อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆
ตอนที่ 1716 มิติน้ำแข็ง
อันที่จริง ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวหากจะเรียกรากไม้ว่าอสูรของเขา
เพราะหลังจากได้รับจิตวิญญาณเสี้ยวหนึ่งของอีกฝ่ายมาแล้ว จางเซวียนก็รู้ทันทีว่ารากไม้เป็นต้นไม้จริงๆและไม่ใช่อสูร
มันคือสิ่งมีชีวิตที่มีชื่อว่าไม้ทรายเหลืองวิปลาส ซึ่งปรมาจารย์ขงเป็นผู้ค้นพบ เขานำมันมาปลูกในมิติลี้ลับแห่งนี้เพื่อให้ทำหน้าที่อารักขา ตราบใดที่ถ่ายทอดพละกำลังที่มากพอเข้าไปในตัวมัน ก็จะสามารถทำลายทุกอย่างให้แหลกสลายกลายเป็นทราย อีกทั้งยังสามารถร่ายมนต์ใส่มันเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ได้ด้วย
สิ่งนี้ไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับมนุษย์ แต่ยังเป็นกับอาวุธและอสูรระดับเซียนด้วยเช่นกัน
ฟังดูเหมือนเป็นความสามารถอันน่าทึ่งไร้เทียมทาน แต่ด้วยระดับพลังจิตวิญญาณที่มีจำกัด มันจึงสามารถควบคุมยักษ์ผืนทรายพร้อมกันได้เพียงจำนวนหนึ่งเท่านั้น
ด้วยพละกำลังของไม้ทรายเหลืองวิปลาสในตอนนี้ การควบคุมยักษ์ผืนทรายที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานขั้นสูงพร้อมกัน 2 ตัวก็ถือว่าถึงขีดสุดแห่งความสามารถของมันแล้ว
ในฐานะเจ้านายคนใหม่ของไม้ทรายเหลืองวิปลาส จางเซวียนสามารถนำอานุภาพของมันมาใช้ได้ โดยตัวเขาเพียงลำพังสามารถควบคุมยักษ์ผืนทรายที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ขั้นสูงพร้อมกันได้ทีเดียว 3 ตัว
พูดอีกอย่างก็คือ หากเขาร่วมมือกันกับไม้ทรายเหลืองวิปลาส ก็จะสามารถควบคุมยักษ์ผืนทรายที่มีวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสาน ขั้นต้นได้พร้อมกันถึง 5 ตัว แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะสร้างกองทัพ
แต่หากระดับวรยุทธของจางเซวียนเพิ่มสูงขึ้น ความสามารถของเขาในการควบคุมยักษ์ผืนทรายก็จะมีมากขึ้นด้วย มันจะกลายเป็นอาวุธอันทรงพลังที่จะใช้รับมือกับเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่นได้ในอนาคต!
