และก็เป็นอย่างที่คิดการตรวจนับแสดงให้เห็นว่าจำนวนเสี้ยวพลังจากตำหนักเมฆาม่วงนั้นมากพอที่จะทำให้ศิษย์สำนักอื่นพากันอิจฉา
ศิษย์สิบคนที่ถูกตรวจสอบมีอย่างน้อยสามเสี้ยวพลังขณะที่กู้ไทซูและลู่จือยี่ที่แข็งแกร่งที่สุดมิได้ถูกตรวจนับ
“ยี่เอ๋อขอดูเสี้ยวพลังเจ้าหน่อย”
บุรุษเมฆาม่วงพูดด้วยรอยยิ้มเขารู้สึกขอบคุณลู่จือยี่เป็นพิเศษ
ลู่จือยี่ยื่นเสี้ยวพลังเมฆาม่วงไปแต่มีพลังเพียงสองเสี้ยวเท่านั้น หรือพูดอีกอย่างก็คือ นางเอาชนะมาได้แค่คนเดียว
“ทำไมถึงได้มาแค่พลังเดียวเล่า?”
บุรุษเมฆาม่วงถามทั้งที่ยังยิ้มอยู่
ลู่จือยี่หน้าแดง
“ข้าคิดว่ามากพอแล้วที่จะชิงพลังเสี้ยวเดียวจากคนเดียวไม่จำเป็นต้องทำลายอนาคตของใครอื่น”
คำพูดของนางทำให้ซือหยูหวั่นไหวนางคือลู่จือยี่ที่เขารู้จักจริง ๆ
บุรุษเมฆาม่วงยิ้มส่ายหน้าราวกับแน่ใจแล้วว่าเขาไร้พลังที่จะควบคุมนางเขามองกู้ไทซู ทุกคนมองตามเขาไป กู้ไทซูคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในดินแดนพรสวรรค์ จำนวนพลังที่เขาได้นั้นคือสิ่งที่น่าสนใจ
“ไม่บอกก็รู้ศิษย์พี่กู้จะต้องเป็นผู้ชนะในครั้งนี้”
หญิงสาวสน่ารักคนหนึ่งมองเขาด้วยความห่วงหา
“ใช่แล้วศิษย์พี่กู้เป็นผู้ชนะมาทุกครั้ง ไม่ผิดแน่”
ชายหนุ่มจากตำหนักเมฆาม่วงยิ้มอย่างขมขื่นแต่มันก็ดูเป็นรอยยิ้มที่แสดงความนับถือในเวลาเดียวกัน
กู้ไทซูแตะเหนือศีรษะของตัวเองโดยไร้สีหน้าแสงสีม่วงจำนวนมากส่องประกายช้า ๆ
“สิบเสี้ยวพลัง!”
หลายคนอุทานในสภาพแวดล้อมเช่นนั้น ยากที่จะหาเจอแม้แต่คนเดียว อีกทั้งยังต้องต่อสู้ชิงพลังมาอีก การได้สิบเสี้ยวพลังถือว่าเป็นสิ่งที่ไม่มีใครอื่นทำได้ แต่ศิษย์จากตำหนักเมฆาม่วงนั้นสีหน้าเป็นปกติ ราวกับว่าเรื่องนี้ไม่ผิดแปลกเลย
“ศิษย์พี่กู้ถูกหุ่นเชิดขวางทางมิเช่นนั้นเขาคงจะได้อย่างน้อยสิบห้าเสี้ยวพลัง”
หญิงสาวคนหนึ่งพยายามจะพูดแก้ต่างให้เขาแต่เรื่องนี้เกิดกับทุกคน ไม่ใช่กู้ไทซูเพียงคนเดียว
บุรุษเมฆาม่วงยิ้มอย่างพอใจมันไม่มีอะไรน่าแปลกใจที่กู้ไทซูได้สิบเสี้ยวพลังในเวลาแค่ครึ่งวัน
ต่อมาเป็นตำหนักโลหิต
เทียบกับสิบหกสำนักก่อนศิษย์ตำหนักโลหิตย่อมต้องเหนือกว่า แต่พวกเขาจะเสียเปรียบหากเทียบกับตำหนักเมฆาม่วง
หลายคนเพียงชิงพลังมาได้เสี้ยวเดียวและซ่อนตัวจนพบงานเฟิงหยุนมีไม่มากนักที่ได้สองถึงสามพลัง และไม่มีใครเลยที่ได้มากกว่าสี่เสี้ยวพลัง
“ข้าจำได้เจ้าสกุลไป่ นามชานเหลียง ใช่หรือไม่?”
