บทที่ 416 คนโชคร้าย

หลังจากที่สีเป่ยเซียะจากไป หลิงตู้ฉิงและคนของเขาก็เตรียมตัวจากไปเช่นกัน

หลังจากหลิงตู้ฉิงเก็บค่ายกลกระบี่เหินเมฆาไว้กับตัวเขาแล้ว เขาก็บอกกับเสี่ยวเยว่เฟิงและกงหนิวให้เตรียมรถม้าเพื่อกลับไปเมืองเจินไห่ทันที

และหลังจากที่ค่ายกลกระบี่เหินเมฆาถูกถอนออกไปสักพัก ซือโถวเหวินหยวนก็เดินเข้ามาหาด้วยใบหน้าหม่นหมอง ซึ่งแม้ว่าเวลาจะผ่านไปหลายปีนับจากที่เขาออกมาจากเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ แต่หัวใจของเขาก็ยังคงปวดร้าว

หลิงตู้ฉิงทำราวกับว่าเขาไม่เห็นซือโถวเหวินหยวนและเรียกให้คนอื่น ๆ เตรียมตัวขึ้นรถม้าเพื่อที่จะรีบกลับไปที่เมืองเจินไห่

ในขณะนี้ เย่หยูหลันก็ได้เดินเข้ามาหาเย่ชิงเฉิงด้วยสีหน้าซับซ้อนแต่ไม่ได้พูดอะไร

“ป้าหลันท่านเป็นอะไรไป?” เย่ชิงเฉิงถามขึ้น นางรู้ได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ

“ศิษย์น้อง ข้าเกรงว่าพวกข้าคงจะต้องกลับไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ก่อนแล้ว!” หานซ่งหยวนและหยูจิ้งเฉิงเดินมาหาและพูดกับเย่ชิงเฉิง “ว่าแต่ศิษย์น้อง มีข่าวอะไรที่เจ้าต้องการให้เรานำกลับไปยังสำนักหรือไม่?”

เย่ชิงเฉิงส่ายหัวและพูดว่า “ไม่มี แม่ของข้าได้รู้เรื่องสำคัญ ๆ ที่เกิดขึ้นทั้งหมดแล้ว”

“ถ้าอย่างนั้นศิษย์น้องรักษาตัวด้วย” ในเวลาเดียวกันหานซ่งหยวนยิ้มให้กับหลิงตู้ฉิงและพูดว่า “พี่หลิง ข้าหวังว่าท่านจะมาที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของเราได้ในไม่ช้า ในเวลานั้นข้าจะขอเป็นเจ้าภาพเลี้ยงยอดสุราให้กับท่านเอง!”

แน่นอนว่าการที่หลิงตู้ฉิงจะไปที่สำนักอักขระศักดิ์สิทธิ์ของพวกเขานั้นเป็นเรื่องที่แน่นอน ปัญหาเดียวก็คือหลิงตู้ฉิงจะไปเมื่อไหร่ก็เท่านั้น

หยูจิ้งเฉิงยังหัวเราะ “ข้าเองก็จะตั้งตารอการมาเยือนของท่านที่สำนักเช่นกัน!”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตอบอะไรพวกเขา เขาขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจท่าทีเสแสร้งจอมปลอมเหล่านี้

หลังจากนั้นกู่ตงฉิงได้นำหานซ่งหยวนและหยูจิ้งเฉิงจากไปด้วยพาหนะวิเศษ

“คุณหนู หลังจากพวกเขากลับไป พวกเขาคงจะไม่พยายามปลุกปั่นปัญหาใช่ไหม?” โม่เอ๋อพูดอย่างเป็นห่วง “ยิ่งกว่านั้นถ้าเล้งหวงรู้เรื่องระหว่างท่านและนายท่าน บางทีมันอาจมีปัญหาอื่น ๆ ตามมาได้”

