ตอนที่ 472 ป้ายประกาศลี้ลับ

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 472 ป้ายประกาศลี้ลับ โดย Ink Stone_Fantasy

จะเห็นว่าในมือของผู้ดำเนินการแต่ละคน ต่างก็ถือพู่กันหยกสีเขียวคนละหนึ่งด้าม หลังจากพูดคุยกับศิษย์ที่อยู่ตรงหน้าเล็กน้อยแล้ว ก็แตะลงบนป้ายประจำตัวของศิษย์เหล่านั้นเบาๆ จากนั้นศิษย์ผู้นั้นก็เก็บป้ายเข้าไป และหมุนตัวเดินไปทางเดินที่อยู่ข้างวิหาร

ศิษย์เหล่านี้ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะเป็นศิษย์ที่ธรรมดาที่สุดของนิกายยอดบริสุทธิ์ มีส่วนน้อยที่สวมชุดศิษย์สายนอกอย่างลิ่วหมิง นอกจากนี้ยังมีคนจำนวนหนึ่งจับกลุ่มสองสามคนอยู่ตรงมุมห้องโถง ดูเหมือนกำลังพูดคุยเรื่องอะไรกันอยู่

“ขอถามศิษย์พี่ท่านนี้ ที่นี่มีคนไปถ้ำห้าธาตุเยอะทุกวันเลยหรือ?” หลิ่วหมิงเห็นว่าชายหนุ่มชุดดำที่อยู่ไม่ไกลดูคล้ายกับผู้ดำเนินการ จึงรีบเดินเข้าไปถาม

“ศิษย์น้องเพิ่งเข้ามาใหม่สินะ ข้าเป็นศิษย์ที่มาเปลี่ยนเวรที่นี่ เรียกข้าว่าหยวนหรงก็พอ แต่ก่อนที่นี่มีคนเยอะสุดวันละเกือบร้อยคนเท่านั้น แต่วันนี้ไม่รู้เพราะอะไรถึงมารวมตัวกันมากมายเช่นนี้” ชายชุดดำสังเกตดูหลิ่วหมิงเล็กน้อย หลังจากเห็นเขาใส่ชุดศิษย์สายนอก ก็ทำการคารวะก่อนตอบกลับไป

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หยวน ข้าน้อยหลิ่วหมิง เป็นศิษย์สายนอกที่เพิ่งมาใหม่จริงๆ ที่มาในวันนี้เพราะอยากทำความเข้าใจเกี่ยวกับการฝึกฝนในถ้ำห้าธาตุ หวังว่าศิษย์พี่จะชี้แนะข้าบ้าง” หลิ่วหมิงถามหยวนหรงด้วยสีหน้านอบน้อม

“เรื่องนี้นับว่าศิษย์น้องถามถูกคนแล้ว ถ้ำห้าธาตุนี้นับว่าเป็นสถานที่ฝึกฝนพิเศษของนิกายเรา ได้ผลดียิ่งนักสำหรับวิชาที่เกี่ยวข้องกับห้าธาตุ แต่ตามสถานะที่แตกต่างของศิษย์ในนิกาย แต้มคุณูปการที่ใช้ในการเข้าถ้ำห้าธาตุ ก็แตกต่างกันไปด้วย โดยพื้นฐานแล้ว ศิษย์สายนอกได้ส่วนลดสองในสิบ ส่วนศิษย์สายในจะได้ส่วนลดสี่ในสิบ ศิษย์สายตรงได้ส่วนลดหกในสิบ ส่วนศิษย์ธรรมดาในนิกายต้องจ่ายเต็ม นอกจากนี้ถ้ำห้าธาตุยังแบ่งออกเป็นเก้าระดับ แต้มคุณูปการที่ใช้ก็แตกต่างกันไป ระดับหนึ่งถึงสองที่เป็นระดับสูงสุดนั้น เวลาหนึ่งชั่วยามต้องใช้แต้มคุณูปการเกือบหมื่นแต้ม แต่ว่าถ้ำระดับนี้ไม่เพียงแต่มีจำนวนน้อย ขณะเดียวกัน ก็ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ทั่วไปจะสามารถเข้าไปได้ คาดว่าลำพังแค่ความหนาแน่นของปราณจิตวิญญาณห้าธาตุที่อยู่ในนั้น ก็พอที่จะให้ผู้ที่มีระดับการฝึกฝนไม่เพียงพอ ร่างระเบิดจนเสียชีวิตได้” หยวนหรงเล่าออกมาภายในอึดใจเดียวอย่างกระตือรือร้น หลิ่วหมิงก็รับฟังอยู่ข้างๆ

“สำหรับระดับของเหลวขั้นกลางอย่างศิษย์น้อง โดยทั่วไปแล้วระดับที่หกเจ็ดจะเหมาะสมที่สุด แต่หากกายเนื้อค่อนข้างแข็งแกร่ง และระดับการฝึกฝนไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ระดับเดียวกันสามารถเทียบได้ล่ะก็ ลองดูชั้นที่สูงกว่าหน่อยก็ได้” หยวนหรงกวาดสายตาดูร่างหลิ่วหมิงแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณศิษย์พี่หยวนที่ชี้แนะ” หลิ่วหมิงได้ยินก็ยิ้มเล็กน้อย และพยักหน้าโดยไม่ออกความเห็นใดๆ

ตามที่เขาคาดการณ์ไว้ ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นกลางอย่างเขา บวกกับความแข็งแกร่งของกายเนื้อที่ผู้แข็งแกร่งระดับผลึกไม่อาจต้านทานได้ คงพอที่แบกรับระดับสี่ของถ้ำจิตวิญญาณแห่งนี้ได้

แต่หากทำเช่นนี้จริงๆ ล่ะก็ เกรงว่าจะเป็นจุดสนใจไปหน่อย ถ้ำจิตวิญญาณระดับสี่ก็ใช้แต้มคุณูปการจำนวนมาก ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจแบกรับได้ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ

ด้วยเหตุนี้ ถ้ำจิตวิญญาณระดับห้าที่เสียแต้มคุณูปการวันละสองร้อยแต้ม จึงเป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ของเขาในตอนนี้

หลิ่วหมิงคาดการณ์อยู่ในใจ แต่แต้มคุณูปการในขณะนี้มีไม่เพียงพอ จึงได้แต่ไปจากที่นี่ก่อน

แต่ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดฟ้าที่มีลักษณะท่าทางฮึกเหิม ก็ก้าวยาวๆ เข้ามาในวิหารใหญ่

พอหยวนหรงเห็นคนผู้นี้ ก็รีบกล่าวลาหลิ่วหมิง และรีบไปต้อนรับคนผู้นี้อย่างนอบน้อม “ศิษย์พี่โจว”

และพอกลุ่มคนที่เข้าแถวอยู่ตรงหน้า เห็นชายชุดฟ้าเดินเข้ามา ก็ค่อยๆ เปิดทางให้ และแสดงสีหน้านอบน้อมเช่นกัน

“เอาถ้ำจิตวิญญาณทองคำระดับห้าให้ข้า ระยะเวลาหนึ่งเดือน” ชายหนุ่มชุดฟ้าเดินมาตรงหน้าศิษย์ดำเนินการด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก พอยื่นป้ายประจำตัวออกไปแล้วก็กล่าวอย่างราบเรียบ

พอศิษย์ดำเนินการผู้นั้นรับแผ่นป้ายมาแล้ว ก็รีบจัดการอย่างรวดเร็ว

หลังจากศิษย์พี่โจวผู้นี้รับป้ายคืนไปแล้ว ก็พูดคุยกับศิษย์บริเวณนั้นสองสามประโยค จากนั้นก็เดินไปยังด้านข้างห้องโถง ประจักษ์ชัดว่าจะไปกักตัวที่ถ้ำจิตวิญญาณแล้ว

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็ค่อยๆ เป็นประกายขึ้นมา

ชายหนุ่มชุดฟ้าผู้นี้ดูเหมือนจะมีอายุพอๆ กับตน การฝึกฝนก็อยู่ราวๆ ระดับของเหลว แต่ดูจากท่าทีของเขาแล้ว เห็นได้ชัดว่ามีที่มาไม่ธรรมดา

เขาวกความคิดกลับมาอย่างรวดเร็ว และก้าวไปถามหยวนหรง

“ศิษย์พี่หยวน ศิษย์พี่โจวผู้นี้มีที่มาอย่างไร เป็นศิษย์สายนอกเหมือนกันหรือไม่?”

“โจวเทียนรุ่ยเป็นศิษย์สายนอกของสาขาห่านฟ้า ไม่เพียงแต่เป็นหนึ่งในสามที่มีพลังแข็งแกร่งสุดในสาขา แต่ยังเป็นหนึ่งในศิษย์สายนอกที่มีความหวังสูงสุดว่าจะกลายเป็นศิษย์สายในในช่วงสิบปีมานี้” หยวนหรงกล่าวอย่างราบเรียบ แววตาเต็มไปด้วยความอิจฉา

หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน หลังจากสอบถามอีกรอบแล้ว เขาถึงทราบว่า ตามกฎของนิกายยอดบริสุทธิ์ ศิษย์สาขาจะมีการประลองเล็กสามปีครั้ง ประลองใหญ่สิบปีครั้ง โดยเฉพาะอย่างหลัง สิบคนแรกไม่เพียงแต่จะได้รับทรัพยากรการฝึกฝนกับแต้มคุณูปการจำนวนมากเท่านั้น ในระหว่างการประลองยังมีผู้อาวุโสแต่ละยอดเขาไปดูด้วย หากเข้าตาก็จะใช้สิทธิ์ที่มีอยู่ รับเข้าไปเป็นศิษย์สายใน

นี่เป็นวิธีการที่เร็วที่สุดในการเป็นศิษย์สายใน

และศิษย์พี่โจวผู้นี้ก็มีพลังน่าตกใจ เขาเข้าสู่สิบอันดับแรกในการประลองเล็กทั้งสองรอบติดต่อกัน ดังนั้นย่อมแตกต่างจากศิษย์ทั่วไป

“ขอบคุณศิษย์พี่หยวนที่ชี้แนะ” หลังกล่าวขอบคุณหยวนหรงแล้ว หลิ่วหมิงก็หมุนตัวเดินออกไป แต่ในใจกลับทำการคิดไตร่ตรองอีกครั้ง

ประลองเล็กสามปีครั้ง ประลองใหญ่สิบปีครั้ง นี่ก็เป็นโอกาสอันดีที่เขาจะออกหน้าออกตา

แม้คุณสมบัติของเขาจะไม่ได้ แต่หากเข้าสิบอันดับแรกได้ล่ะก็ ไม่แน่อาจจะทำให้ผู้อาวุโสยอดเขาซักแห่ง รับเขาเป็นศิษย์สายในก็ได้

แต่สำหรับเขาแล้ว ทั้งหมดนี้มันเร็วไปหน่อย

เขาต้องฝึกเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สองให้สำเร็จ จากนั้นก็เข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลาย พอรับมือกับการดูดกลืนพลังเวทของฟองอากาศลึกลับแล้ว ถึงสามารถคิดเรื่องเหล่านี้ได้

สิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้ก็คือ ไปหอลี้ลับที่ประกาศภารกิจของนิกายก่อน เพราะตอนนี้การสะสมแต้มคุณูปการถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด

ไม่นาน หลิ่วหมิงก็ทะยานฟ้าไปยังหอศิลาดำที่ทั้งเตี้ยและเล็กแห่งหนึ่ง

เมื่อเขาเดินเข้าไปในห้องโถง และสังเกตดูเล็กน้อยแล้ว ก็รู้สึกตกตะลึงขึ้นมา

ภายในห้องโถงของหอลี้ลับที่มีขนาดหมู่กว่าๆ มีคนเนืองแน่นอยู่ราวๆ สามสี่ร้อยคน พวกเขากำลังล้อมหน้าล้อมหลังกำแพงหยกขนาดสิบกว่าจั้ง ที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางห้องโถง มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันดังออกมาไม่ขาดสาย

คนเหล่านี้มีทั้งศิษย์ธรรมดาและศิษย์สายนอก แต่เห็นได้ชัดว่าศิษย์ธรรมดามีมากกว่า และศิษย์สายในกลับไม่เห็นเลยแม้แต่คนเดียว

“ข้าน้อยหลิ่วหมิง เป็นศิษย์ที่เพิ่งเข้ามาใหม่ มาหอลี้ลับเป็นครั้งแรก ไม่ทราบว่าภายในหอลี้ลับแห่งนี้ คึกคักเช่นนี้ทุกวันหรือไม่?” หลิ่วหมิงถามชายชุดเขียวบริเวณนั้นด้วยความประหลาดใจ

ฝ่ายตรงข้ามเป็นศิษย์ธรรมดา แต่มีหนวดเคราเต็มใบหน้า ดูๆ แล้วมีอายุมากกว่าหลิ่วหมิงไม่น้อย

“ศิษย์น้องหลิ่ว ไม่จำเป็นต้องเกรงใจเช่นนี้ ปกติที่นี่ไม่ค่อยจะมีคนเยอะขนาดนี้ ความจริงแล้วเป็นเพราะว่ามีผู้อาวุโสในนิกายหลายคนปล่อยข่าวออกมาล่วงหน้า ว่ากันว่าจะประกาศภารกิจจำนวนมากบนป้ายประกาศลี้ลับ ด้วยเหตุนี้จึงมีศิษย์มาวัดดวงเป็นจำนวนมาก” พอชายผู้นี้เห็นว่าหลิ่วหมิงเป็นศิษย์สายนอก ก็ตอบกลับอย่างสุภาพ

หลิ่วหมิงแหงนหน้ามองกำแพงหยกที่อยู่กลางห้องโถงทีหนึ่ง แต่จะเห็นว่าพื้นผิวของมันมีแสงสีขาวปล่งประกายอยู่ ด้านบนสุดมีอักขระเปล่งแสงสีเงินแวววาว ‘ป้ายประกาศลี้ลับ’ ด้านล่างมีภารกิจประกาศอยู่บางตาพร้อมกับรางวัลที่ได้รับ นอกจากนั้นพื้นที่ที่เหลือก็ว่างเปล่า คิดว่าคงมีคนรับภารกิจไปแล้ว

ขณะนี้ ศิษย์ที่รายล้อมอยู่ต่างก็จ้องมองป้ายประกาศบนกำแพงหยก แต่กลับไม่มีคนไปรับภารกิจในนั้น

“สำหรับศิษย์อย่างพวกเราและศิษย์ธรรมดาที่เข้าไม่ถึง หากแย่งภารกิจที่อันตรายน้อยได้ และได้แต้มคุณูปการพอประมาณ ย่อมเป็นเรื่องที่เหมาะสมอย่างมาก หากแย่งภารกิจที่มีแต้มคุณูปการมาก และระดับความยากต่ำ ก็สามารถหาคนที่รู้จักไปทำด้วยกันได้ แล้วมาแบ่งแต้มคุณูปการกัน ใช่สิ! ศิษย์น้องสนใจเข้าร่วมกับพวกเราไหม พอถึงเวลานั้นจะต้องไม่ผิดหวังอย่างแน่นอน” ชายชุดเทาอธิบายเบาๆ และชี้ไปยังศิษย์ธรรมดาสองสามคนที่อยู่ข้างๆ

พอคนเหล่านั้นเห็นว่าหลิ่วหมิงเป็นศิษย์สายนอก ก็หันมาคารวะอย่างนอบน้อม

หลิ่วหมิงย่อมปฏิเสธอย่างนุ่มนวล จากนั้นก็เงยหน้ามองป้ายประกาศต่อ และศึกษาภารกิจที่อยู่บนนั้น

