หลังจากเยี่ยเม่ยฟังเขาเอ่ยจบ นางประเมินเขาตั้งแต่หัวจรดเท้ารอบหนึ่ง
บุรุษผู้นี้รูปร่างกำยำ ต่างจากลักษณะของชาวภาคกลางทั่วไป เผยความองอาจออกมา
ส่วนใบหน้านั้นนอกจากหล่อเหลาสง่างาม ทั้งยังมีความรู้สึกของคนต่างแดน
ดวงตาเป็นสีฟ้างดงามราวกับสีฟ้ามหาสมุทร ทำให้คนตกหลุมได้ภายในการมองครั้งเดียว ดวงตางดงามขนาดนี้ ต่อให้อยู่ภายใต้แสงเทียนยามราตรี ก็ยังทำให้คนหลงใหล
เห็นเยี่ยเม่ยประเมินเขา ดวงตาของเขาก็มองกลอกไปมาบนร่างของเยี่ยเม่ยเช่นกัน
ใบหน้าเขามีแววทะเล้น สีหน้าเผยความหยอกล้อ คล้ายกับคุณชายเจ้าสำราญผู้ไม่ใส่ใจโลกหล้าท่องเที่ยวในแดนมนุษย์
ยามเห็นสตรีนางนี้มองใบหน้าเขา ไร้ซึ่งความเคลิบเคลิ้ม อารมณ์ยังดูเย็นชาด้วยซ้ำไป สายตาของบุรุษหนุ่มก็มีแววสนุกนานเผยออกมา
ส่วนแววตาสนุกสนานนี้ก็ทำให้เยี่ยเม่ยมองออกว่า บุรุษผู้นี้หาได้ธรรมดาอย่างที่แสดงออก
หลังคนทั้งสองสบตาประเมินอีกฝ่าย บุรุษหนุ่มก็ชม้ายตาใส่เยี่ยเม่ย เอ่ยปากยิ้มแย้มว่า “เป็นอย่างไรบ้าง คนงาม รูปโฉมและท่าทางของข้า ไม่ทำให้เจ้าผิดหวังกระมัง”
เมื่อเขากล่าวเช่นนี้ เยี่ยเม่ยตอบด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ “แต่ก็ไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกเต็มไปด้วยความหวัง”
“แค่ก…” บุรุษผู้นั้นสำลักไปเล็กน้อย รีบเอามือกุมอก ทำท่าราวปวดใจ “อย่าพูดเช่นนั้น ในยามนี้สมควรเอ่ยชมสักประโยค บอกว่าตัวเองไม่ค่อยได้พบบุรุษรูปงามไม่เป็นรองใครเช่นข้ามิใช่หรือ”
สิ้นเสียงเขา
เยี่ยเม่ยก็รุดมาถึงเบื้องหน้า ดึงมีดสั้นออกจากแขนเสื้อ จี้คอคนตรงหน้า
ราวกับบุรุษผู้นั้นป้องกันไว้อยู่ก่อน ในขณะที่มีดสั้นกำลังเข้าใกล้ตน ก็ยื่นมือออกไปเตรียมหยุดยั้งมีดสั้นของเยี่ยเม่ยเอาไว้
จากนั้น เขาพบว่าความเร็วของเยี่ยเม่ยไม่ด้อยไปกว่าเขาเลย
เขายื่นมือออกมาเช่นนี้ ยังขัดขวางไว้ไม่ทัน เวลาเพียงชั่ววูบ เขาตัดสินใจอย่างฉับพลัน ถอยหลังไปอย่างรวดเร็ว มีดของเยี่ยเม่ยถึงไม่ปาดคอตน
คราวนี้ ชายหนุ่มก็อดร้องเสียงดังไม่ได้ สีหน้าโศกเศร้ามองเยี่ยเม่ย “นี่ นี่ นี่ ไฉนเจ้าถึงลงมืออย่างโหดเ**้ยมกับบุรุษรูปงามเช่นข้าได้ลงคอกันเชียว หัวใจเจ้าทำมาจากหินผาหรือไง”
จากคำพูดประโยคนี้ของเขา เยี่ยเม่ยค่อยๆ ขยับปรับทิศทางของมีดสั้นในมือ