สำหรับไม้ทรายเหลืองวิปลาส คงไม่เป็นการพูดเกินจริงหากจะบอกว่าพละกำลังของมันนั้นอาจเหนือชั้นกว่าแม้แต่ 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่หากเขาใช้มันอย่างถูกต้อง อีกอย่าง มันยังมีความสามารถในการเปลี่ยนใครก็ตามที่มีระดับวรยุทธไม่สูงไปกว่ามันให้กลายเป็นผืนทรายสีเหลืองได้หากอยู่ในสภาพแวดล้อมเหมาะสม
ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นอานุภาพอันน่าสะพรึงที่สามารถสร้างความหวาดกลัวในหัวใจของนักรบทุกคน
ในเวลาเดียวกัน แม้ประสิทธิภาพการต่อสู้ของยักษ์ผืนทรายจะมีไม่สูงนักเพราะระดับสติปัญญาของมันที่มีจำกัด แต่พวกมันก็ไม่หวาดกลัวการได้รับบาดเจ็บหรือความตาย ขอแค่ใครสักคนสามารถร่ายมนต์ใส่มัน ยักษ์ผืนทรายก็จะไม่มีวันเสียชีวิต จึงถือเป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือด้วยได้ยาก
เรานำไม้ทรายเหลืองวิปลาสนี้ไปให้หวังหยิ่งก็ได้*…*
จางเซวียนไม่ได้ต้องการของล้ำค่ามากนัก โดยเฉพาะเมื่อเขามีไม้ตายอยู่ในครอบครองมากมาย แต่หากเขามอบสิ่งนี้ให้หวังหยิ่ง ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเธอจะต้องเพิ่มสูงขึ้นอีกมาก อันที่จริง หากเธอใช้มันได้อย่างถูกต้อง ก็อาจมีพละกำลังมากกว่าเจิ้งหยางเสียอีก
เมื่อมาคิดดู ก็เป็นไปได้ว่าทั้งเจิ้งหยางและหวังหยิ่งซึ่งเป็นหัวหน้าสภายอดขุนพลและประธานสมาคมผู้พลิกฟื้นจิตวิญญาณจะมุ่งหน้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อเช่นกัน เพียงแต่เขาไม่รู้ว่าทั้งคู่ถูกส่งทะลุมิติไปยังมิติใด
จางเซวียนพยายามสลัดความคิดวกวนในสมอง จากนั้นก็ชำเลืองมองไม้ทรายเหลืองวิปลาสและตั้งคำถาม “ในมิติแห่งนี้จะต้องมีทางออก แล้วทางออกอยู่ที่ไหน?”
จางเซวียนเพิ่งนึกได้หลังจากที่ทำให้ไม้ทรายเหลืองวิปลาสยอมจำนนแล้ว ว่าอีกฝ่ายก็ไม่ได้สังหารนักรบไปมากมายนัก และอันที่จริง ยักษ์ผืนทรายส่วนใหญ่ที่ตามล่าพวกเขาก่อนหน้านี้ก็เป็นเพียงศพที่ถูกทำให้ฟื้นคืนชีพ
หากไม้ทรายเหลืองวิปลาสอยากทำการสังหารหมู่จริงๆ ป่านนี้ก็คงมีผู้คนล้มตายไปมากมายแล้ว
เมื่อลองคิดดู ถ้าไม้ทรายเหลืองวิปลาสเป็นสิ่งมีชีวิตที่ควบคุมไม่ได้ซึ่งกระหายเลือดและการฆ่าฟัน ปรมาจารย์ขงก็คงไม่อนุญาตให้มันอาศัยอยู่ในโลกใบนี้
“ทางออกอยู่ที่โคนต้นไม้ใหญ่…”
ขณะที่ตอบ ไม้ทรายเหลืองวิปลาสก็เคลื่อนไหวเล็กน้อย
ครืนนนนน!
พื้นโลกสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงจนผืนทรายกระเด็นออกไปหมด ราวกับกำลังเผชิญหน้ากับพละกำลังบางอย่าง จากนั้น ตรงบริเวณที่ต้นไม้ใหญ่เคยตั้งอยู่ ก็ปรากฏฉนวนที่มีรูปร่างเหมือนประตู
“ทะเลทรายผืนนี้อยู่ภายใต้การควบคุมของแกจริงๆ ไม่แปลกใจเลยที่รากของแกจะชอนไชไปทุกหนทุกแห่งทั่วทั้งทะเลทราย” จางเซวียนตั้งข้อสังเกต
เขาเก็บเหล่าอสูรและของล้ำค่ากลับเข้าไปในแหวนเก็บสมบัติก่อนจะหันไปพูดกับกลุ่มนักรบที่อยู่ด้านหลัง “ผมตั้งใจจะเข้าสู่อีกมิติหนึ่ง หากพวกคุณอยากติดตามผมไปก็เชิญเลย หรือไม่อย่างนั้น แค่พวกคุณฝึกฝนวรยุทธที่นี่ เมื่อไม่มีผืนทรายสีเหลือง คุณก็จะสามารถยกระดับวรยุทธของตัวเองได้เร็วกว่าที่อื่นมาก”
เมื่อผืนทรายสีเหลืองหายไปหมด สภาพแวดล้อมก็ไม่แห้งแล้งอย่างที่เคยเป็น พลังจิตวิญญาณอบอวลไปทั่วทั้งมิติ อยู่ในระดับความเข้มข้นพอๆกับมิติแห่งผืนป่าที่จางเซวียนเข้าไปก่อนหน้านี้ ในเวลาเดียวกัน ‘สภาวะครูบาอาจารย์’ ก็เริ่มแผ่ซ่านไปทั่วบริเวณ
ถ้านักรบกลุ่มนี้ไม่เต็มใจจะเผชิญอันตรายมากกว่าเดิม พวกเขาก็สามารถยกระดับวรยุทธได้ด้วยการฝึกฝนวรยุทธที่นี่ เพียงเท่านี้ การเดินทางของพวกเขาก็ไม่สูญเปล่าแล้ว
“ผู้อาวุโส ผมขอติดตามคุณไปด้วย!”