เพราะด้วยพลังของเขาในตอนนี้ ย่อมไม่จำเป็นต้องร่วมมือกับคนอื่น

พอเขาสังเกตดูอีกรอบ ก็ค้นพบว่าภารกิจที่เหลืออยู่บนนั้น ส่วนมากเป็นภารกิจที่ให้หินจิตวิญญาณกับแต้มคุณูปการน้อยมาก ดังนั้นเขาจึงรอคอยอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างเงียบๆ

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แสงสีขาวก็หมุนวนอยู่บนป้ายปรากาศไม่หยุด พื้นที่ที่เคยว่างเปล่า ก็ค่อยๆ มีอักขระโผล่ออกมา

“รีบดูเร็ว ป้ายประกาศได้เปลี่ยนใหม่แล้ว!”

“รีบดูเร็วว่ามีภารกิจอะไรดีๆ บ้าง”

“ศิษย์พี่หลิน ภารกิจจับวิหคขาว พวกเรามาร่วมมือกันดีหรือไม่?”

ขณะที่มีภารกิจใหม่ปรากฏออกมาท่ามกลางแสงสีขาว ศิษย์ที่รายล้อมอยู่ก็พากันฮือฮาขึ้นมา บ้างก็ประเมินค่าภารกิจที่ปรากฏออกมาใหม่ บ้างก็เรียกสหายให้เข้ากลุ่มด้วย

และผู้ที่มีปฏิกิริยารวดเร็ว ก็โบกป้ายประจำตัวไปยังมุมหนึ่งของป้ายประกาศ ทันใดนั้นป้ายประกาศก็เปล่งแสงลี้ลับใส่ป้ายของคนเหล่านี้

ไม่นาน ภารกิจบนป้ายประกาศก็ถูกแย่งไปเกือบครึ่งหนึ่งแล้ว

หลิ่วหมิงกลับไม่ได้ตื่นเต้นเหมือนคนเหล่านี้ เขาค่อยๆ ตรวจดูภารกิจเหล่านี้อย่างไม่รีบร้อน

หลังจากดูได้สักพัก เขาก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา

ค่าตอบแทนของภารกิจเหล่านี้ โดยทั่วไปจะเป็นหินจิตวิญญาณกับแต้มคุณูปการ ภารกิจที่มีหินจิตวิญญาณเป็นค่าตอบแทนยังพอว่า ผู้ปล่อยภารกิจนี้ค่อนข้างใจกว้างมาก ภารกิจหนึ่งก็ให้หลายหมื่นหินจิตวิญญาณแล้ว

เมื่อเทียบกับสิ่งนี้แล้ว ภารกิจที่ให้แต้มคุณูปการกลับได้น้อยมาก และผู้ปล่อยภารกิจส่วนใหญ่จะตระหนี่มาก ให้น้อยสุดไม่เกินสิบแต้ม มากสุดก็ดูเหมือนจะไม่เกินห้าหกสิบแต้ม

หลังจากถูกศิษย์เหล่านั้นแย่งไปแล้ว ตอนนี้ภารกิจที่มีแต้มคุณูปการก็เหลืออยู่น้อยมาก

และระดับความอันตรายของภารกิจ ก็ต่ำกว่าที่คาดคิดไว้มาก ส่วนใหญ่เป็นการสังหารอสูรธรรมดาทั่วไป เพื่อรวบรวมแก่นปีศาจ การค้นหาวัตถุดิบดั้งเดิม ส่งสิ่งของเป็นต้น ซึ่งเป็นภารกิจที่สิ้นเปลืองแรงและเวลา คาดว่าผู้ปล่อยภารกิจคงจะขี้เกียจเสียเวลา จึงให้ศิษย์ระดับต่ำเหล่านี้ทำแทน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกหงุดหงิดมาก และรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

…………………………………