บุรุษหนุ่มตระหนักได้ทันทีว่า หากตัวเองยังคงพูดจาเหลวไหลต่อไป นางจะลงมืออีกครั้งแล้ว
ดังนั้น เขาทำหน้าตาทะเล้น “ไม่สู้เอาอย่างนี้ เจ้าถามอะไรข้าตอบอย่างนั้น พวกเราคบกันเป็นสหาย อย่าได้ลงมือใช้อาวุธกับข้าดีหรือเปล่า ข้าไม่อยากเชื่อว่า จะมีคนงามทำกับข้าเช่นนี้”
ยามเอ่ยคำพูดนี้ เขายังคงทำท่าทำทางปาดน้ำตาที่ไม่มีอยู่จริงที่หางตาทีหนึ่ง
มองเขาก่อกวนอยู่นาน
เยี่ยเม่ยหมดความอด รู้อยู่แก่ใจว่าบุรุษเบื้องหน้ามีวรยุทธ์ไม่ต่ำต้อย เยี่ยเม่ยมองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา เอ่ยปากว่า “เจ้าเป็นใครกันแน่”
บุรุษเหยียดมุมปาก ยิ้มอย่างเจ้าชู้ ดวงตาคู่สีฟ้า ยิ่งพราวประกายงดงาม “เจ้าลองเดาดูสิ เสี่ยวมั่วหรือเสี่ยวเหอ เรื่องนี้ไม่น่าเดายาก คนงาม นับแต่แต่แรกเริ่ม ข้าก็ไม่คิดจะปิดบังฐานะของข้ากับเจ้า”
เยี่ยเม่ยย่นคิ้ว มองบุรุษเบื้องหน้า เอ่ยว่า “หรือเจ้าก็คือ…”
บุรุษหนุ่มฟังเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ ยามนั้นสีหน้าค่อยแสดงว่าพบคนที่รู้ใจ รีบพยักหน้าอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเอียงคอตั้งใจทำตัวน่ารัก มือข้างหนึ่งกำหมัด คล้ายยัดเข้าไปในปาก พยักหน้าใส่เยี่ยเม่ยอย่างรวดเร็ว
แสดงออกว่า…คือข้า ข้าก็คือ
เยี่ยเม่ยชะงักไปเล็กน้อย เอ่ยต่อว่า “คือ…”
“อือ อือ” บุรุษหหนุ่มรีบพยักหน้ารัวเร็วขึ้น หางตามีน้ำตาแห่งเห็นด้วย
จากนั้น
เยี่ยเม่ยเห็นท่าทางตื่นเต้นของเขา สุดท้ายก็พ่นคำพูดประโยคหนึ่งออกมา “ข้าไม่รู้”
“ตุบ”
บุรุษหนุ่มขาเซไปเล็กน้อยเกือบล้มลง
คิดไม่ถึงเลยว่า เยี่ยเม่ยเหมือนจะเอ่ยอยู่ตั้งนาน สุดท้ายกลับเดาฐานะของเขาไม่ถูก
บุรุษหนุ่มลูบหน้าตัวเองอย่างเศร้าสลด เจ็บปวดใจเอ่ยว่า “ข้าคิดไม่ถึงจริง เพียงแค่ออกบวชไม่กี่ปี ผู้คนก็ลืมข้าผู้มีอิสระเสรีองอาจสง่างามแล้ว คนงาม เป็นเจ้าผู้เดียวที่ลืมข้า หรือว่าคนทั่วหล้าต่างลืมข้าไปหมดแล้ว”
เยี่ยเม่ยมาในยุคนี้ภายหลัง นางไม่รู้จักบุรุษตรงหน้าก็ไม่ปกติ แต่ว่าคนอื่นรู้จักหรือไม่ นางก็ไม่รู้ชัดเจน
เรื่องที่ไม่รู้ชัดเจน นางไม่เอ่ย
หญิงสาวเพียงจ้องบุรุษหนุ่มตรงหน้า เอ่ยว่า “ท่านเล่าเรื่องของท่าน เพื่อเตือนข้าสักหน้อย ว่าท่านคือใคร”
ไม่ว่าเขาจะพูดเรื่องในอดีตอย่างไร เยี่ยเม่ยก็ไม่มีทางคิดออกว่าอีกฝ่ายคือใคร แต่นางอยากรู้เรื่องของเขา เพื่อตัดสินความสามารถและฐานะของบุรุษเบื้องหน้านี้