“ผมคิดว่าผมจะอยู่ที่นี่ อันตรายมีมากเกินไป ต่อให้มีทรัพย์สมบัติมากมายรออยู่ ผมก็คงไม่มีโอกาสได้ใช้มันหากต้องเสียชีวิต…”
ไม่ช้า นักรบทั้ง 18 คนก็แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือกลุ่มที่ยังคงปักหลักอยู่ที่นี่และกลุ่มที่จะออกเดินทาง
“ผมจะให้พวกคุณเป็นคนตัดสินใจว่าจะทำอะไรต่อไป พิจารณาให้ถี่ถ้วนนะ ถึงอย่างไรทางออกก็อยู่ตรงนี้ พวกคุณสามารถตัดสินใจได้ทุกเวลาที่ต้องการ ผมขอออกเดินทางก่อน…”
จางเซวียนไม่พูดอะไรมาก เขามุ่งหน้าสู่ฉนวนแห่งมิติและหายวับไป
นักรบกลุ่มที่เขาเพิ่งได้พบนี้ถือเป็นเพียงคนรู้จักกัน ไม่มีเหตุผลที่เขาจะต้องไปยุ่งเกี่ยวกับคนพวกนั้นให้มากไป เขาอาจช่วยชีวิตอีกฝ่ายไว้ได้ครั้งหนึ่ง แต่ก็ไม่อาจดูแลพวกเขาได้ตลอดการเดินทาง และไม่มีความสามารถที่จะรับประกันความปลอดภัยให้ใครด้วย หากคนเหล่านี้อยากได้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการจากอาณาจักรโบร่ำโบราณ ก็จะต้องพึ่งพาตัวเอง
อีกอย่าง เขาต้องตามหาหลัวลั่วชิง และเขาก็แน่ใจว่าทั้งจ้าวหย่า หยวนเทา และเว่ยหรูเหยียนที่ถูกจับตัวไปก่อนหน้านี้จะต้องอยู่ที่นี่เช่นกัน ดังนั้น จางเซวียนจึงไม่มีเวลาที่จะรื่นเริงกับกลุ่มนักผจญภัยและใช้เวลารื่นรมย์กับการเดินทางได้
หลังจากที่จางเซวียนจากไปได้ไม่นาน นักรบขั้นแรงผลักดันสัญชาตญาณคนหนึ่งก็ส่ายหน้าและเปรยว่า “หากพวกเราตัดสินใจเด็ดขาดกว่านี้สักหน่อยและเลือกตามผู้อาวุโสไป เราก็คงจะได้อะไรมาอีกมาก แต่โชคร้ายที่ดูเหมือนโอกาสนั้นจะหลุดลอยไปแล้ว”
ชายหนุ่มอาจยังอายุน้อย แต่มีเหตุผลและความสามารถในการหยั่งรู้อันเฉียบแหลม แม้จะมีอันตรายมากมายรออยู่ทั่วทั้งอาณาจักรโบร่ำโบราณ แต่ก็ดูเหมือนว่าชายหนุ่มจะสามารถข้ามผ่านอุปสรรคไปได้อย่างง่ายดาย หากพวกเขาได้ติดตามผู้นำแบบนี้ ก็มีโอกาสที่จะได้พบกับความโชคดีเช่นกัน
แน่นอนว่าไม่มีเหตุผลอะไรที่ชายหนุ่มจะแบ่งปันทรัพย์สมบัติที่หามาได้กับพวกเขา แต่อย่างน้อยที่สุด สิ่งที่เขาทิ้งไว้ก็เพียงพอจะทำให้คนที่เหลือยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว อย่างน้อยพวกเขาก็จะได้ก้าวหน้าไปกว่าที่เป็นอยู่ในตอนนี้อีกมาก
แต่ถึงอย่างไร ทุกคนก็พลาดโอกาสครั้งนี้ไปแล้ว
…..
