ตอนที่ 45 – 4 ค่าตอบแทนของการยั่วยวน

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

จิ่งเหิงปัวมองเห็นประตูเหล็กสีดำทะมึน ทั้งบนล่างซ้ายขวาเปล่งประกายด้วยไอเหน็บหนาวของอาวุธ องครักษ์แห่งวังกษัตริย์เทียนหนานมารอคอยอย่างพร้อมเพรียงแล้ว 

 

 

จิ่งเหิงปัววาดมือไปคว้ากษัตริย์เทียนหนาน สถานการณ์แบบนี้นางเตรียมตัวไว้ก่อนแล้ว มีปัญญาก็ยิงมาสิ! 

 

 

ทว่าท้องเรือสั่นสะเทือนขึ้นมากะทันหัน ทั้งที่ไม่มีผู้พายเรือแน่นอนแต่ความเร็วเพิ่มขึ้น เรือพุ่งออกไปเบื้องหน้าราวลูกธนู จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้ผลักกษัตริย์เทียนหนานออกมาเป็นเป้ายิงธนู องครักษ์ข้างบนยังไม่ทันได้มองให้ชัดเจนว่าบนเรือคือผู้ใด เรือพุ่งตรงดิ่งสู่ประตูเหล็กปานโผบิน! 

 

 

ประกายไฟดั่งแสงอสนี จิ่งเหิงปัวไม่ทันได้ด่าเหยียลี่ว์ฉี ความคิดกะพริบวูบผ่านในใจ รู้ว่าเขาเล่นเล่ห์เหลี่ยมแน่นอน! 

 

 

หัวเรือแหลมยาวกำลังพุ่งชนประตูเหล็กหนักอึ้ง! 

 

 

สามจั้ง สองจั้ง หนึ่งจั้ง… 

 

 

สายลมพัดเส้นผมยาวของจิ่งเหิงปัวจนสยายออกมาปรกยุ่งเหยิงทั่วหน้านาง 

 

 

ทหารบนประตูเหล็กวางอาวุธลงแล้ว ผู้ใดก็รู้ว่ามิจำเป็นต้องลงมืออีกแล้ว มองดูทิศทางการแล่นของเรือประเดี๋ยวก็จะชนประตูเหล็กจนแหลกละเอียด 

 

 

จิ่งเหิงปัวเคลื่อนย้ายหายตัวได้ทัน 

 

 

แต่ตอนนี้ไม่ได้คิดถึงเรื่องนั้นโดยสิ้นเชิง 

 

 

ขณะที่ท้องเรือกำลังจะชนเข้ากับประตูเหล็กนั้น นางกลับตัวพุ่งไปท้ายเรือทันที พุ่งไปบนร่างของกงอิ้น โอบกอดเขาเอาไว้ในครั้งเดียว 

 

 

ชั่วยามนี้เอง กงอิ้นลืมตาเงยหน้าขึ้นโดยพลัน! 

 

 

“เพียะ” 

 

 

คล้ายมีเสียงและคล้ายไม่มีเสียง 

 

 

ริมฝีปากทั้งสองประกบประสานกันแนบแน่น 

 

 

ในชั่วพริบตาเดียวจิ่งเหิงปัวเบิกตากว้าง มองเห็นดวงตาตื่นตะลึงของตนเองทอแววตาตื่นตะลึงในดวงตาของกงอิ้นที่เบิกกว้างโดยพลันเช่นกัน 

 

 

สายตาสองคู่จ้องมองสะท้อนซึ่งกันและกัน 

 

 

ส่วนกลิ่นหอมตรงริมฝีปากสัมผัสกันคือการประสานของความอ่อนโยนแลความหนาวเหน็บเพียงน้อย คือการซึมแทรกของความหอมจรุงใจแลความเย็นใสบริสุทธิ์ 

 

 

ชั่วครู่หนึ่งเนิ่นนานดุจพันปี 

 

 

“พลั่ก” เสียงหนึ่งดังสะท้าน จิ่งเหิงปัวรู้สึกเพียงคล้ายมีพลังมหาศาลกระแทกบนหลังตน อวัยวะภายในร่างกายคล้ายกำลังไหลทวนออกมา 

 

 

เรือชนเข้ากับประตูเหล็กแล้ว! 

 

 

แรงกระแทกมหาศาลทำให้เรือนร่างของนางสั่นสะเทือนไปข้างบนครั้งหนึ่ง ทว่าถูกแขนสองข้างของกงอิ้นที่อยู่ใต้ล่างยกขึ้นมาโอบกอดเอาไว้แนบแน่น จากนั้นหันกายเพียงครั้งกระโจนขึ้นมากลางอากาศได้ทันก่อนจะร่วงลงน้ำ 

 

 

แขนเสื้อสีขาวที่ปลิวว่อนของเขาเริงระบำเป็นกลุ่มกลางอากาศดุจกลีบดอกไม้ร่วง ร่างยังไม่ทันร่วงลงไป แสงเหน็บหนาวในมือกะพริบวูบ กระบี่เล่มหนึ่งแทงลงไปกลางแม่น้ำ! 

 

 

จิ่งเหิงปัวมองเห็นอย่างชัดเจนว่าเบื้องล่างแม่น้ำมีรอยขวางสายหนึ่งกะพริบผ่านไปเพียงครั้ง ชั่วประเดี๋ยวเดียว ของเหลวสีแดงเป็นกลุ่มเป็นก้อนลอยสูงขึ้นมาย้อมผิวน้ำผืนหนึ่งจนเป็นสีแดง 

 

 

นางตกตะลึงเล็กน้อย 

 

 

เหยียลี่ว์ฉีต้องกระบี่แล้วเหรอ? 

 

 

ตายแล้วเหรอ? 

 

 

ผู้มีความสามารถแห่งต้าฮวงที่เจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาด เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราว มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ทุกเวลาผู้นี้ ตายไปแบบนี้แล้วจริงๆ เหรอ? 

 

 

ทว่ากระบี่หนึ่งนี้ของกงอิ้นเด็ดเดี่ยวแน่วแน่ เกิดขึ้นโดยไม่คาดคิด เลือกเวลาที่ร่างอยู่ใต้น้ำการเคลื่อนไหวเชื่องช้าที่สุด คิดคูแล้วเขาคล้ายจะไม่สามารถหลบได้พ้น 

 

 

แขนเสื้อปลิวว่อนของกงอิ้นดุจดอกสาลี่หิมะกำจายกลางอากาศ ผลึกน้ำแข็งละเอียดร่วงกราวลงมากลายเป็นแท่งน้ำแข็งแหลมคม พุ่งตรงสู่แม่น้ำ 

 

 

เศษน้ำแข็งเต็มท้องนภาดุจจันทร์ยะเยือก เขาดั่งชาวสวรรค์ผู้เดินออกมาจากยุคน้ำแข็งสมัยดึกดำบรรพ์ 

 

 

เหล่าองครักษ์บนประตูเหล็กบนกำแพงวังเงยหน้าอย่างงงงวย ลืมลงมือไปช่วยขณะ 

 

 

การโต้ตอบของกงอิ้นไม่เคยเชื่องช้าเช่นเคย ยกมือครั้งหนึ่งหิ้วกษัตริย์เทียนหนานที่ถูกชนจนสลบไสลขึ้นมา ฉวยมือสะบัดไปเพียงครั้ง 

 

 

เสียงดังสวบเสียงหนึ่ง ร่างร้อยสิบชั่งถูกเขาสะบัดจนทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ละอองน้ำชุ่มโชกสาดกระเซ็นทั่วทิศ ร่างสะบัดไปบนสันกำแพง 

 

 

“ต้าหวัง!” ในที่สุดเหล่าองครักษ์จึงมองออกว่าเจ้าผู้โชคร้ายคนนี้คือผู้ใด รีบเร่งวางอาวุธลงไปรับ 

 

 

ท่ามกลางสถานการณ์ความวุ่นวายผืนหนึ่งนี้ เงาขาวกะพริบวูบ กงอิ้นจูงจิ่งเหิงปัวข้ามผ่านกำแพงวังไปอย่างแช่มช้า เงาร่างคล้ายจันทร์ยะเยือกดวงหนึ่งล่องลอยสลายไปที่อีกมุมหนึ่งของท้องนภาทอดยาว 

 

 

เหลือเพียงกำแพงวังสับสนอลหม่าน ต้าหวังสลบไสล ชิ้นส่วนแตกละเอียดเกลื่อนพื้น กับแม่น้ำที่ยังมีสีแดงลอยล่องอย่างเงียบเชียบสายหนึ่ง 

 

 

… 

 

 

ทิวทัศน์นอกรถม้าค่อยๆ เปลี่ยนจากที่ราบสูงอวิ๋นเหลยสีเหลืองซีดกลายเป็นต้นไม้ผืนใหญ่ทอดยาวเหยียด ใบไม้เขียวขจีกว้างใหญ่สาดแสงสว่างมันเงา 

 

 

จิ่งเหิงปัวเลิกผ้าม่านออก ชะโงกหน้ามองดูทิวทัศน์ข้างนอก บนใบหน้ามีสีหน้าเฝ้ารอคอยหลายส่วน 

 

 

ออกจากเขตซีเอ้อมาสักระยะหนึ่งแล้ว หลังพ้นอันตรายในคืนนั้น กงอิ้นจัดการเดินทางโดยพลัน คล้ายมิได้สนใจจะไปสืบเสาะความเป็นความตายของเหยียลี่ว์ฉีอีก เส้นทางหลังจากนั้นสงบเงียบอย่างยิ่ง ข้ามผ่านทุ่งหญ้าเจี๋ยหูและที่ราบสูงอวิ๋นเหลยโดยปลอดภัย ยามนี้นับได้ว่ากำลังจะเข้าสู่เขตแดนแคว้นต้าฮวงแล้ว 

 

 

เส้นทางตระหง่านอยู่กลางหญ้าสูง เส้นทางไม่กว้างนักพอให้แล่นรถม้าได้ ลึกไปในป่าไม้คล้ายมีผืนดินสีดำผืนใหญ่หลายแห่งเปล่งประกายแสงมันวาวจากไกลโพ้น องครักษ์เอ่ยว่านั่นคือบึงโคลนที่ครองพื้นที่มากกว่าสามสิบส่วนของลุ่มน้ำต้าฮวงทั้งหมด ท่ามกลางบึงโคลนสามสิบส่วนของทั้งหมดนี้ส่วนใหญ่อันตรายไร้ประโยชน์ เพียงครอบครองพื้นที่ มีเพียงบึงโคลนหกส่วนของทั้งหมดมีผลผลิตพิเศษหรือมีประโยชน์ บึงโคลนพิเศษทุกหนแห่งจะก่อตั้งแคว้นใต้อาณัฐหรือชนเผ่าที่เข้มแข็งเกรียงไกรแห่งหนึ่ง 

 

 

และด้วยเพราะบึงโคลนครอบครองพื้นที่มากเกินไป พื้นที่เพาะปลูกน้อยเกินไป การเกษตรของลุ่มน้ำต้าฮวงจึงพัฒนาไปได้ไม่เท่าไร หลายปีมานี้ล้วนอาศัยผลผลิตเพชรพลอยทองคำที่อุดมสมบูรณ์ซื้อธัญญาหารจากโลกภายนอกอย่างลับๆ ล่อๆ เสียเปรียบไปไม่น้อย 

 

 

ได้ยินวิธีการพูดแบบนี้เป็นครั้งแรก จิ่งเหิงปัวอดจะโพล่งออกมาไม่ได้ว่า “ชิบ หากนำบึงโคลนยี่สิบสี่ส่วนจากทั้งหมดที่เหลือมาใช้ให้เกิดประโยชน์ได้ พวกเจ้าจะมีแผ่นดินเพิ่มขึ้นอีกผืนหนึ่ง จะมีผลผลิตเพิ่มมากขึ้น? ราษฎรยากไร้มากมายจะได้กินอิ่มนอนอุ่น กำลังของทั้งประเทศจะเพิ่มขึ้นมามากเลยไม่ใช่หรือ?” 

 

 

“นั่นน่ะสิ” เหล่าองครักษ์ตอบ เอ่ยสืบต่อมา “ต้าฮวงปิดแคว้นก็เพราะว่ามีบึงโคลนมากเกินไป ธัญญาหารแพงเหลือเกิน ชีวิตประชาราษฎร์ไร้ทางเลือก ไร้หนทางโจมตีผู้อื่นและไร้หนทางโต้ตอบการโจมตีของผู้อื่น บึงโคลนปกป้องพวกกระหม่อมแลจำกัดพวกกระหม่อม” 

 

 

มีองครักษ์ชี้ไปยังราษฎรที่หาอาหารอยู่ข้างบึงโคลนห่างออกไป ชี้ไปยังอาภรณ์ขาดกะรุ่งกะริ่งของพวกเขา เอ่ยว่า “มองเห็นพวกเขาแล้วนึกถึงยามกระหม่อมยังมิได้เข้าวัง มารดาและน้องสาวของกระหม่อมก็เป็นเช่นนี้ ในหนึ่งปีมีครึ่งปีต้องหาอาหาร ต้องอดอยากยากจน หากพบพานปีที่ข้าวยากหมากแพงและปีที่เกิดภัยพิบัติ สองชนเผ่าถึงกับสู้กันอย่างเอาเป็นเอาตาย เจ้าของที่ดินสังหารราษฎรในหมู่บ้านหนึ่งได้เพื่อจะแย่งผืนดินน้อยผืนเดียว” 

 

 

“ขนาดนั้นเชียวหรือ?” จิ่งเหิงปัวตกตะลึงอย่างยิ่ง กล่าวต่อไปว่า “บึงโคลนก็ปลูกพืชพันธุ์ได้ มีผลผลิตได้เช่นกันนะ” 

 

 

“บึงโคลนจะปลูกพืชพันธุ์ได้อย่างไร?” เหล่าองครักษ์ไม่คิดเช่นนั้น เอ่ยสืบต่อว่า “ฝ่าบาท ความคิดของพระองค์นี้ฟังแล้วคือแนวคิดตามเหตุย่อมจะเป็นเช่นนั้นของพวกคนรวย เหล่าราษฎรเคยทดลองปลูกพืชพันธุ์หลายชนิดในบึงโคลนล้วนไม่สำเร็จ ซ้ำยังทำลายธัญญาหารล้ำค่ามากมาย ภายหลังทุกคนรู้ว่าบึงโคลนไร้ประโยชน์จึงไม่ทดลองมั่วซั่วอีกแล้ว” 

 

 

“หากผู้ใดหาวิธีเพิ่มพูนผลผลิตจากบึงโคลนได้ คงมิกลายเป็นผู้มีพระคุณใหญ่หลวงของพวกเจ้าเลยหรือ?” จิ่งเหิงปัวล้อเล่น 

 

 

“แน่นอนอยู่แล้ว!” เหล่าองครักษ์ตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยวเปี่ยมจินตนาการ เอ่ยสืบต่อว่า “คนผู้นั้นจะกลายเป็นผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตทุกผู้คนในต้าฮวง! เทพยดาของทุกผู้คนในต้าฮวง! เขาจะกลายเป็นผู้ที่ชาวต้าฮวงซาบซึ้งจนน้ำตานองชั่วกาล เสพสุขการเซ่นไหว้บูชาจากราษฎรของต้าฮวงชั่วนิรันดร์! ด้วยเพราะเขาทำให้เหล่าราษฎรไม่อดอยากท้องหิวอีก! บุญบารมีไร้ที่สิ้นสุด!” 

 

 

ในสายตาของราษฎร แว่นแคว้นกว้างใหญ่ก็ดี กำลังของประเทศเข้มแข็งเกรียงไกรก็ดี ล้วนไม่สำคัญและเป็นรูปธรรมที่สุดเท่าสิ่งที่ทำให้อิ่มท้อง 

 

 

จิ่งเหิงปัวถูกน้ำเสียงของเขาเอ่ยเสียจนเลือดเดือดพลุ่งพล่าน ทว่าจากนั้นองครักษ์นั้นก็ก้มหน้าลงอย่างห่อเ**่ยว เอ่ยว่า “จะเป็นไปได้อย่างไร? เรื่องที่ผู้มีความสามารถมากมายเช่นนั้นลองแล้วยังไม่สำเร็จ…อย่าได้คิดหวังอีกเลย…” 

 

 

แต่จิ่งเหิงปัวกุมศีรษะครุ่นคิดเอาเป็นเอาตาย…นางจำได้ว่าคล้ายเคยมองเห็นวิธีการใช้บึงโคลนปลูกพืชพันธุ์ที่ไหนนะ? ที่ไหนนะ? ที่ไหนนะ? 

 

 

ครุ่นคิดอยู่เนิ่นนานยังไม่ได้คำตอบ จิ่งเหิงปัวได้แต่ยอมถอดใจทอดทิ้งโอกาสในการเป็นเทพยดาแห่งต้าฮวงไปชั่วคราวอย่างเสียดาย 

 

 

เดินทางบนเส้นทางแบบนั้นไปสองวัน จิ่งเหิงปัวจึงนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาคล้ายเพิ่งเข้าใจในภายหลัง…บึงโคลนทั่วทุกหนแห่งในต้าฮวงตามตำนานล่ะ? ประตูลึกลับแห่งต้าฮวงตามตำนานล่ะ? รูปปั้นทหารทุกแคว้นที่ถูกแช่แข็งนับมิถ้วนนั้นตามตำนานล่ะ? ผ่านมาตลอดเส้นทางนี้ทำไมมองไม่เห็นเลย? 

 

 

นางหันหลังมองภูเขาสองฝั่งที่คล้ายจะทับถมลงมาแล้วเข้าใจในทันที 

 

 

มิน่าล่ะชาวต้าฮวงพวกนี้คุ้นเคยกับแต่ละแคว้นบนแผ่นดินใหญ่ แต่ในสายตาของแต่ละแคว้นต้าฮวงกลับลึกลับอย่างยิ่ง เดิมทีภายในอาณาเขตต้าฮวงมีเส้นทางลับไปสู่แต่ละแคว้น เพียงแต่ซุกซ่อนอยู่ระหว่างภูเขาใหญ่และบึงโคลน หลายปีที่ผ่านมาแต่ละแคว้นไม่ได้ค้นพบเท่านั้น 

 

 

นิ้วมือนิ้วหนึ่งเคาะอยู่ข้างหน้าต่างรถที่เปิดออก นิ้วสีขาวหิมะดุจหยกสลัก 

 

 

นางคิดอย่างเจ้าชู้ว่า นิ้วนี้สวยเสียจริง 

 

 

นิ้วสั่นไหวครั้งหนึ่งเบื้องหน้านาง ในมือมีกล่องขนาดใหญ่งดงามล้ำค่าเพิ่มมาดุจเล่นกล เสียงของกงอิ้นแว่วมาอย่างเย็นชาจากข้างบน “เจ้าควรสนใจกล่องใบนี้ มิใช่สนใจมือของข้า” 

 

 

จิ่งเหิงปัว “อะไร?” 

 

 

กล่องโยนมาบนขาของนาง หนักเสียจนนางร้องกรี๊ดกร๊าดโวยวาย 

 

 

“เปลี่ยนอาภรณ์นี้เสีย นับแต่บัดนี้ เจ้าอาจจะต้องต้อนรับตัวแทนจากหกแคว้นแปดชนเผ่าอย่างไม่หยุดหย่อน ระวังอากัปกิริยา อย่าได้ทำข้าขายหน้าเด็ดขาด” มหาเทพตอบกลับมาอย่างเย็นชา 

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ…หลังจากค่ำคืนเฮงซวยคืนหนึ่งนั้น สถานการณ์ระหว่างนางกับกงอิ้นก็กลับไปเป็นเหมือนก่อนได้รับอิสระภายในค่ำคืนเดียว กงอิ้นคล้ายจะเป็นโรคความจำเสื่อมโดยพลัน ลืมสายตาซ่อนเร้นและท่าทางน่ารักคลุมเครือก่อนหน้าเหล่านั้น กลับกลายเป็นตัวเขาเองใหม่อีกครั้ง…สูงส่งเย็นชา รักษาระยะห่าง และปากร้าย 

 

 

สายลมที่เขาเดินผ่านล้วนเจือด้วยการปฏิเสธโดยไร้วาจา ไม่รู้ว่าสิ่งที่ปฏิเสธคือจิ่งเหิงปัวหรือว่าความจำใจที่ก้นบึ้งหัวใจของเขาเองไร้หนทางเอ่ยออกมา 

 

 

ตอนนี้จิ่งเหิงปัวเพิ่งสังเกตอาภรณ์วันนี้ของกงอิ้นคล้ายมีความเปลี่ยนแปลงเช่นกัน แม้ว่ายังคงเป็นชุดสีขาวแต่เนื้อผ้ายิ่งงดงามประณีต ชายแขนเสื้อกลัดด้วยกระดุมไข่มุกสีเงินแถวหนึ่ง รอบไข่มุกแต่ละเม็ดยังปักลายเถาดอกไม้ลายสัตว์เทวะซึ่งงดงามที่สุด กลิ่นอายบารมีพวยพุ่งยามต้องแสงอาทิตย์ 

 

 

ผ้าคลุมสีขาวหิมะกุ๊นขอบเงินสยายลงมาจากหัวไหล่ของเขา จากไหล่ไปถึงข้อมือมีด้ายเงินปักเป็นรูปสัตว์คล้ายมังกรทว่ามิใช่มังกรโผบินเช่นกัน ปรากฏผลุบโผล่ตามแสงอาทิตย์โผล่พ้นและลับฟ้า ดุจมังกรซ่อนในเหวลึกรอเวลาเหาะเหิน 