บุรุษเมฆาม่วงเดินไปหาไป่ชานเหลียงด้วยรอยยิ้มเทียบกับศิษย์อื่น บุรุษเมฆาม่วงปฏิบัติต่อไป่ชานเหลียงต่างออกไป
ไป่ชานเหลียงหัวเราะ
“เป็นเกียรติยิ่งนักที่บุรุษเมฆาม่วงรู้จักข้า”
เมื่อทุกคนหันไปมองเขาใบหน้าขาวซีดอย่างประหลาดของเขาก็แดงขึ้นมา ความแรงระเรื่อของโลหิตทำให้ผิวขาวดูมีสีสัน และด้วยใบหน้าหล่อเหลา เขาดูมีเสน่ห์มาก หญิงสาวหลายคนให้ความสนใจ
“ฮ่าๆๆๆข้าขอดูเสี้ยวพลังของเจ้าหน่อย” บุรุษเมฆาม่วงกล่าว
ไป่ชานเหลียงพยักหน้าด้วยรอยยิ้มกลุ่มก้อนพลังเมฆาม่วงก่อตัวเหนือศีรษะ มันน้อยกว่ากู้ไทซูมาก แต่ก็ดีกว่าคนอื่น ๆ
“ห้าเสี้ยวพลังรึ?”
หลายคนตกตะลึงเขาคือที่สองรองจากกู้ไทซู
ในบรรดาคนที่ถูกกำจัดมียอดฝีมือห้าคนนอนอยู่บนพื้นด้วยใบหน้าช้ำเขียวและฟองขาวจากปาก พวกเขามองไป่ชานเหลียงจากที่ไกล ๆ ด้วยความเกลียดชัง ใบหน้าพวกเขาบ่งบอกถึงเรื่องราวโหดร้ายที่ได้เจอและวิธีอันหน้าด้านที่สุดของไป่ชานเหลียงที่ใช้พิษใส่พวกเขาทั้งห้า
“ไม่เลว”
บุรุษเมฆาม่วงกล่าวชมถ้าหากใครใช้พิษได้ดี เขาย่อมเหมาะมากในการสังหารศัตรูเป็นวงกว้าง
บุรุษเมฆาม่วงมองคนที่เหลือ กงซุนหวูซื่อได้สองเสี้ยวพลังเทียนหยูได้สี่เสี้ยวพลัง ปิงหวูชิงแห่งเขาอสูรได้ถึงหกเสี้ยวพลังซึ่งทำให้หลายคนตัวแข็งทื่อ
บุรุษเมฆาม่วงพยักหน้าชมจากนั้นจึงหันไปมองปิงหวูชิงศิษย์ม่อเทียนฉวน
“ปิงหวูชิงแล้วเจ้าล่ะ?”
บุรุษเมฆาม่วงถาม
ปิงหวูชิงนั้นอ่อนโยนและสงบนิ่งดั่งวารีนางแตะศีรษะเบา ๆ พลังเมฆาม่วงสองเสี้ยวพลังลอยออกไป หนึ่งเสี้ยวพลังเป็นของนาง อีกเสี้ยวคือพลังที่ชิงมา
“แค่พลังเดียวรึ?”
