันดาลรัก [ส่วนที่ 2 ภาคแต่งงาน]

จูหลานมองประตูที่กำลังเปิดอ้าอยู่ ขมวดคิ้วครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้น เดินออกจากห้องอย่างช้าๆ เพื่อไปหาท่านลุงและท่านป้าจูที่จวน

 

 

ทั้งสองคนเดินออกมาจากจวนจู หวงฝู่อี้เซวียนกลับไม่ได้ขึ้นบนหลังม้า มือหนึ่งของเขาจับเชือกจูงม้า ส่วนอีกมือหนึ่งก็จูงมือของนาง เดินทอดน่องไปบนถนน

 

 

แม้ว่าเมิ่งเชี่ยนโยวจะรู้ว่าเขาอารมณ์ดี แต่ก็เดาไม่ออกว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ นางไม่กล้าพูดออกไป ได้แต่เดินอยู่ข้างๆ เขาอย่างเชื่อฟัง

 

 

“หลังจากที่รั่วหลานได้พบกับครอบครัวของนาง ข้าได้ให้ทหารองครักษ์ปล่อยพวกนางกลับไป ส่วนข้าจะอยู่ที่นี่ อยู่ฉลองเทศกาลหยวนเซียวกับเจ้าก่อนค่อยไป” หวงฝู่อี้เซวียนหันมามองที่นาง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวมองไปที่เขา เมื่อเห็นสายตาอ่อนโยนคู่นั้น หน้าก็แดงขึ้นมา แล้วนางก็พยักหน้า

 

 

ผู้คนที่เดินผ่านไปมาบนท้องถนน เห็นพวกเขาแต่งกายสวยงาม ดูมีระดับ ก็อดไม่ได้ที่จะหยุดเดิน แล้วมองพวกเขาด้วยสายตาอิจฉา

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนไม่สนใจสายตาของพวกเขา จูงมือของเมิ่งเชี่ยนโยวเดินไปอย่างช้าๆ แล้วหยุดที่ร้านขายอุปกรณ์เครื่องเขียน เข้าไปซื้อกระดาษสา แล้วยืมพู่กันกับน้ำหมึกของเถ้าแก่เพื่อมาเขียนจดหมายสองฉบับ เขาจ่ายเงินแล้วเดินออกมา บอกว่า “ใกล้ได้เวลาแล้ว พวกเราไปที่ที่ว่าการเขตกันเถอะ”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า

 

 

ทั้งสองคนขึ้นหลังม้า แล้วเดินทางมาที่ที่ว่าการเขต

 

 

องครักษ์หลวงได้นำตัวรั่วหลานมารอที่ที่ว่าการเขตไว้ตามคาด

 

 

เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวกลับมา รั่วหลานก็คุกเข่าลง “ขอบพระคุณแม่นางมากที่ช่วยชีวิตครอบครัวของข้า พระคุณของท่าน รั่วหลานไม่มีทางลืม”

 

 

“ลุกขึ้นเถอะ” รั่วหลานลุกขึ้น

 

 

“ที่ข้าช่วยครอบครัวของเจ้า ก็เพื่อต้องการให้เจ้าไปเป็นพยานได้อย่างสบายใจ เจ้าไม่จำเป็นต้องขอบคุณข้า วันนี้เจ้าได้พบหน้าครอบครัวของเจ้าแล้ว กลับไปเมืองหลวงพร้อมกับพวกเขาเถิด เมื่อถึงเวลาจะมีคนมาจัดการเอง” เมิ่งเชี่ยนโยวพูด

 

 

รั่วหลานตอบรับ พร้อมรับประกันว่า “รู้แล้ว ข้าจะพูดความจริงที่ข้ารู้ จะไม่ปิดบังอะไรเลย”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนนำจดหมายออกมาให้ทหารองครักษ์ “ฉบับหนึ่งมอบให้ท่านแม่ทัพ อีกฉบับนำไปถวายเสด็จพ่อ แล้วก็คุมตัวนักโทษให้ดี อย่าให้ผิดพลาดเด็ดขาด”

 

 

องครักษ์หลวงขานรับ

 

 

