ตอนที่ 1718 จางเซวียนถูกจับ

อัจฉริยะสมองเพชร

อัจฉริยะสมองเพชร 天道图书馆

ตอนที่ 1718 จางเซวียนถูกจับ

“แกทรงพลังขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?” จางเซวียนหน้าถอดสีด้วยความพรั่นพรึงขณะล่าถอยอย่างปั่นป่วน

ประสิทธิภาพการต่อสู้ของเขาในตอนนี้คือนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ โลกจารึกเท่านั้น ตราบใดที่ศัตรูยังไม่รู้สึกว่าตัวเขาเป็นภัยคุกคาม พวกมันก็จะไม่ทำอันตรายตัวประกัน

เห็นชายหนุ่มพร้อมหลบหนีทันทีที่การลอบสังหารของตัวเองล้มเหลว เผ่าพันธุ์ปีศาจที่สวมชุดเกราะสีดำคำราม “แกคิดจริงๆหรือว่าตัวเองยังมีโอกาสหนีรอด?”

พริบตาต่อมา พลังจากฝ่ามือของเผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นก็เข้มข้นขึ้น แรงกดดันหนักหน่วงแผ่ออกมาเป็นคลื่น ทำให้จางเซวียนรู้สึกราวกับกำลังยืนอยู่ตรงหน้ายักษ์ตัวใหญ่

“จัดการเลย!” จางเซวียนคำรามด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกความตื่นตระหนก

เคร้งงงง!

ดาบระดับเซียนขั้นสูงสุดที่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวนั้นยังคงยึดไว้แตกสลายไปกลางอากาศ เกิดเป็นคลื่นความสั่นสะเทือนที่เทียบเท่ากับการระเบิดจุดตันเถียนของนักรบระดับเซียนขั้น 9 แรงกดดันหนักหน่วงนั้นทำให้เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำซวนเซ เปิดช่องให้จางเซวียนมีโอกาสหลบหนี

จางเซวียนใช้เวลาอันมีค่าที่ได้มาด้วยการสละอาวุธอันเป็นที่รัก เขารีบหนีไปโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย!”

เมื่อเห็นฆาตกรกำลังหลบหนี เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวอื่นๆที่อยู่โดยรอบต่างก็ชักอาวุธออกมาเตรียมพร้อมเพื่อเปิดการโจมตี

“เก็บอาวุธก่อน หมอนั่นทำให้ผมสนใจ ปล่อยมันไว้ให้ผมจัดการเอง!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำหัวเราะหึๆขณะก้าวออกไปข้างหน้า 1 ก้าวและปล่อยพลังจากฝ่ามือ

การระเบิดของอาวุธระดับเซียนขั้นสูงสุดนั้นจัดว่าทรงพลังไม่น้อย แต่ก็ยังอ่อนด้อยเกินกว่าที่จะทำให้นักรบขั้นชั่วกัลปาวสานสะดุ้งสะเทือน

ฟึ่บ!

พลังฝ่ามือหนักหน่วงปรากฏขึ้นกลางอากาศเหนือศีรษะของจางเซวียน พร้อมกันนั้น มิติที่อยู่รอบตัวเขาก็ดูจะแข็งทื่อไป ทำให้ไม่อาจขยับเขยื้อนเคลื่อนไหวได้

“บ้าจริง!” จางเซวียนสบถด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

พริบตาตอบมา เลือดก็กระอักออกจากปากของเขา ราวกับเขาได้เรียกใช้พลังจากสายเลือด รังสีของจางเซวียนเข้มข้นขึ้นเป็น 2 เท่า ด้วยพละกำลังที่ได้มาใหม่ เขาพยายามทำลายมิติแข็งทื่อที่โอบล้อมอยู่รอบตัว

“แกนี่ถือว่าทรงพลังไม่เบาสำหรับนักรบขั้นร่างอันทรงเกียรติ แต่ช่องว่างระหว่างวรยุทธขั้นร่างอันทรงเกียรติกับชั่วกัลปาวสานนั้นไม่ใช่สิ่งที่จะเอื้อมถึงกันได้เพียงแค่การใช้ความฉลาดปราดเปรื่องและไหวพริบ…ยอมแพ้ซะเถอะ!”

บึ้มมมมม!

เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำประสานมือเข้าด้วยกัน แล้วเสียงระเบิดดังสนั่นก็ดังกึกก้องไม่หยุด จางเซวียนยังไม่อาจทำลายปราการแห่งมิติที่อยู่รอบตัวเขาได้ เขามีสภาพราวกับปูที่ถูกรัดไว้แน่น ไม่ว่าจะต่อสู้ดิ้นรนสักแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้เลย

“มานี่!” เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำร้องเรียกพร้อมกับโบกมือ แล้วร่างของจางเซวียนก็ลอยเข้าหาอีกฝ่ายอย่างไม่มีทางสู้

ตอนนี้ ใบหน้าของจางเซวียนซีดเผือด ราวกับสูญเสียพละกำลังทั้งหมดไปแล้วจากการเรียกใช้พลังงานของสายเลือด

รู้ดีว่าชะตาของตัวเองคงจะถึงจุดจบในไม่ช้า จางเซวียนถุยน้ำลายใส่เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำพร้อมกับตวาดก้อง “ฆ่าฉันเลยถ้าแกต้องการ แต่ฉัน, เซวียนจาง จะไม่มีวันยอมจำนนให้แก!”

“ฆ่าแก? ฮ่าฮ่าฮ่า! วางใจเถอะ ฉันจะปล่อยให้แกอยู่ดูโลกอีกสักหน่อย ยิ่งปรมาจารย์มีความเก่งกาจไร้เทียมทานมากขึ้นเท่าไหร่ พลังปราณของพวกเขาก็ยิ่งบริสุทธิ์ขึ้นเท่านั้น ถือเป็นเครื่องบรรณาการที่สมบูรณ์แบบสำหรับเทพเจ้าของเรา ฉันยังกังวลอยู่ว่าพวกเราจะมีเครื่องบรรณาการไม่มากพอ แต่ในเมื่อแกอยู่ที่นี่แล้ว ฉันก็ค่อยคลายใจ…”

เผ่าพันธุ์ปีศาจตัวที่สวมชุดเกราะสีดำหัวเราะหึๆ จากนั้นก็โยนจางเซวียนไปกองรวมกับหูเหยาเหย่าและคนอื่นๆ “มัดมันไว้! เราจะใช้มันเป็นหนึ่งในเครื่องบรรณาการของเรา!”

“ขอรับ ท่านแม่ทัพ”

เผ่าพันธุ์ปีศาจอีก 2 ตัวรี่เข้าใส่จางเซวียน จากนั้น ด้ายเส้นบางๆก็ถูกนำมาพันรอบข้อมือของเขาไว้เพื่อสกัดกั้นวรยุทธ ในสภาพนี้ จางเซวียนจะไม่สามารถปลดปล่อยพลังปราณได้เลย

หลังจากเสร็จสิ้นกระบวนการ เผ่าพันธุ์ปีศาจทั้ง 2 ตัวก็รีบหันกลับไปจัดเตรียมแท่นบูชา

เห็นทุกอย่างเป็นไปตามแผน จางเซวียนถอนหายใจอย่างโล่งอก ขณะที่เขากำลังจะพิจารณาด้ายเส้นบางๆที่พันรอบข้อมือของเขา ก็พลันได้ยินเสียงถอนหายใจอยู่ข้างหู

“คุณไม่ควรมาที่นี่เลย คุณกำลังสังเวยตัวเองไปโดยเปล่าประโยชน์!”

ผู้พูดคือผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีวรยุทธขั้นการพักฟื้นภายในซึ่งอยู่ไม่ห่างออกไปจากเขานัก

“ผู้อาวุโส คุณรู้ไหมว่าทำไมพวกมันจึงจัดเตรียมแท่นบูชา?” จางเซวียนตั้งคำถาม

เขาออกจะประหลาดใจเล็กน้อยที่เห็นอีกฝ่ายยังคงมีสติและรู้สึกตัวดี ต่างกับสีหน้าไร้ชีวิตชีวาของนักรบคนอื่นๆที่อยู่รอบตัว แต่แล้วก็ประเมินระดับวรยุทธของผู้อาวุโสได้อย่างรวดเร็ว เป็นไปได้ว่าบางทีของล้ำค่าระดับนักปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่อาจใช้การไม่ได้ผลนักกับอีกฝ่าย

“พวกมันตั้งใจจะใช้พวกเราเป็นเครื่องบรรณาการเพื่อทำลายมิติและสร้างสะพานที่จะนำพาพวกมันตรงเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ” ผู้อาวุโสกระซิบกระซาบ

เพราะถูกสกัดกั้นวรยุทธไว้ เขาจึงไม่อาจส่งโทรจิตโดยใช้พลังปราณได้

“ทำลายมิติ? สร้างสะพานที่จะนำพาพวกมันตรงเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อ?” จางเซวียนถึงกับชะงัก “ในมิติหิมะแห่งนี้ไม่มีทางออกหรือ? ขอแค่พวกมันพบทางออก ก็จะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ จำเป็นต้องทำขนาดนี้ด้วยหรือไง?”

