ตอนที่ 993 - แดนลับที่ถูกทำลาย

The Divine Nine Dragon Cauldron

ซือหยูตัดสินใจที่จะเปิดเผยหนึ่งวิธีเขาจะเบนตัวหุ่นเชิดไปชั่วคราว
  ตาขวาเปล่งแสงสีแดงมังกรแดงบินวนอยู่ในดวงตา
  “วายุมิติ!”
  ซือหยูตะโกนเบาๆ วายุมิติขนาดใหญ่ปรากฏด้านหลังหุ่นเชิดยักษ์ พลังของวายุดูดกลืนร่างขนาดร้อยศอกเข้าไป
  มันสัมผัสได้ถึงวายุมันใช้มือจ้วงลงไปปักกับพื้นเพื่อพยายามจะรั้งร่างไม่ให้เข้าไปในวายุมิติ
  มันใกล้จะระเบิดเต็มทีแล้วเมื่อเห็นว่าหมดหวัง ซือหยูสะบัดมือ ลูกแก้วสีเงินมากมายพุ่งออกไปราวกับกระสุน พวกมันเข้าระเบิดร่างของหุ่นเชิดยักษ์
  ผิวร่างของหุ่นเชิดยังที่ไม่ได้รับผลกระทบจากท่าของกู้ไทซูในตอนนี้กลับขยับเล็กน้อยด้วยลูกแก้วทั้งแปดลูกเมื่อลูกแก้วครามอำพันลูกสุดท้ายซัดใส่ร่างหุ่นเชิด ร่างของมันก็รับไม่ไหวอีกต่อไป มันกระเด็นไปข้างหลังเข้าสู่วายุมิติ
  ตู้ม!
  ร่างหุ่นเชิดยักษ์ระเบิดคลื่นกระแทกอันน่ากลัวสั่นคลอนไปทั้งยอดเขา ทุกที่สั่นอย่างบ้าคลั่งไปตามคลื่นกระแทก ที่นี่กำลังจะแตกสลาย
  ปั้ง…ปั้ง…ปั้ง…
  พลังมิติมากมายปกคลุมผู้คนที่นี่พื้นที่ลับจะต้องสัมผัสได้ว่าทุกคนกำลังจะตายและใช้พลังมิติออกมาเคลื่อนย้ายทุกคนออกไป
  ซือหยูเรียกมุกกลับเขากำลังจะหนีแต่ก็เห็นว่ามีเศษชิ้นส่วนหุ่นเชิดพุ่งออกมาจากคลื่นกระแทก ซือหยูรีบเก็บชิ้นส่วนเหล่านั้นไว้ พวกมันคือชิ้นหัวที่ทำตามวัตถุดิบพิเศษมาก
  เมื่อสัมผัสมันซือหยูมั่นใจว่ามันคือวัตถุดิบเดียวกับหุ่นเชิดสีเงินที่เขาเจอในกระโจมเทพสวรรค์
  “ใครกันที่แอบควบคุมเจ้าหุ่นเชิดนี่?”
  ซือหยูคิดกับตัวเอง
  เขาไม่จำเป็นต้องห่วงเรื่องนี้มากนักเพราะม่อเทียนฉวนกับบุรุษเมฆาม่วงคงจะให้ความสำคัญกับมันมากกว่าและซือหยูก็ยินดีอย่างมากที่จะทิ้งเรื่องน่าปวดหัวให้กับทั้งสองคน ไอลีนโนเวล
  แต่ทันทีที่เขาจะเก็บชิ้นส่วนหุ่นเชิดเขาสัมผัสได้ถึงเสี้ยวพลังชีวิตที่อยู่ในตัวหุ่น เขาจึงดูภายในชิ้นส่วน และเขาก็ต้องตกใจมากที่เห็นว่ามีพลังเมฆาม่วงอยู่ถึงแปดเสี้ยว!