เมื่อออกคำสั่งเรียบร้อย ทหารองครักษ์อีกสองคนก็คุมตัวเฉียวหมิ่นออกมา

 

 

เห็นสภาพอันน่าอนาถของเฉียวหมิ่นแล้ว รั่วหลานแทบจะร้องออกมา นึกดีใจ ว่าดีที่ตัวไม่ได้ทำผิด มิเช่นนั้นตัวเองก็จะเป็นเหมือนกับนาง

 

 

องครักษ์หลวงคุมตัวนางทั้งสองคนออกไป

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนขึ้นบนหลังม้า นำองครักษ์หลวงมุ่งหน้ากลับมาที่บ้าน

 

 

เมื่อนายอำเภอเห็นว่าทุกคนออกไปแล้ว จิตใจที่กระวนกระวายถึงได้กลับมาปกติ

 

 

ตอนไปเขาใจร้อน จึงเร่งม้าเร็ว แต่ตอนกลับเขาสบายใจ หวงฝู่อี้เซวียนจึงเดินทางอย่างเนิบช้า กว่าจะถึงบ้านใช้เวลาไปสามชั่วยามแล้ว

 

 

หลังจากที่เมิ่งซื่อกลับบ้านของตนไปก็คิดถึงแต่พวกเขา นางรีบกินข้าวกลางวันแล้วให้คนรถเร่งรถม้าให้กลับไปที่บ้าน รอพวกเขากลับมา

 

 

ทั้งสองคนขี่ม้ามาถึงหน้าประตูบ้าน เมิ่งซื่อได้ยินเสียงจึงเดินออกมา ถามว่า “เกิดเรื่องอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดจึงต้องรีบออกไปแบบนี้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวลงจากม้า เดินเข้าที่ข้างๆ นาง กอดนางแล้วพูดว่า “ตอนที่อี้เซวียนมา ฮ่องเต้บัญชาให้เขาไปจัดการธุระ เมื่อวานเขารีบร้อนกลับบ้าน ยังจัดการไม่เสร็จ เกิดเหตุผิดพลาดเล็กน้อย ลูกน้องถึงได้มาหาเขาอย่างรีบร้อน แต่ว่าท่านวางใจเถิด ตอนนี้จัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้ติดตามกลับไปแล้วเขาจะอยู่กับพวกเราจนฉลองหยวนเซียวเสร็จแล้วพวกเราถึงกลับไปพร้อมกันเจ้าค่ะ”

 

 

แม้เรื่องราชการเมิ่งซื่อจะไม่รู้เรื่อง แต่ก็ไม่ได้ถามเยอะ เมื่อได้ยินว่าฉลองหยวนเซียวเสร็จแล้วหวงฝู่อี้เซวียนถึงจะกลับ ก็ดีใจมาก “อย่างนั้นก็ดีสิ แม่จะได้อาศัยโอกาสนี้ทำอาหารให้พวกเจ้ากิน”

 

 

เมื่อฟังนางพูดจบ เมิ่งเชี่ยนโยวอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา เพราะในจวนอ๋องไม่มีอะไรอร่อยเลย

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนปากหวานบอกว่า “ขอบคุณท่านแม่ขอรับ หลายปีมานี้ข้าอยากกินแต่อาหารของท่านแม่”

 

 

เมิ่งซื่อดีใจยิ่งกว่าเดิม นางมองท้องฟ้า แล้วเดินเข้าห้องครัว ไปเตรียมอาหารมื้อเย็น เมิ่องเชี่ยนโยวมองดวงอาทิตย์บนท้องฟ้า นางหัวเราะแล้วส่ายหน้าพูดว่า “เจ้าเข้าไปเถอะ ข้าจะไปดูลี่เอ๋อร์สองแม่ลูกเอง”

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนพยักหน้า แล้วเดินเข้าไปในบ้าน

 

 

วันที่สอง หวงฝู่อี้เซวียนไปที่บ้านของเมิ่งจงจวี่ก่อน แล้วค่อยเดินไปเยี่ยมเยียนหัวหน้าตระกูลเมิ่งด้วยกัน

 

 