เย่ชิงเฉิงถอนหายใจและพูดขึ้นว่า “ตั้งแต่ที่พ่อของข้าถูกกักขังอยู่ในบริเวณนั้น ปัญหาทุกอย่างมันก็ได้ถูกปลุกปั่นขึ้นมาเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นมันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้วว่าในตอนนี้พวกเขาจะทำอะไรต่อ ส่วนสำหรับเล้งหวงนั้นข้าคงหวังได้แต่ว่าให้เขาทำใจให้ได้ภายในเร็ววัน ไม่เช่นนั้น…”

เมื่อพูดจบนางก็เหลือบไปมองหลิงตู้ฉิงแล้วพูดว่า “สามีไปกันเถอะ! ข้าอยากไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนของท่านมานานแล้ว และที่สำคัญชื่อเสียงของทะเลชางหมางนั้นข้าก็ได้ยินมานานแล้ว คราวนี้ข้าจะได้ถือโอกาสไปชมสักหน่อยว่ามันแปลกประหลาดอย่างเขาร่ำลือกันหรือไม่”

หลิงตู้ฉิงยิ้มและพยักหน้า “อืม งั้นพวกเราออกเดินทางกันได้เลย พวกเจ้าทุกคนขึ้นรถม้าได้เลย กงหนิว เจ้าจงใช้ความเร็วที่เร็วที่สุดของเจ้าพาเราไปที่เมืองเจินไห่!”

เมื่อได้ยินคำสั่งของหลิงตู้ฉิง ทุกคนก็เดินขึ้นรถม้าอย่างงุนงง เนื่องจากเป็นเพราะว่าในอดีตพวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้โดยสารมันแม้แต่ครั้งเดียว แต่ตอนนี้หลิงตู้ฉิงกลับบอกให้พวกเขาทุกคนเข้าไปนั่งข้างในได้หมดทุกคน?

ซึ่งสิ่งที่พวกเขาไม่รู้ก็คือ เมื่อก่อนที่หลิงตู้ฉิงไม่อนุญาตให้พวกเขาเข้ามานั่งด้านในก็เพราะว่าเขาต้องการให้มี่ไลและคนอื่น ๆ ฝึกฝนวิชาเจตจำนงแปลงสรรพสิ่ง แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องฝึกฝนอีกต่อไปแล้ว มันจึงไม่มีปัญหาถ้าให้คนอื่นเข้ามาในรถม้า

ภายใต้ความเร็วที่น่ามหัศจรรย์ของกงหนิว พวกเขาทั้งหมดก็ได้มาถึงเมืองเจินไห่ได้ภายใน 2 วัน

เมื่อพวกเขากลับมาถึงเมืองเจินไห่ ทุกคนก็กลับไปที่หมู่ตึกหยูอี่

หลังจากมาถึงหมู่ตึกหยูอี่แล้ว หลิงตู้ฉิงก็พูดกับเย่หยูหลันและโม่เอ๋อ “ก่อนหน้านี้ที่ข้ามาที่นี่ ทะเลชางหมางเปิดให้ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตสามัญหรือต่ำกว่าเข้าไปได้เท่านั้น หรือต่อให้ตอนนี้ผู้เชี่ยวชาญระดับหลุดพ้นสามัญจะสามารถเข้าไปได้แล้วเช่นกัน แต่พวกเจ้าก็คงยังไม่สามารถเข้าไปได้อยู่ดี ดังนั้นพวกเจ้าจงรอพวกข้าที่หมู่ตึกหยูอี่แห่งนี้ และเนื่องจากแกนหลักของค่ายกลกระบี่เหินเมฆานั้นคืออาวุธวิเศษระดับจักรพรรดิ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถนำเข้าไปได้เช่นกัน ดังนั้นข้าจะวางค่ายกลกระบี่เหินเมฆาไว้ที่หมู่ตึกหยูอี่ และโม่เอ๋อ ข้าจะให้เจ้าได้เป็นผู้ควบคุมมันชั่วคราวในระหว่างที่ข้าไม่อยู่!”