เมื่อเยี่ยเม่ยเอ่ยเช่นนี้ บุรุษผู้นั้นก็เดินมาตรงหน้านางทันที
สีหน้าจริงจังเอ่ยปากว่า “ข้าน่ะ ปีนั้นข้าขึ้นเหนือล่องใต้ ใบหน้าหล่อเหลา ทำให้คนงามไม่น้อยหลงเสน่ห์ ไม่ว่าเดินทางไปที่ไหน ล้วนมีสตรีมอบผ้าเช็ดหน้า ถุงหอมและของขวัญ…”
เขากำลังพูดพร่ำไม่หยุด กลับเห็นสายตาที่เยี่ยเม่ยมองเขายิ่งเย็นชาขึ้นทุกที
ชายหนุ่มกระตุกมุมปากเบาๆ
มองมีดสั้นในมือเยี่ยเม่ย ที่ขยับอีกครั้ง แสดงออกว่าจะลงมือ เขารีบเอ่ยปากว่า “อย่าทำแบบนี้ ข้าแค่เกริ่นนำไปก่อนเท่านั้น อยากให้เจ้าเข้าใจข้าทุกๆ ด้าน”
“หากเจ้าพูดจาเหลวไหลต่อไป ข้าจะให้เหยียนอ๋อง[1]ทำความเข้าใจเจ้าแทนข้า” แววตาของเยี่ยเม่ยเย็นเยือก หมดความอดทนฟังเขาเอ่ยวาจาไร้สาระอีกต่อไป
บุรุษหนุ่มเหยียดปาก คล้ายได้รับความอยุติธรรมอย่างสุดซึ้ง กล่าวว่า “อย่างนั้นก็ได้ ฮือๆๆ…”
บุรุษร่างสูงเกือบหนึ่งร้อยเก้าสิบเซนติเมตร ร้องฮือๆ อยู่ที่นี่ เยี่ยเม่ยชักอยากถีบเขาตายไปในครั้งเดียว
ดีที่ชายหนุ่มร้องฮืออยู่ครู่หนึ่ง ในที่สุดก็กลับสู่ภาวะปกติ
สีหน้าน้อยอกน้อยใจไม่ยินยอม เอ่ยว่า “ข้านั้น มีชื่อจิวมั่วเหอ ชายงามอันดับหนึ่งแห่งต้ามั่ว เรื่องราวที่มีชื่อเสียงที่สุดของข้าก็ นำกำลังทหารกล้าสองพันนาย บุกทะลวงค่ายทหารศัตรูแสนนาย ตัดศีรษะของผู้นำทัพของศัตรูมาได้ ช่วยเหลือท่านข่านแห่งต้ามั่ว รวบรวมแผ่นดินต้ามั่วเป็นหนึ่งเดียว”
เมื่อเขาเอ่ยเช่นนี้ สายตาเยี่ยเม่ยนิ่งลง
ฐานะของอีกฝ่ายชัดเจนมาก คนของราชาต้ามั่ว ดูท่าฐานะน่าจะไม่ต่ำเสียด้วย
อย่างนั้น ผู้มาย่อมเจตนาไม่ดี
สายตาเยี่ยเม่ยฉายไอสังหาร เอ่ยปากว่า “ดูท่า จะเป็นศัตรูมิใช่มิตรแล้ว”
เห็นจิตสังหารบนหน้านาง บุรุษผู้นั้นรีบส่ายหน้า “นี่นี่นี่ เจ้าอย่าได้วู่วาม คำพูดของข้ายังไม่จบเลย เรื่องพวกนั้นล้วนเป็นเรื่องในอดีตไปแล้ว หลังจากข้าสังหารคนไปหลายปี ยามนี้รู้สึกถึงว่าตนเองบาปหนา ดังนั้นข้าจึงวางดาบ ชาวภาคกลางอย่างพวกเจ้าไม่ใช่วางดาบบำเพ็ญสำเร็จอรหันต์หรือ ส่วนข้าก็ไปบำเพ็ญที่วัดแล้ว”
เยี่ยเม่ยฟังแล้ว สีหน้ากลับไม่ได้ดีขึ้นเลย ยังเย็นชามองบุรุษตรงหน้าเหมือนเดิม
นางเอ่ยว่า “จากการแสดงออกของท่าน ข้าดูไม่ออกเลยว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว”
[1] ยมบาล