เป็นบุญที่ซื่อจื่อมาเยี่ยมตนด้วยตนเอง หัวหน้าตระกูลดีใจจนปฏิเสธที่จะให้ลูกหลานพยุงขึ้นมา เขาลุกขึ้นไปต้อนรับซื่อจื่อเข้าบ้านด้วยตนเอง

 

 

วันที่สาม เขาและเมิ่งเชี่ยนโยวไปที่หมู่บ้านหลี่ด้วยตนเอง เมื่อผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านหลี่ได้ยินข่าว เลยรวบรวมคนในหมู่บ้านด้วยตนเอง แล้วไปพบที่บ้านของจางจู้

 

 

หลังจากนั้น หวงฝู่อี้เซวียนก็ไม่ได้ออกจากบ้านอีกเลย อยู่ที่บ้านกับครอบครัวตระกูลเมิ่ง

 

 

ตอนกลางวันเมิ่งเชี่ยนโยวต้องดูแลสองแม่ลูกจางลี่ ตอนกลางคืนก็รอให้ทุกคนหลับก่อน แล้วค่อยไปที่จวนของหวงฝู่อี้เซวียน ด้วยความประทับใจในความดีของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน จนทำให้หวงฝู่อี้เซวียนอดใจไม่ไหว

 

 

วันวานผ่านไปอย่างสงบและเต็มไปด้วยความสุข

 

 

หลายวันผ่านไป บาดแผลของสองแม่ลูกจางลี่ก็แห้งตกสะเก็ด เมิ่งเชี่ยนโยวเอาผ้าพันแผลของพวกนางออก ให้ได้ขยับร่างกายบ้าง แต่ว่ายังขยับมากไม่ได้

 

 

ส่วนจูหลานและท่านพ่อท่านแม่ของเขาหลังจากที่พักฟื้นหายแล้ว ก็ตรงมาที่จวนตระกูลเมิ่ง

 

 

เห็นสภาพน่าอนาถของสองแม่ลูกจางลี่ ฮูหยินจูน้ำตาไหลด้วยความเจ็บปวด นายท่านจูและจูหลานก็เจ็บปวดจนทนไม่ไหวเหมือนกัน

 

 

รอให้อารมณ์ของพวกเขาสงบลง เมิ่งเชี่ยนโยวก็บอกว่า “พวกเขาสองแม่ลูกได้รับเพียงแค่บาดแผลภายนอก แผลตกสะเก็ดหมดแล้วก็ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ และจะไม่มีโรคอะไรตามมาอีก พวกท่านวางใจเถิด”

 

 

ฮูหยินจูถึงจะวางใจได้ แต่เมื่อเห็นบาดแผลที่เต็มตัวของจูเสี่ยวก็อดไม่ได้ที่จะร้องไห้ออกมา

 

 

จูหลานพูดกับนางว่า “ท่านแม่ ลี่เอ๋อร์กับเสี่ยวเอ๋อร์รอดมาได้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว เขาเป็นเด็กผู้ชาย มีแผลเป็นเล็กน้อยไม่ใช่ปัญหา”

 

 

ฮูหยินจูพยักหน้าทั้งน้ำตา “ข้ารู้”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะแล้วพูดว่า “แผลเป็นพวกนี้ไม่เท่าไรหรอก พอดีหลายวันนี้ข้ามีเวลา ข้าเลยทำการผสมยาทาแผลเป็นเอาไว้ รอให้สะเก็ดแผลบนตัวของทั้งสองนั้นลอกออกเมื่อไร ก็ทายานี้ไว้ แล้วจะกลับไปเป็นปกติได้อย่างรวดเร็ว”

 

 

ฮูหยินจูขอบคุณอีกยกใหญ่ นายท่านจูก็เลยพูดว่า “แม่นางเมิ่ง ข้าจะไม่พูดขอบคุณให้มากความ วันหลังถ้าหากว่ามีเรื่องอะไรให้รับใช้ ขอแค่พูดมา ต่อให้ต้องลุยน้ำลุยไฟ พวกเราตระกูลจูก็จะทำให้”

 

 

ฮูหยินจูและจูหลานต่างก็พยักหน้า

 