โม่เอ๋อพูดด้วยความสะเทือนใจ “นายท่าน ข้าไม่มีทางที่จะไปทะเลชางหมางกับท่านได้จริง ๆ งั้นเหรอ? ข้าอยากไปที่นั่นกับท่านด้วยจริง ๆ”

หลิงตู้ฉิงยิ้ม “ถ้าเจ้าเต็มใจที่จะทำลายระดับการบ่มเพาะของตนเองสักสองระดับ เจ้าก็สามารถเข้าไปกับข้าได้”

โม่เอ๋อหัวเราะ “โธ่ นายท่านมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยกว่าที่ข้าจะฝึกฝนมาได้ถึงระดับนี้ ข้าคงตัดใจลดระดับลงไหวแน่ ๆ นอกจากนี้หากข้าไม่มีระดับการบ่มเพาะที่สูง ๆ แล้ว ในอนาคตข้าคงจะช่วยเหลือพวกท่านได้ไม่มากเท่าที่ควร เอาเป็นว่าเดี๋ยวข้าจะรอพวกท่านที่นี่กับป้าหลันก็แล้วกัน!”

หลิงตู้ฉิงพยักหน้าเล็กน้อย หลังจากจัดวางค่ายกลกระบี่เหินเมฆาแล้วเขาก็นำคนอื่น ๆ เดินเท้าไปที่ทางเข้าทะเลชางหมางทันที

ในระหว่างที่เดินเท้าไปเรื่อย ๆ ซือโถวเหวินหยวนเมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่รอบ ๆ เขาจึงรีบเดินไปใกล้ ๆ หลิงตู้ฉิง และพูดขึ้นด้วยสีหน้าเศร้าโศกว่า “นายท่านโปรดอธิบายให้ข้าฟังทีว่าทำไมข้าถึงได้โชคร้ายอย่างนี้ ข้าไม่รู้สึกว่ามีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นเลยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานอกจากการเพิ่มระดับการบ่มเพาะของข้า”

“หลังจากที่ข้าได้รับสิทธิ์การเข้าเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับจากท่าน ในตอนนั้นข้าเองก็คิดว่าข้าโชคดีเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่ข้าเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ข้าก็ไม่มีโชคดีอะไรอีกเลย ข้าไม่สามารถทะลวงศักยภาพของตนเองได้ ข้าไม่ได้รับแม้แต่ของวิเศษสักชิ้น เรื่องที่ไม่แย่ก็มีเพียงแค่อย่างก็คือการที่ข้าทะลวงผ่านขอบเขตสวรรค์สามัญได้ในที่สุด ซึ่งมันก็ใช้ว่ามันจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีอะไร เพราะว่าต่อให้ข้าไม่ได้เข้าไปข้างในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ ข้าเองก็สามารถทะลวงขอบเขตได้ด้วยตัวเองได้อยู่แล้ว!”

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและพูดขึ้นว่า “เจ้ายังจำการทดสอบเข้าศาลาศักดิ์สิทธิ์ของข้าได้ไหม? ในตอนนี้การทดสอบของศาลาศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียงสิ่งเดียวที่ถูกทอดสอบก็คือบุคลิกภาพ เนื่องจากบุคลิกภาพที่แตกต่างกันจะเป็นตัวกำหนดเส้นทางที่แตกต่างกันและในท้ายที่สุดก็จะนำมาซึ่งชะตากรรมที่แตกต่างกัน”

“ข้าไม่เข้าใจ ขอท่านช่วยชี้แนะข้าด้วย!” ซือโถวเหวินหยวนพูดด้วยความเคารพ เขารู้สึกหดหู่ใจจริง ๆ เขาต้องการหาใครสักคนที่จะให้ความกระจ่างแก่เขา ถ้าเขาสามารถหาเหตุผลได้เขาคิดว่าเขาคงจะดีขึ้น

หลิงตู้ฉิงส่ายหัวและยิ้มอย่างเย้ยหยันใส่เขาและพูดว่า “อันที่จริงแล้ว เจ้านั้นเป็นคนที่โชคดีมาก เจ้าได้เผชิญกับโอกาสมากมายในชีวิตที่จะเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของเจ้า แต่มันเป็นเพราะบุคลิกนิสัยของเจ้า ทำให้เจ้าพลาดไปทั้งหมด!”