บุรุษเมฆาม่วงแปลกใจเล็กน้อยบุคคลทรงพลังที่เอาชนะลู่จือยี่และเป็นอันดับหนึ่งของตำหนักโลหิตได้เสี้ยวพลังมาเพียงหนึ่ง หลายคนตกใจจนอ้าปากค้าง
ปิงหวูชิงยิ้มอย่างอ่อนหวาน
“ใช่หากศิษย์น้องซืออยู่ที่นี่ ไม่ว่าข้าจะพยายามอย่างไร ข้าก็ไม่มีทางเทียบเขาได้ ใยต้องเปลืองแรงเล่า?”
คำพูดของนางทำให้หลายคนชาไปทั้งตัวนางที่แข็งแกร่งที่สุดในตำหนักโลหิตคิดจริง ๆ รึว่าซือหยูเซี่ยนมีพลังมากกว่านาง? มันเป็นไปได้หรือ?
กู้ไทซูมองซือหยูอย่างสงบเขาเลิกคิ้วเล็กน้อย
หลายคนเหลือบมองเขาเช่นกันซือหยูเป็นผู้ที่ช่วยชีวิตพวกเขาจากวิกฤติมาได้ เขาจะได้เสี้ยวพลังมามากเท่าใดกัน?
ซือหยูยิ้มกลุ่มพลังเมฆาม่วงลูกใหญ่ก่อตัวเหนือศีรษะ แสงสีม่วงตระการตาปรากฏต่อหน้าทุกคน
“สิบสองเสี้ยวพลัง!”
มีคนอุทานขึ้นแสงสีม่วงของซือหยูนั้นเปล่งประกายยิ่งกว่ากู้ไทซูเสียอีก
“เป็นไปได้ยังไง?”
คนตำหนักเมฆาม่วงไม่อยากเชื่อผลสุดท้ายแม้แต่บุรุษเมฆาม่วงยังตกใจ เขาไม่คาดคิดเลยว่าซือหยูจะได้เสี้ยวพลังมามากมายขนาดนี้
มีเพียงสองคนที่เข้าใจ
หนึ่งในนั้นคือศิษย์พี่หลิวเขาสะสมสามเสี้ยวพลังมาอย่างเจ็บปวด และเมื่อรวมกับของเขาเองก็นับเป็นสี่เสี้ยวพลัง ทั้งหมดถูกซือหยูปล้นชิงไป
อีกคนคือผู้ควบคุมหุ่นเชิดยักษ์เขาใช้พลังที่แข็งแกร่งมากในการเก็บสะสมพลังเจ็ดเสี้ยว และสุดท้ายทั้งหมดก็ถูกซือหยูชิงไป ไอลีนโนเวล
ม่อเทียนฉวนตาเป็นประกายด้วยความยินดีซือหยูทำให้นางต้องตกใจอีกครั้งโดยไม่ทันรู้ตัว
บุรุษเมฆาม่วงตัวแข็งทื่อไปขณะหนึ่งก่อนจะใจเย็นลง
“สิบสองเสี้ยวพลัง!อาจารย์ซือ เจ้าทำให้ข้าตกใจจริง ๆ!”
ในงานชุมนุมเฟิงหยุนที่แล้วมากู้ไทซูมักจะเป็นที่หนึ่งอยู่เสมอ แต่ครั้งนี้กลับมีคนนอกมาแทนที่เขา คนจากตำหนักเมฆาม่วงและกู้ไทซูเองไม่ค่อยพอใจนัก
“บุรุษเมฆาม่วงเจ้าจะไม่ให้รางวัลกับศิษย์ข้าหรือ?”
ม่อเทียนฉวนแสยะยิ้ม
สีหน้าบุรุษเมฆาม่วงแปลกไปเล็กน้อย
“โอ้ใช่แล้ว”
แน่นอนว่าแม้แต่บุรุษเมฆาม่วงก็ไม่เต็มใจจะให้รางวัลของผู้ชนะเพราะรางวัลนี้ควรจะเป็นของกู้ไทซู
บุรุษเมฆาม่วงกระแอม
“ทุกท่านงานชุมนุมเฟิงหยุนจบแล้ว จากประเพณีเดิมของเรา ผู้ชนะจะได้บ่มเพาะวิชาเทพหนึ่งวัน”
บุรุษเมฆาม่วงกล่าว
“เวลานี้ข้าขอแสดงความยินดีกับอาจารย์ซือที่ได้รับโอกาส”
วิชาเทพหรือ?ซือหยูคิดว่าเขาหูฝาด มันคืออะไรกัน?
บุรุษเมฆาม่วงพูดขึ้นมา
“งานชุมนุมจบแล้วศิษย์ทุกสำนักไปพักได้ที่ยอดเขาที่สามเพื่อรอการเรียกของแดนมณี เหล่าผู้เฒ่าโปรดจัดแจงพื้นที่ให้พวกเขา”
เมื่อพูดจบเขาเหลือบมองผู้ดูแลสำนักต่าง ๆ
“ส่วนพวกท่านข้าเกรงว่าเราจะต้องหารือเรื่องหุ่นเชิดเมื่อครู่กันหน่อย”
ทุกคนพยักหน้าเหล่าศิษย์รอบ ๆ เองก็พอใจเช่นกัน พวกเขาจะยอมให้ฆาตกรตัวจริงหรือไปได้หรือ?
เมื่อม่อเทียนฉวนเดินผ่านซือหยูนางพูดกับเขาผ่านจิต
“อยู่ที่นี่อย่าไปไหน ข้าจะคุยกับเจ้าตามลำพัง”
คุยอีกแล้วหรือ?ซือหยูได้แต่คิดว่านางหมายถึงอะไร
หลายคนตามผู้เฒ่าไปยังตำหนักโลหิตพวกเขากลับยอดเขาที่สามเพื่อพัก แต่หลายคนก็ยังอยู่
“อาจารย์ซือขออภัยที่ข้าหละหลวมจนไม่ทันได้เห็น ข้ามาเพื่อทักทายโดยเฉพาะ อาจารย์ซือพอจะมีเวาหรือไม่? ศิษย์พี่ของพวกเราอยากจะพบท่าน”
ศิษย์ภายใต้ตำหนักโลหิตคนหนึ่งเข้ามาคุยกับซือหยูเขาชี้ไปที่ชายหนุ่มร่างกำยำด้านหลัง
ซือหยูหน้านิ่วเล็กน้อยเรื่องเมื่อครู่ทำให้เขามีชื่อเสียงขึ้นมา ก่อนหน้านี้เขาเป็นแค่อาจารย์ซือที่ไม่มีความสำคัญ แต่ตอนนี้เขากลายเป็นคนดังที่หลายคนอยากรู้จัก
“ข้ามีธุระต้องทำข้าจะไม่ว่างไปสักระยะ ขออภัยด้วย”
ซือหยูปฏิเสธอย่างมีชั้นเชิง
กงซุนหวูซื่อที่อยู่ข้างๆ มิได้เหมือนซือหยู นางกล่าวด้วยความเหยียดหยาม
“ชิ!สำนักใดกันที่มีเกียรติมาเชิญพี่หยูเซี่ยนข้าไป?”
ศิษย์ที่มาเชิญซือหยูไปหาศิษย์พี่ดูกระอักกระอ่วนมิใช่ว่าศิษย์พี่ของเขาไม่อยากจะเริ่มมาหาซือหยูก่อน แต่เขาไม่อยากทำเพราะซือหยูถูกรายล้อมไปด้วยบุคคลที่ทรงพลัง
ศิษย์พี่ของเขาคิดว่ามีโอกาสน้อยแต่ก็ไม่คิดจะทำให้ตัวเองขายหน้า จึงต้องส่งเขามาลองดู และผลลัพธ์ที่ได้ก็เป็นไปตามที่พวกเขาคาดคิด เขาเดินจากไปอย่างไม่เต็มใจ หลายคนที่ลังเลเริ่มทิ้งระยะเช่นกัน ผู้คนเริ่มสลายตัว สุดท้ายก็เหลือแต่คนจากตำหนักโลหิต
ซือหยูช่วยรักษาชื่อเสียงของตำหนักโลหิตถึงสองครั้งหากเป็นศิษย์สำนักเดียวกันย่อมต้องภูมิใจ
หลายคนที่เคยไม่ชอบซือหยูลบความไม่พอใจออกไปและเริ่มเข้ามาทักทายเขาก่อนสิ่งที่พวกเขาสนใจมากที่สุดก็คือพลังที่แท้จริงของซือหยูและพยายามที่จะทดสอบเขา แต่ซือหยูเก็บความลับทุกอย่างเอาไว้ เขาพูดคุยโดยไม่เปิดเผยข้อมูลที่สำคัญ เมื่อการพูดคุยเล็กน้อยจบ พวกเขาก็ทยอยไปพักกันทีละคน
“ศิษย์น้องซือยินดีด้วยนะ! วิชาเทพของตำหนักเมฆาม่วงได้ผลยิ่งกว่าดีสำหรับคนทั่วไป”
ปิงหวูชิงเดินมาหาเขากลิ่นหอมหวานของนางมาถึงก่อนตัวนางเสียอีก
วิชาเทพหรือ?ซือหยูสงสัยเรื่องวิชาเทพเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่ามันคือสิ่งใดกันแน่ แต่ปิงหวูชิงก็ยิ้มเบา ๆ ก่อนจะเดินผ่านซือหยูไป นางไม่คิดจะพูดมากกว่านี้
กงซุนหวูซื่อมองไล่หลังนางด้วยสายตาดุร้าย
“พี่หยูเซี่ยนอย่าได้ไปหลงคารมผู้หญิงนั่น! นางดีแต่พูดตามใจ ไม่ใช่คนดีหรอก”
ซือหยูรู้อยู่แล้วผู้หญิงคนนี้เจ้าอุบายเป็นอย่างมาก ซือหยูขยะแขยงนางในจุดนี้ นางมักจะวางแผนมาก่อนเสมอ แม้แต่ในพื้นที่ลับเมื่อครู่ ด้วยพลังของนาง มันจะยากหรือที่นางจะหาเสี้ยวพลังมากกว่านี้? เหตุผลที่นางชิงมาแค่เสี้ยวพลังเดียวก็เพื่อจะได้ไม่มีใครสงสัยในพื้นเพจริงของนาง
“ข้ารู้แล้ว”
ซือหยูพูดเขาหันไปมองปิงหวูชิงอีกคนโดยไม่รู้ตัว
“เจ้าไม่เป็นไรนะ?”
เขาไม่เจอนางในพื้นที่ลับเขาเป็นห่วงนางเล็กน้อย
ปิงหวูชิงหันหน้าหลบไปด้านข้างและถอนหายใจแรง
“เจ้าตามสนใจนางไปก็พอจะมาถามข้าทำไม?”
นางยังคงเคลือบแคลงใจในเรื่องความสัมพันธ์ของซือหยูกับปิงหวูชิงอีกชน
หลังจากคิดอยู่ชั่วครู่ซือหยูหยิบแก้วที่มีวุ้นอยู่ภายในออกมา
“สิ่งนี้อาจจะช่วยเจ้าได้บ้าง”
ซือหยูมีใบไม้ที่มีพลังหนึ่งในสิบของเซียนอยู่แล้วเขาไม่ต้องการวุ้นจากบุรุษเมฆาม่วง กงซุนหวูซื่อเองก็มิอาจเพิ่มพลังได้เพราะสมุนไพรอมตะที่นางกินเข้าไป ดังนั้นวุ้นจึงไม่มีประโยชน์กับนางเช่นกัน
ปิงหวูชิงสายตาแปลกไป
“ฮื่มเจ้าได้มันมาจากบุรุษเมฆาม่วงนี่ จะเอามาให้ข้าทำไม?”
ปิงหวูชิงถามแต่สีหน้าหม่นหมองของนางสดใสขึ้นทันที นางมีความสุขกว่าที่เคยมีมานาน นางไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำเสียงตัวเองมีชีวิตชีวาขึ้น
กงซุนหวูซื่อเบ้ปาก
“พี่หยูเซี่ยนข้าก็อยากได้นะ”