  ด้วยพลังของหุ่นเชิดการได้เสี้ยวพลังมาแปดพลังนั้นดูเหมือนจะเป็นไปได้ เพราะไม่มีใครรับมือมันได้นอกจากกู้ไทซู
  ซือหยูตาร้อนด้วยความปรารถนาเขาเก็บพลังเมฆาม่วงทั้งหมดโดยไม่ต้องคิดมาวางเหนือศีรษะ พลังทั้งหมดก่อตัวเป็นมงกุฎที่แข็งตัว เสี้ยวพลังทั้งสิบสองนั้นมากพอที่จะทำให้เขาได้มงกุฎมา
  จากนั้นพวกเขาทุกคนก็ถูกเคลื่อนย้ายออกไปทันทีที่พวกเขาออกมายังนอกยอดเขา เสียงสั่นสะเทือนจนหูชาก็ดังมาจากเบื้องล่าง เกิดรอยแยกมิติดำสนิทที่เห็นได้ด้วยตาเปล่าหลายแห่งในแดนลับบนยอดเขา
  มันเกิดขึ้นไม่นานจากนั้นความวุ่นวายในแดนลับก็สลายไป พื้นที่ลับเมฆาม่วงมอดไหม้จนถึงพื้นดิน ค่ายกลทั้งหมดที่ติดตั้งเอาไว้หายไปอย่างไร้ร่องรอย
  บุรุษเมฆาม่วงสีหน้าหม่นหมองเหล่าผู้เฒ่าหลายคนในตำหนักหน้าถอดสีเช่นกัน การจัดตั้งพื้นที่ลับเมฆาม่วงนั้นใช้ทรัพยากรมากมายในตำหนัก ทั้งกำลังคนและกำลังเงิน พวกเขาจะพอใจได้หรือ?
  ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็โล่งใจเล็กน้อยจากที่ประเมิน ความเสียหายทั้งหมดเกิดเฉพาะในแดนลับเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดที่เสียหาย มันคือผลลัพธ์ที่ดีที่สุดแล้ว
  ปัญหาจบลงแม้กู้ไทซูจะเลิกคิดทำลายหุ่นเชิดแต่แล้วทำไมความเสียหายถึงลดลงขนาดนี้เล่า? ผู้คนที่ดูแลสำนักต่าง ๆ กำลังพยายามหาข้อมูลจากศิษย์สำนักตัวเอง
  หลังจากการต่อสู้ครั้งใหญ่จบลงหมอกสลายไป มุมมองของศิษย์แต่ลำคนไม่ถูกจำกัดอยู่อีก พวกเขาเห็นทุกอย่างในระยะได้อย่างเต็มที่ คนเหล่านั้นจะต้องรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
  เมื่อพวกเขารู้ว่ามีบุคคลลึกลับสวมหน้ากากสีเงินจากตำหนักโลหิตใช้พลังมิติและลูกแก้วที่แข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อเหล่าเจ้าสำนักก็ตัวแข็งทื่อ
  บุรุษเมฆาม่วงเลิกคิ้วและจ้องซือหยูจากระยะไกลนี่เป็นครั้งแรกที่เขาตั้งใจมองซือหยู
  แท้จริงแล้วมีผู้เข้าร่วมหลายคนที่สวมหน้ากากในครั้งนี้ แต่ซือหยูคือคนเดียวที่บุรุษเมฆาม่วงอยากจะเห็นใบหน้าจริงมากที่สุดในเวลานี้ บุรุษเมฆาม่วงพยายามจะมองทะลุหน้ากากสีเงินไป แต่เขาก็ต้องตกใจที่พบว่าหน้ากากไม่ใช่ของธรรมดา เขาเห็นแค่เพียงความว่างเปล่า
  “หน้ากากมิติหรือ?”
  บุรุษเมฆาม่วงขยับเข้าใกล้และจ้องมองซือหยูหน้ากากมิติเป็นของหายาก และมันก็ไม่ใช่สิ่งที่ภูติระดับเก้าจะมีได้
  ฟึ่บ!