ซือโถวเหวินหยวนรู้สึกประหลาดใจอยู่ครู่หนึ่งและรีบพูดว่า “นายท่าน ทำไมข้าถึงไม่เคยรู้ตัวมาก่อนเลยล่ะ?”

คนอื่น ๆ ที่บังเอิญได้ยินการสนทนานี้อยู่ก็ตกตะลึงเช่นกัน พวกเขาเองก็ไม่เข้าใจว่าซือโถวเหวินหยวนพลาดโอกาสอะไรไปตอนไหน?

การแสดงออกที่เย้ยหยันบนใบหน้าของหลิงตู้ฉิงในตอนนี้ยิ่งเห็นได้ชัดเจนมากขึ้น เขามองไปที่ซือโถวเหวินหยวนและพูดว่า “โอกาสแรกที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของเจ้าคือเมื่อเจ้าพบข้าครั้งแรก เนื่องจากเจ้าได้ตัดสินใจที่จะใช้กุญแจเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับเพื่อยืดชีวิตของตัวเองแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่ปล่อยวางมันไปโดยสิ้นเชิง? และยังมีอีกหลายต่อหลายครั้งที่ข้าเตือนเจ้าให้เจ้าสละสิทธิ์ในเขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับ”

“เพราะตามหลักการของข้า ถ้าเจ้ายอม ข้าจะเป็นผู้ให้ประโยชน์บางอย่างตอบแทนแก่เจ้าแน่นอน ดังนั้นเจ้าลองคิดดูสิว่าเจ้าพลาดไปกี่ครั้งแล้ว? อันที่จริงส่วนหนึ่งมันคงจะเป็นเพราะเจ้าคิดมาตลอดว่าตัวเองเป็นคนจากสำนักเต๋าสวรรค์ ซึ่งเป็นหนึ่งในขุมกำลังมหาอำนาจที่เก่าแก่ที่สุดของมนุษยชาติ เจ้าจึงหลงตัวเองไปว่าจะสามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิตของตัวเองได้อย่างแน่นอน ซึ่งในตอนสุดท้ายแล้วเจ้าก็ไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง!”

เมื่อได้ยินเช่นนี้ ซือโถวเหวินหยวนก็พูดอะไรไม่ออก เนื่องจากเมื่อเขาคิดดูดี ๆ แล้วมันมีอยู่หลายครั้งจริง ๆ ที่หลิงตู้ฉิงบอกใบ้เขาอย่างชัดเจน หรือแม้กระทั่งบางทียังเคยบอกเขาตรง ๆ ด้วยซ้ำ แต่มันเป็นเขาเองที่ไม่ยอมแพ้และยืนยันที่จะเข้าสู่เขตแดนวิญญาณผู้ล่วงลับให้ได้และด้วยความดื้อดึงของเขา เขาจึงต้องเผชิญกับผลลัพธ์ที่น่าขมขื่นในปัจจุบันนี้

“โอกาสครั้งที่สองที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของเจ้าก็คือเมื่อลูกชายของข้าขึ้นครองบัลลังก์!” หลิงตู้ฉิงพูดต่อ พลางมองไปที่ซือโถวเหวินหยวน “ซึ่งนั่นคือโอกาสที่ง่ายที่สุดของเจ้าที่จะเปลี่ยนชะตากรรมของตัวเอง แต่เจ้าก็พลาดอีกครั้ง!”

“หะ?” ซือโถวเหวินหยวนพูดด้วยความประหลาดใจ “นายท่าน ข้า…”

การขึ้นครองราชย์ของหลิงยี่เทียนนั้นสำคัญมากขนาดนั้นเลยหรือ? ทำไมเขาถึงสัมผัสอะไรถึงมันไม่ได้เลย? ทำไมเขาไม่พบอะไรเลย?