 

แม่ลูกจางลี่เหลือเพียงแต่รักษาตัวให้ดีๆ จูหลานเลยบอกว่าจะพาตัวกลับไป

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวไม่ได้คัดค้านแต่อย่างใด ออกคำสั่งให้คนนำทั้งสองคนขึ้นรถม้าอย่างระมัดระวัง แล้วเฝ้ามองส่งพวกเขาจนลับตาไป

 

 

เมื่อส่งพวกสองแม่ลูกเสร็จแล้ว เมิ่งเชี่ยนโยวก็ไม่มีเรื่องอะไรให้จัดการแล้ว ต่อแต่นี้ไปก็แค่สั่งให้คนไปซื้อยากลับมา ผสมยาทาแผลเป็นก็เท่านั้น

 

 

หวงฝู่อี้เซวียนก็ยังคงเป็นคนที่ดูยาไม่ออก ไม่ว่าจะยาแบบไหนเขาก็มองเหมือนกันหมด เลยทำให้เขาตำยาผิดอยู่บ่อยครั้ง เลยโดนเมิ่งเชี่ยนโยวไล่ออกไป กำชับเขาว่าวันหลังอย่าเข้ามาที่ห้องนี้อีก

 

 

เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งเส้าเห็นท่าทางเมิ่งเชี่ยนโยวกำลังหงุดหงิด เลยแอบหัวเราะ ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ แล้วก้มหน้าก้มตาตำยาต่อไป เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

 

 

วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว เพียงชั่วพริบตาก็ผ่านเทศกาลหยวนเซียวไปแล้ว หลังจากเมิ่งเชี่ยนโยวให้คนนำยาทาแผลเป็นไปส่งให้กับจูหลาน แล้วก็เตรียมตัวกลับเมืองหลวง

 

 

เมิ่งเจี๋ยและเมิ่งเส้าก็จะกลับเมืองหลวงด้วย เลยดีใจเป็นอย่างมาก

 

 

เมิ่งเส้าโตขนาดนี้แล้ว แต่ก็ไม่เคยห่างแม่ เมิ่งซื่อจึงรู้สึกเป็นห่วง กำชับเมิ่งเชี่ยนโยวหลายรอบว่า ให้นางดูแลทั้งสองคนให้ดี

 

 

ในจังหวะที่โดนพูดกรอกจนเหมือนจะมีหนอนไหลออกมาจากหูนั้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเสนอว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ นี่เพิ่งจะปีใหม่ โรงงานก็ยังไม่เปิด หน้าดินก็ยังทำอะไรไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นพวกท่าน พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ไปอยู่เมืองหลวงกับพวกเราก่อนสักระยะเถิด ส่วนที่บ้านก็ให้พี่ใหญ่และพี่สะใภ้จัดการไป”

 

 

ตั้งแต่เมิ่งซื่อไปตัวเมืองในครั้งนั้น แล้วทำเมิ่งเจี๋ยหายไป การออกไปข้างนอกจึงกลายเป็นปมในใจนาง ยิ่งไปกว่านั้นการไปเมืองหลวง ล้วนเป็นที่ของชนชั้นสูง นางจึงรีบโบกมือ “ข้าไม่ไปหรอก เดี๋ยวไปทำให้ชนชั้นสูงไม่พอใจเข้า จะไม่มีชีวิตกลับมาเอา”

 

 

เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะ “ท่านแม่ ชนชั้นสูงในเมืองหลวงแบ่งระดับเป็นสาม หก เก้าระดับ ในสายตาของคนอื่น พวกเราก็คือชนชั้นสูงเจ้าค่ะ”

 

 

เมิ่งซื่อประหลาดใจ

 

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังตัดสินใจกันอยู่นั้น กัวเฟยก็ได้นำองครักษ์หลวงสองนายกลับไป แล้วทิ้งจดหมายไว้ให้กับหวงฝู่อี้เซวียนและเมิ่งเชี่ยนโยว เนื้อความว่า “ซูเอ๋อร์ไม่สบาย หวังว่าแม่นางเมิ่งจะกลับไปโดยด่วน”