“ทางออก?” ได้ยินคำนั้น ผู้อาวุโสยิ้มเจื่อนๆ “ที่นี่น่ะมีทางออก แต่เส้นทางเหล่านั้นไม่อาจนำไปสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้!”

“เป็นไปไม่ได้น่ะ?” จางเซวียนขมวดคิ้ว

ด้วยการเดินทางจากมิติหนึ่งไปสู่อีกมิติหนึ่ง เขาพอจะสรุปได้ว่าอาณาจักรโบร่ำโบราณแห่งนี้มีโครงสร้างที่เหมือนกับคุกใต้ดิน ขอแค่เขาเดินทางลงไปลึกพอ ในที่สุดก็จะเข้าถึงวิหารแห่งขงจื๊อ

“วิหารแห่งขงจื๊อมีหอบริวาร 6 หอ และหอลำดับแรกอีก 1 หอ หอบริวารแต่ละหอแสดงถึงมิติแต่ละมิติ ซึ่งทั้งทางออกและทางเข้าของมิติเหล่านี้ก็เชื่อมโยงถึงกันด้วย ดังนั้น หากเราเดินทางจากมิติหนึ่งไปสู่อีกมิติหนึ่ง ก็จะทำได้เพียงแค่วนเวียนอยู่ภายในทั้ง 6 มิตินี้เท่านั้น ไม่มีทางที่จะเข้าถึงวิหารแห่งขงจื๊อได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม!” ผู้อาวุโสตอบ

“ดูมิติหิมะแห่งนี้เป็นตัวอย่าง หากเรายังคงเข้าสู่ทางออกในมิติแห่งนี้เพื่อทะลุไปยังอีกมิติหนึ่ง เมื่อผ่านไปครบ 5 มิติแล้ว เราก็จะวนกลับมาที่นี่อีก”

“ฮะ…เป็นแบบนั้นจริงๆหรือ?” จางเซวียนถึงกับผงะ

เขาเคยคิดว่าตราบใดที่เดินทางทะลุทั่วทุกมิติแล้ว สุดท้ายก็จะไปถึงวิหารแห่งขงจื๊อ ใครจะไปคิดว่าแท้ที่จริงแล้วมิติเหล่านี้เชื่อมโยงถึงกันเป็นวงกลม?

ก็หมายความว่าเขากำลังเดินทางเป็นวงกลมใช่ไหม?

“แต่นี่เป็นความลับสุดยอดที่แม้แต่สภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่ก็ยังไม่รู้ แล้วคุณรู้ได้อย่างไร?” จางเซวียนถามด้วยความสงสัย

ขนาดตัวเขามีตำแหน่งมากมาย ก็ยังไม่รู้ข้อมูลสำคัญแบบนี้ ถ้ารองประธานเหรินแห่งสภาปรมาจารย์สำนักงานใหญ่รู้เรื่องนี้ ก็คงบอกเขาไปนานแล้ว…ดูไม่สมเหตุสมผลเลยที่ผู้อาวุโสที่อยู่ตรงหน้าจะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างดี

“ผมบังเอิญมีความเชี่ยวชาญในภาษาของเผ่าพันธุ์ปีศาจจากโลกอื่น และได้ยินพวกมันหารือเรื่องนี้กันเมื่อครู่ก่อนหน้า ดูเหมือนวิธีเดียวที่จะเข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ก็คือทำลายมิติและตรงเข้าสู่หอบริวารโดยตรง” ผู้อาวุโสตอบ

“เข้าสู่หอบริวารโดยตรง? ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด มีแต่ผู้ที่ครอบครองเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานเท่านั้นถึงจะเข้าสู่หอบริวารได้ไม่ใช่หรือ?”

หากใครก็เข้าสู่หอบริวารได้เพียงแค่ทำลายมิติในอาณาจักรโบร่ำโบราณ แล้วการแบ่งสรรปันส่วนเครื่องรางