ตอนที่ 1807

War sovereign Soaring The Heavens

ตอนที่ 1,807 : ความโกลาหลครั้งใหญ่

 

จังหวะนี้ไม่เว้นจ้าวเติงบิดาของจ้าวจี้ หรือระดับสูงของตำหนักฟ้าลี้ลับทุกคน กลับไม่ทันได้ฉุกคิดเลยว่า…เรื่องราวครั้งนี้มีอะไรไม่ชอบมาพากล…โดยเฉพาะเรื่องที่จูลู่ฉีพาฉีจิ้งหนีไปแบบนี้

 

ก่อนอื่นเลยจูลู่ฉีรู้ได้อย่างไรว่าเคล็ดบำเพ็ญมารที่ฉีจิ้งบ่มเพาะฝึกปรือเป็นเคล็ดมารกลืนหยิน?

 

จูลู่ฉีไม่เหมือนจ้าวจี้ ไหนเลยใช้เรื่องลี่เฟิงหรือหลิงเทียนกระตุ้นฉีจิ้งได้?

 

ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นเพราะผู้ที่เหินอยู่ข้างๆจ้าวเติงตอนนี้ จ้าวจี้!

 

ครั้งที่แล้วหลังจากที่จ้าวจี้สนทนากับฉีจิ้งในคุกลับใต้ดิน จ้าวจี้ก็กลับมาครุ่นคิดจนหัวแทบแตกว่าจะช่วยฉีจิ้งอย่างไรดี

 

ฉีจิ้งขอให้มันช่วยชีวิต เรื่องนี้นับเป็นอะไรที่ยากเกินตัวมันนัก!

 

เว้นแต่ปู่กับบิดาของมันให้ความช่วยเหลือ ไม่งั้นก็เป็นไปไม่ได้เลย!

 

ทว่าอยู่มาวันหนึ่ง ด้วยความบังเอิญจ้าวจี้พลันพบเจอจูลู่ฉีกำลังระบายอารมณ์อยู่ในหุบเขาร้างห่างไกลที่อยู่บริเวณกึ่งกลางของยอดเขาวังนภา แถมวิธีระบายอารมรณ์ยังไม่คล้ายผู้ที่อยู่มานับร้อยๆปี!!

 

ก่อนอื่นเลย มีการแกะสลักก้อนหินเป็นหน้าผู้คน…และคนผู้นั้นก็คือเฝิงปู่อี้ รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน! อีกทั้งก่อนที่จะทุบทำลายรูปสลักนั่นจนแลหกเป็นผง ก็มีการตะโกนร่ำร้องด่าทอออกมาก่อน! นับว่าเป็นอะไรที่ผิดวิสัยของยอดฝีมือนัก!!

 

และตอนนั้นเอง ทำให้จ้าวจี้สัมผัสได้ถึงโทสะอันเกรี้ยวกราดของจูลู่ฉี…

 

และพริบตานั้นมันก็แลเห็น ‘ความหวัง’ ส่องสว่างขึ้นมา ใจยังคิดไป ‘หากจ้าววังจูช่วยเหลือข้า…เรื่องราวคงง่ายดายนัก!’

 

และด้วยเหตุนี้มันจึงพยายามเข้าหาจูลู่ฉี

 

ตอนแรกมันก็ไม่ได้กล่าวตรงประเด็นเพียงเลียบๆเคียงๆถามความเห็นเกี่ยวกับเคล็ดบำเพ็ญมารอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรมก่อน

 

หากจูลู่ฉียืนกรานและปฏิเสธเคล็ดบำเพ็ญมารที่มีวิธีการชั่วร้ายอย่างไม่มีวันอ่อนข้อ มันก็ไม่คิดจะเปิดเผยแผนการอะไรออกไป

 

อย่างไรก็ตามหลังจากใช้เวลาไปพักใหญ่ มันก็ยืนยันได้ว่าแม้จูลู่ฉีจะไม่เห็นด้วยกับอวิชชาชั่วร้าย ทว่าความเกลียดชังที่มีต่อเฝิงปู่อี้กลับเหนือกว่า!

 

เรียกว่าหากสามารถฆ่าเฝิงปู่อี้ได้ ต่อให้ต้องฝึกฝนเคล็ดบำเพ็ญมารอันชั่วร้ายก็ยอม!

 

ภายใต้สถานการณ์เหล่านี้ จ้าวจี้ก็เริ่มเกริ่นๆเรื่องช่วยเหลือฉีจิ้งเพื่อแลกกับเคล็ดบำเพ็ญมารระดับสูงอย่างมารกลืนหยินที่ฉีจิ้งฝึกปรือ

 

จูลู่ฉีที่ใจถูกความแค้นเข้าครอบงำ ย่อมเห็นด้วย!

 

สุดท้ายจึงเกิดเรื่องอย่างในวันนี้ขึ้น..

 

เมื่อไม่นานมานี้ก็ถึงรอบที่จูลู่ฉีต้องทำหน้าที่เป็นผู้เฝ้าปราการสุดท้ายของคุกลับใต้ดิน

 

แน่นอนว่าไม่ต้องสงสัยเลยว่าด้วยพลังฝีมือของจูลู่ฉีที่ถือว่าเป็นตัวตนที่ร้ายกาจที่สุดในกระบวนการป้องกัน มันย่อมสามารถช่วยเหลือฉีจิ้งออกจากคุกลับใต้ดินได้ไม่ยากเย็น ยังลงมือรวดเร็วเกินกวาที่อาวุโสคนอื่นจะทันได้รู้ตัวเสียอีก!

 

 

แน่นอนว่าการก่อการครั้งนี้มีเพียงฉีจิ้ง จูลู่ฉี และจ้าวจี้เท่านั้นที่ล่วงรู้!

 

ต้องกล่าวเลยว่าจ้าวจี้ในฐานะ รุ่นเยาว์ที่ทรงอำนาจที่สุดในตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่เพียงแต่มีพลังฝึกปรือไม่เลว หัวคิดยังไม่ใช่ต่ำทราม…

 

อย่างน้อยๆมันก็สามารถกล่อมให้จูลู่ฉีทำชั่วได้…

 

ด้วยพลังฝีมืออันร้ายกาจของจูลู่ฉี แน่นอนว่าหากอีกฝ่ายคิดตัดจ้าวจี้ออกไป และหันไปร่วมมือกับฉีจิ้งเพียงลำพังย่อมกระทำได้ไม่ยาก

 

ทว่าจ้าวจี้ได้กล่าวบอกกับจูลู่ฉีเอาไว้ หากอีกฝ่ายกล้าคิดฮุบเคล็ดมารกลืนหยินไปคนเดียว มันจะไปฟ้องปู่ทันที!

 

สุดท้ายมันก็บีบคั้นให้จูลู่ฉียินยอมกล่าวคำสาบานต่อทัณฑ์สวรรค์เก้าเก้าว่าจะไม่หักหลังมันได้สำเร็จ หลังจากนั้นก็แค่รอให้จูลี่ฉีลงมือก่อการทั้งหมด ส่วนมันนั่งรอเวลาอย่างสบายใจ

 

เรียกว่าตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่ต้องลงมือทำอะไรทั้งสิ้น แถมยังไม่เป็นการเปิดเผยตัวเองว่ามีเอี่ยวกับเคล็ดมารกลืนหยินอีกด้วย!

 

แน่นอนว่าตอนนี้มันยังไม่ได้รับเคล็ดมารกลืนหยิน เนื่องจากจูลู่ฉีกล่าวบอกไว้แล้วว่าจะส่งมอบเคล็ดมารกลืนหยินให้มัน หลังจากพาฉีจิ้งหนีออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับได้สำเร็จ..

 

‘ข้าหวังว่าจูลู่ฉีนั่นจักไม่ไร้ประโยชน์หรอกนะ…’

 

ตอนนี้เรื่องที่จ้าวจี้ห่วงที่สุดก็คือ จูลู่ฉีถูกปู่มันกับกู่ซืออวิ๋นจับได้! แน่นอนว่าจู่ลู่ฉีจะเป็นตายร้ายดีอย่างไรมันไม่แยแส ที่มันห่วงก็มีแต่เคล็ดมารกลืนหยินเท่านั้น!!

 

ยังดีที่จูลู่ฉีไม่ทราบความคิดในหัวจ้าวจี้ตอนนี้ หาไม่แล้วคงได้กระอักเลือดกันบ้าง

 

มันเสี่ยงตายพาคนหลบหนีออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ กระทั่งตัวมันเองยังไม่รู้เลยว่าจะกระทำสำเร็จราบรื่นหรือไม่! ทว่าสหายที่ยั่วยุมันผู้นี้กลับไม่สนว่ามันจะเป็นตายร้ายดีแม้แต่น้อย เพียงห่วงแต่เคล็ดมารกลืนหยินเท่านั้น!

 

หลังผ่านไปหลายวัน ในที่สุดอาวุโสผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ก็กลับมามือเปล่า

 

หลังจากที่จูลู่ฉีพาฉีจิ้งหนีออกจากเขตตำหนักฟ้าลี้ลับ คนก็คล้ายหายไปในอากาศว่างเปล่าอย่างไร้ร่องรอย

 

“ข้าเกรงว่าจ้าววังจูสมควรตระเตรียมแผนการมาอย่างดี…ขนาดพวกท่าน 2 คนช่วยกันยังมิอาจหาตัวมันพบ”

 

จ้าวตำหนักฟ้าลี้ลับกล่าวออกอย่างช่วยไม่ได้

 

“เช่นนั้นพวกท่านก็ไม่ต้องเปลืองแรงตามหาคนแล้ว เห็นชัดว่าจ้าววังจูหมายมั่นตั้งใจว่าต้องฝึกเคล็ดมารกลืนหยินให้จงได้! ก็ดีอย่างน้อยๆตอนนี้พวกเราก็ไม่ต้องเสียเวลาตามหาข้ารับใช้หลังค่อมนั่น เร่งประกาศออกไปเสียว่าตำหนักฟ้าลี้ลับเรา พบคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องฝึกปรือเคล็ดมารกลืนหยิน จึงผดุงคุณธรรมแทนฟ้าพิพากษาหมู่มาร ลงมือกวาดล้างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยความชอบธรรม! “

 

เมิ่งฉิงพยักหน้ารับคำรายงานของผู้พิทักษ์ทั้ง 2 ก่อนที่จะกล่าวสั่งออกมาด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด หมายจัดการสะสางเรื่องราวของคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องให้จบสิ้น

 

ในอดีตตำหนักฟ้าลี้ลับต้องส่งคนไปตรึงกำลังคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง กับเมืองของหรงฟ่านด้วยกลัวเรื่องราวแพร่งพราย

 

ตอนนี้พวกมันไม่ต้องทำแบบนั้นอีกต่อไป!

 

“นอกจากนั้นถ่ายทอดข้อความนี้ออกไปด้วย จ้าววังนภา จูลู่ฉี ได้ถูกขับออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เพราะลักพาตัวฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยหวังช่วงชิงเคล็ดมารกลืนหยิน! และฉีจิ้งเป็นคนคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องคนแรกที่ฝึกปรือเคล็ดมารกลืนหยิน!!”

 

เมิ่งฉิงกล่าวสืบต่อ

 

เมิ่งฉิงสั่งให้ประกาศออกไปเช่นนี้เห็นชัดว่าคิดผลักไสเรื่องราวทั้งหมดให้จูลี่ฉีรับผิดชอบ

 

ในเมื่อจูลู่ฉีกล้าก่อการเช่นนี้ นั่นหมายความว่าเตรียมตัวรับเรื่องราวเหล่านี้ไว้แล้ว

 

“นอกจากนี้ส่งคนไปเยือนตลาดมืดหยินชาน และแจ้งให้รองผู้นำตลาดมืดหยินชานเฝิงปู่อี้รับทราบ ว่าที่จูลู่ฉีลักพาตัวฉีจิ้งไปเพื่อชิงเคล็ดมารกลืนหยินนั้น ทั้งหมดเพราะคิดล้างแค้น หมายคืนความอัปยศที่เฝิงปู่อี้มอบให้วันนั้น!”

 

เมิ่งฉิงกล่าวออกอีกรอบ

 

เกี่ยวกับการตัดสินใจของเมิ่งฉิง คนตำหนักฟ้าลี้ลับไม่มีใครขัดข้อง

 

จ้าววังทั้ง 3 ที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจูลู่ฉี ก็ได้แต่ระบายลมหายใจออกมาอย่างสะทกสะท้อน…

 

แต่พวกมันทั้งหมดรู้ดีว่าที่จ้าวตำหนักตัดสินใจลงมือทำเรื่องพวกนี้เพราะเห็นแก่ภาพรวม ไม่ได้คิดให้ร้ายจูลู่ฉีเป็นการส่วนตัว

 

ด้วยเหตุนี้ข่าวอันน่าตื่นตระหนกจึงแพร่กระจายออกมาจากตำหนักฟ้าลี้ลับ สร้างความโกลาหลครั้งใหญ่ไปทั้งภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า

 

“เคล็ดมารกลืนหยินปรากฏขึ้นอีกครั้งหรือ?”

 

“ขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องได้รับเคล็ดมารกลืนหยินมา? เป็นนายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องฉีจิ้งฝึกฝนบ่มเพาะด้วยเคล็ดวิชานี้จึงทำให้ยังไม่ตายแม้จะถูกแทงทะลุหว่างคิ้ว?”

 

“ขุมพลังกึ่งชั้น 3 อย่างตำหนักฟ้าลี้ลับ พอทราบข่าวว่าคนของคฤหาสน์ฟ้าลี้ลับเกี่ยวข้องกับเคล็ดมารกลืนหยิน ก็ลงมือเคลื่อนไหวกวาดล้างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องด้วยฉับไว เข่นฆ่าผู้ที่แข็งข้อต่อต้านและไม่ยอมกล่าวคำสาบาน…กระทั่งสุดท้ายเหลือแต่เด็กสตรีกับคนชราที่รอดชีวิต?”

 

“เพราะเหตุนี้เคล็ดมารกลืนหยินถึงตกไปอยู่ในมือตำหนักฟ้าลี้ลับ?”

 

“จ้าววังนภาจูลู่ฉี ของตำหนักฟ้าลี้ลับ ลักพาตัวฉีจิ้งเพราะเห็นแก่ตัวหมายครอบครองเคล็ดมารกลืนหยิน…แถมตำหนักฟ้าลี้ลับยังล้มเหลวในการจับกุมตัว เช่นนั้นจึงติดประกาศภาพเหมือนจูลู่ฉีไปทั่วหล้า หมายให้ผู้คนระวังจูลู่ฉี!”

 

“จูลู่ฉี มิพ้นอยากฝึกฝนเคล็ดมารกลืนหยินแน่!!”

 

 

เรียกว่าความสงบของภูมิภาคเบื้องล่าง ถูกข่าวนี้ทำให้เดือดพล่านขึ้นมา

 

หลายคนยังอดถอนหายใจออกมาเสียไม่ได้ ขุมพลังชั้น 4 อย่างคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกลับล่มสลายไปอย่างง่ายดาย

 

หลายคนก็อดไม่ได้ที่จะคร่ำครวญถึงพลังอันน่ากลัวของขุมพลังกึ่งชั้น 3 “สมแล้วที่เป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ขุมพลังชั้น 4 มิอาจเทียบได้เลย…คฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่องกลับถูกทำลายง่ายดายเช่นนั้น!”

 

ขุมพลังชั้น 4 ทั้งหมดย่อมตื่นตระหนกหลังได้รับทราบข่าวนี้

 

“ความแข็งแกร่งของตำหนักฟ้าลี้ลับมากมายเกินไป หรือที่แท้ช่องว่างระหว่างขุมพลังกึ่งชั้น 3 กับขุมพลังชั้น 4 เรามันมากมายถึงเพียงนี้อยู่แล้ว…”

 

เหล่าอาวุโสของขุมพลังชั้น 4 บางแห่ง ถึงกับต้องมานั่งหารือกันด้วยความหวั่นใจ หลายคนอดไม่ได้ที่จะมองตากันด้วยความตกตะลึง

 

“ตำหนักฟ้าลี้ลับ ไม่นับว่าร้ายกาจมากมายอะไรในบรรดาขุมพลังกึ่งชั้น 3…ทว่าตำหนักฟ้าลี้ลับยังร้ายกาจถึงเพียงนี้ แล้วตลาดมืดหยินชานกับตำหนักเมฆาครามที่ทรงพลังเหนือกว่า จักน่ากลัวถึงเพียงใดกัน…”

 

ถึงแม้จะเป็นขุมพลังชั้น 4 แต่พวกมันก็ไม่ใช่ว่าจะเคยปะทะกับขุมพลังกึ่งชั้น 3 ดังนั้นแม้พวกมันจะรู้ว่าขุมพลังกึ่งชั้น 3 ร้ายกาจ แต่ก็ไม่ชัดเจนว่าพลังอำนาจที่แท้เป็นอย่างไร…

 

คราวนี้ตำหนักฟ้าลี้ลับเพียงเคลื่อนไหวอย่างเงียบเชียบ ไมได้ใช้กำลังพลอะไรมากมาย ทว่ากลับทำลายเสาหลัก เลาะกระดูกสันหลังของขุมพลังชั้น 4 จนพินาศลงอย่างง่ายดาย! เผยให้เห็นถึงพลังอำนาจของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ชัดเจน!!

 

และความแข็งแกร่งดังกล่าวทำให้พวกมันหวาดกลัว

 

“ข้าหลงคิดว่าขอเพียงมีเวลาอีกไม่ถึงร้อยปี พวกเราจักสามารถยกระดับกลายเป็นขุมพลังกึ่งชั้น 3 ได้มิยาก…ตอนนี้ดูเหมือนที่ข้าคิดกลับเป็นเพียงมายาฝันอันเลื่อนลอย…”

 

“ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ทรงพลังถึงเพียงนี้เลยหรือ…ยังอีกยาวไกลนักกว่าพวกเราจะยกระดับขึ้นไปเทียบได้!”

 

……

 

ขุมพลังชั้น 4 ทั่วภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋ามากมาย ไม่เพียงตกตะลึงกับพลังอำนาจของขุมพลังกึ่งชั้น 3 พวกมันยังกลายเป็นหวาดกลัว ไม่กล้าเทียบชั้นหรือคิดเผยอท้าทายขุมพลังกึ่งชั้น 3 ในเร็ววัน…

 

การลงมือปานฟ้าผ่าของตำหนักฟ้าลี้ลับ เรียกว่าเผยให้เห็นถึงพลังของขุมพลังกึ่งชั้น 3 ชัดเจน!

 

ตำหนักเมฆาครามที่เป็น 1 ใน 2 ขุมพลังกึ่งชั้น 3 ที่แข็งแกร่งที่สุดแน่นอนว่าย่อมได้รับรายงานเรื่องตำหนักฟ้าลี้ลับเช่นกัน

 

“เคล็ดมารกลืนหยินงั้นเหรอ?”

 

ภายในห้องโถงใหญ่โต ปรากฏร่างชายวัยกลางคนนั่งอยู่อย่างสง่าผ่าเผย ไม่ใช่ใครอื่น ต้วนหรูเฟิง จ้าวตำหนักเมฆาครามคนปัจจุบัน

 

“ใช่ท่านจ้าวตำหนัก”

 

ชายชราที่ยืนรายงานเรื่องราวไม่ห่างกล่าวรับคำ

 

“เอาล่ะ อาวุโสหรงท่านกลับไปได้แล้ว”

 

ต้วนหรูเฟิงกล่าว

 

“เอ่อ…ท่านจ้าวตำหนัก เคล็ดมารกลืนหยินต้องก่อมรสุมโลหิตอีกครั้งเป็นแน่…พวกเราตำหนักเมฆาครามไม่เคลื่อนไหวอันใดบ้างหรือ…อย่างเช่นส่งคนไปฆ่าตัวทรยศของตำหนักฟ้าลี้ลับเพื่อกำจัดเคล็ดมาร หรือเตรียมรับมือเภทภัยอันใดในวันหน้า?”

 

เมื่อเห็นว่าต้วนหรูเฟิงที่ได้ฟังรายงานเรื่องเคล็ดมารกลืนหยินแล้ว แต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรมากมายราวกับเป็นเรื่องเล็กน้อย หรงหยวนอดไม่ได้ที่จะกล่าวเสนอแนะขึ้นมา

 

“รอดูไปก่อนเถอะ”

 

ต้วนหรูเฟิงตอบ

 

“ทราบแล้วท่านจ้าวตำหนัก”

 

หรงหยวนพยักหน้าด้วยเคารพ ก่อนที่จะหันหลังจากไป

 

หลังจากที่หรงหยวนจากไป ต้วนหรูเฟิงพลันโค้งคิ้วขึ้น ‘หากข้าจำไม่ผิดเคล็ดมารกลืนหยินอะไรนี่ สมควรเป็นเคล็ดบำเพ็ญมารที่เฮยหมิงสร้างขึ้นมากับมือ! อย่างไรก็ตามเคล็ดมารกลืนหยินฉับดั้งเดิมของเฮยหมิง เพียงฝึกฝนบ่มเพาะพลังโดยการดูดซับพลังหยินจากจันทราและพลังงานด้านลบเท่านั้น เรียกว่าแทบไม่ต่างอันใดจากเคล็ดบำเพ็ญเต๋าสายธรรมชาติด้วยซ้ำ…เพียงแค่มันรุนแรงและอันตรายมากกว่า!’

 

‘การที่มันกลายเป็นดูดซับพลังหยินจากสตรีและแก่นแท้โลหิตเช่นนี้ สมควรเป็นฝีมือศิษย์ไม่รักดีในความทรงจำของเฮยหมิงคนนั้นที่มันขับไล่ไปไม่ผิดแน่…’