 

 

เส้นผมสีดำทั้งศีรษะของเขาใช้ปิ่นหยกขาวอ่อนละมุนลายเมฆาอันหนึ่งปักไว้ สีหยกดุจหิมะขาวโพลนบนภูเขาสูงที่ไร้ผู้คนย่ำเท้าถึง ส่วนเส้นผมทอประกายสีดำขลับดุจธารหลาก 

 

 

จากซอกมุมมืดสลัวบนรถม้ามองเขาที่อยู่ใต้แสงอาทิตย์นอกรถม้า คล้ายมองเห็นรูปสลักผลึกแก้วตั้งตระหง่านใต้ท้องนภาสีคราม สงบเงียบควบคุมตน มิอาจล่วงเกินได้โดยง่าย 

 

 

จิ่งเหิงปัวน้ำลายหยดย้อย อยากลวนลามเขาเหลือเกิน 

 

 

… 

 

 

นางใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดจึงลากเสื้อผ้าออกมาจากกล่องได้ เป็นชุดพิธีการหรูหราที่ประดับเต็มด้วยอัญมณีดังคาดไว้ เฉพาะด้ายทองก็ใช้ไปหลายชั่ง 

 

 

จิ่งเหิงปัวชอบอัญมณีอย่างมากแต่ไม่ชอบแบกอัญมณีวิ่งไปทั่วแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นชุดพิธีการนี้ไร้รูปทรงโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่หัวจรดเท้ารวมเป็นเส้นตรงเส้นเดียว ไม่ผุดเผยทรวดทรงของร่างกายเลยแม้แต่น้อย นางเกลียดเสื้อผ้าที่ไม่สามารถผุดเผยรูปร่างงดงามของนางที่สุดเลย! 

 

 

สวมใส่ชุดพิธีการที่หนาจนลมพัดผ่านไม่ได้ นั่งเรียบร้อยอยู่บนรถ รอคอยคนป่าบ้าบออะไรก็ไม่รู้มารับเสด็จ จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าตนเองโง่เง่าเหลือเกิน 

 

 

ความสนุกเพียงอย่างเดียวคือการมองดูเงาด้านหลังที่งดงามหรูหราของมหาเทพกงผ่านหน้าต่าง 

 

 

หล่อจริงๆ เลย 

 

 

จิ่งเหิงปัวเช็ดน้ำลายข้างริมฝีปากเป็นครั้งที่สิบแปด 

 

 

เสียดายว่ากงอิ้นไม่ยอมหันหลังสักที สันหลังตรงดิ่ง สายตามองเพียงเบื้องหน้า 

 

 

จิ่งเหิงปัวครุ่นคิดบ่นไปมา…เจ้าคนนี้ทำตัวน่าอึดอัดชะมัด ก็แค่ล่วงเกินนางนิดหน่อยเองไม่ใช่เหรอ? ทำไมทำตัวเหมือนเขาถูกลวนลามเลยล่ะ? หรือว่าต้องการให้นางจ่ายค่าสูญเสียกำลังวังชา? 

 

 

จิ่งเหิงปัวหดตัวอยู่บนเก้าอี้อย่างหดหู่ คว้าพู่ระย้าของม่านหน้าต่างไว้เชื่องช้า 

 

 

เฟยเฟยแทะขนมปังประกบเนื้ออยู่อีกฝั่งหนึ่ง เงยหน้ามองดูนางตลอดเวลา ในสายตาเปี่ยมไปด้วยคำว่า “เพิ่งจะสำนึก!” 

 

 

แว่วเสียงแตรสัญญาณจากที่ห่างไกลโดยพลัน เสียงแตรทรงพลังเชื่องช้า จังหวะเร็วหนึ่งครั้งจังหวะช้าสามครั้ง เจือเสียงเสือและสิงโตคำรามรำไร 

 

 

ม้าของกงอิ้นหยุดฝีเท้า คล้ายกำลังฟังเสียงแตรสัญญาณโดยละเอียด 

 

 

องครักษ์ที่ส่งไปสืบดูเบื้องหน้าผู้หนึ่งควบม้าตะบึงห้อมา ร้องตะโกนอยู่ห่างไกล 

 

 

“เรียนราชครู ทูตจากหกแคว้นแปดชนเผ่าน้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้!”