จางเซวียนไม่ได้รับรู้ถึงความเสียใจและเสียดายของกลุ่มนักรบที่เขาเพิ่งจากมา มิติรอบตัวเขาบิดเบี้ยวอีกครั้ง และก่อนที่จะทันรู้ตัว จางเซวียนก็มายืนอยู่บนที่ราบน้ำแข็ง
จากประสบการณ์ 2 ครั้งก่อนหน้า เขาจึงไม่รู้สึกตื่นตระหนกแต่อย่างใด จางเซวียนโผบินขึ้นสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้เพื่อสำรวจพื้นที่โดยรอบ
ก็เหมือนกับที่ผืนป่า ยิ่งบินขึ้นสูงเท่าไหร่ แรงกดดันก็เพิ่มขึ้นเท่านั้น ด้วยระดับวรยุทธของเขาตอนนี้ ที่ความสูง 30 เมตรถือเป็นขีดสุดแล้ว
“ที่นี่เย็นเยือกกว่าศาลาว่าการที่ราบธารน้ำแข็งเสียอีก…”
ทั่วทั้งบริเวณดูจะปกคลุมไปด้วยหิมะเป็นชั้นหนา และพายุที่พัดหวีดหวิวอยู่ทั่วทั้งทุ่งหิมะก็นำความเย็นเยือกถึงกระดูกสันหลังมาสู่นักรบทุกคนที่อาจหาญพอจะเผชิญหน้ากับสภาพภูมิอากาศแบบนี้ ต่อให้นักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติก็ยังรู้สึกว่าอยากจะปกคลุมร่างของตัวเองด้วยเสื้อผ้าหนาๆ
“ที่นี่ก็ยังไม่ใช่วิหารแห่งขงจื๊อ…เราคงต้องหาทางออกอีกทางหนึ่งในทุ่งหิมะแห่งนี้” จางเซวียนส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
เขาเคยคิดว่าจะได้เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊ออย่างรวดเร็วหลังจากที่อาณาจักรโบร่ำโบราณเปิดออก แต่ดูเหมือนเขาจะประเมินบททดสอบของปรมาจารย์ขงต่ำเกินไป
นี่เป็นมิติที่ 3 แล้วที่จางเซวียนได้เข้ามา ใครจะรู้ว่ายังมีอีกกี่มิติที่รอเขาอยู่?