  แต่ในตอนนั้นเองหญิงสาวงดงามผู้สวมชุดดำก็ได้เคลื่อนย้ายตัวเองมาระหว่างทั้งสอง
  “บุรุษเมฆาม่วงถ้าจ้องศิษย์ข้าอย่างนั้น เขาอาจจะอายเอาได้นะ”
  ม่อเทียนฉวนแสยะยิ้มวิธีการที่ซือหยูใช้ไม่น่าแปลกใจสำหรับนาง นางรู้แล้วว่าเขามีกายาวิญญาณโบราณและรู้ว่าไม่ใช่ปัญหาที่เขาจะใช้วิชาอย่างวายุมิติ
  ปัญหาเดียวก็คือลูกแก้วเก้าลูกที่เขาใช้ในจังหวะสุดท้ายมันคือลูกแก้วที่นางไม่เคยเห็น มันคือสมบัติของซือหยูเพียงคนเดียว และเมื่อเห็นท่าทางของบุรุษเมฆาม่วง นางก็ต้องเข้ามาขวาง  บุรุษเมฆาม่วงไม่ตกใจแม้นางจะมาหยุดเขาเขากลับยิ้ม
  “เจ้าตำหนักม่อเข้าใจผิดแล้วข้าก็แค่สงสัยว่าเขาคืออาจารย์ซือที่ทั้งโลกรู้จักเขาหรือไม่”
  ซือหยูได้รับการยอมรับจากทั้งโลกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญภาษาไม้เขาเคยต่อสู้กับปราชญ์ทั้งหมดจากดินแดนมีดสวรรค์ในพิธีเซ่นป่าปีศาจร้างและเอาชนะศัตรูได้ทั้งหมด เขาชิงร้านค้าที่เสียไปตลอดหลายสิบปีกลับมาได้ เรื่องนี้เป็นที่รู้กันจากทั้งโลก
  หลังจากนั้นแม้แต่ข่าวเรื่องการเผยพลังมิติของเขาในการต่อสู้ที่ตระกูลซือหยูก็มิอาจรอดพ้นสายตาจากผู้คน
  “ใช่แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรล่ะ?”
  ม่อเทียนฉวนรู้สึกภูมิใจอย่างบอกไม่ถูก
  กู้ไทซูมักอ้างตัวเองว่าเป็นยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุดแห่งยุคสมัยของดินแดนพรสวรรค์แต่เมื่อวิกฤติมาถึง เมื่อมีชีวิตของคนตำหนักเมฆาม่วงเป็นเดิมพัน ผู้ที่มากอบกู้กลับเป็นคนจากตำหนักโลหิต หาใช่กู้ไทซู
  กู้ไทซูหยุดหุ่นเชิดไม่ได้แต่ตำหนักโลหิตทำให้ความเสียหายเบาลงได้ จะมีสิ่งใดน่าภูมิใจกว่านี้อีกเล่า?
  บุรุษเมฆาม่วงพูดไม่ออกเขาพูดเบา ๆ
  “ยินดีด้วยที่เจ้ามีศิษย์เช่นนั้นมีพลังกายามิติทั้งยังเชี่ยวชาญภาษาไม้ ยากที่จะไม่อิจฉาเจ้า”
  เขาซื่อตรงในเรื่องนี้
  “อาจารย์ซือขอบคุณมากที่มีน้ำใจช่วยสำนักข้า”
  บุรุษเมฆาม่วงประสานหมัดทักทายซือหยูด้วยความจริงใจในฐานะบุรุษแห่งเมฆาม่วง
  “นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อย ๆ จากข้า หวังว่าอาจารย์ซือจะยินดีรับไว้”
  บุรุษเมฆาม่วงเรียกวุ้นที่เก็บอยู่ในแก้วออกมาวุ่นนี้มาจากยุคโบราณ มันคือของจากร้อยปีก่อน และมันก็ถูกเก็บอยู่ในแก้วมาหลายปีแล้ว วุ้นนี้มีพลังลึกลับที่ทำให้รู้สึกเบาสบายแม้จะมีแก้วกั้นขวาง ซือหยูคิดว่าเขาจะได้เป็นจ้าวเทวะหากได้สิ่งนี้มาครอง
  แต่ก่อนที่ซือหยูจะรับมันม่อเทียนฉวนก็มีสีหน้าหม่นหมอง
  “เจ้าหมายความว่ายังไง?เจ้าคิดจะทำให้ข้าอับอายโดยการให้ของแบบนั้นเป็นของขวัญรึ?”
  ซือหยูตกตะลึงเมื่อได้ยินม่อเทียนฉวนพูดเช่นนั้น…มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?