“ในผืนป่ามี 5 อสูรผู้ยิ่งใหญ่…ในทะเลทรายมีไม้ทรายเหลืองวิปลาส จะต้องมีบางอย่างที่เป็นสิ่งสำคัญในทุ่งหิมะแห่งนี้เช่นกัน ขอแค่เราหาเจอว่ามันคืออะไร ก็คงพบทางออก…”
จางเซวียนหมุนหอกสวรรค์กระดูกมังกรอีกครั้งเพื่อตัดสินใจว่าจะมุ่งหน้าไปยังทิศทางไหน
สิ่งแรกที่เขาต้องทำก็คือค้นหาสิ่งมีชีวิต ไม่ว่าจะเป็นเผ่าพันธุ์ที่อาศัยอยู่ในทุ่งหิมะแห่งนี้หรือเหล่าผู้เชี่ยวชาญจากทวีปแห่งปรมาจารย์ที่ถูกส่งทะลุมิติมาที่นี่ หากได้พบสิ่งมีชีวิตหรือคนเหล่านั้น ก็อาจจะได้ข้อมูลสำคัญบางอย่างที่นำไปสู่ตำแหน่งของทางออก
หลังจากบินไปอีกหนึ่งชั่วโมง จางเซวียนก็พบคนกลุ่มหนึ่งกำลังเดินท่อมๆท่ามกลางหิมะ
เขากำลังจะเข้าไปหาคนกลุ่มนั้นเพื่อหาข้อมูลบางอย่าง ก็พอดีกับที่ต้องนัยน์ตาเบิกโพลงและชะงักฝีเท้าทันที
“เผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!”
ในกลุ่มนั้นมีสมาชิกอยู่ราว 20 คน ผู้นำกลุ่มที่เดินอยู่หน้าสุดและอีก 2 คนที่เดินปิดท้ายมีรูปร่างสูงกว่าปกติ และเมื่อประกอบกับเจตนาสังหารเข้มข้นที่พวกเขาแผ่ออกมา ก็ชัดเจนว่าพวกนี้คือเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น!
เมื่อดูจากรังสีอันเข้มข้นของพวกมัน ก็ดูเหมือนว่ามันจะสำเร็จวรยุทธขั้นชั่วกัลปาวสานแล้ว แม้จะไม่ทัดเทียมกับอู๋ชู่หรือเป่ยชิง แต่ก็เรียกได้ว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญในหมู่นักรบที่เข้าสู่อาณาจักรโบร่ำโบราณ
สำหรับสมาชิกในกลุ่มที่เหลือซึ่งเดินอยู่ตรงกลางนั้นล้วนแต่เป็นมนุษย์ แต่ดูเหมือนพวกเขาจะถูกเผ่าพันธุ์ปีศาจควบคุมไว้ด้วยวิธีการอะไรสักอย่าง ทุกคนมีสีหน้าสิ้นหวังและบุกตะลุยฝ่าหิมะไปอย่างไร้ชีวิตชีวาภายใต้การนำของเผ่าพันธุ์ปีศาจ
“เร็วๆเข้า!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่เดินนำตวาดอย่างหงุดหงิด
ดูเหมือนจะมีของล้ำค่าชิ้นหนึ่งที่ควบคุมจิตวิญญาณของพวกเขาไว้
จางเซวียนคิดพร้อมกับขมวดคิ้ว
ด้วยดวงตาหยั่งรู้ เขามองเห็นได้ว่ากลุ่มมนุษย์ที่ถูกจับตัวไว้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของเส้นด้ายเส้นหนึ่ง และสีหน้าของคนเหล่านั้นก็ไม่บ่งบอกอารมณ์ความรู้สึกแม้แต่น้อย
มีความเป็นไปได้เพียงข้อเดียวสำหรับสถานการณ์แบบนี้ คือจิตวิญญาณของมนุษย์กลุ่มนั้นทุกเผ่าพันธุ์ปีศาจควบคุมไว้ด้วยวิธีการอะไรบางอย่าง ไม่อย่างนั้น คงไม่มีทางที่พวกเขาจะเดินตามเผ่าพันธุ์ปีศาจต้อยๆแบบนี้
จางเซวียนถอนหายใจเฮือก จากนั้นก็เพ่งดูคนกลุ่มนั้นอีกครั้ง เขาเห็นร่างหนึ่งซึ่งมีใบหน้าคุ้นตา
เดี๋ยว*…นั่นหูเหยาเหย่านี่?*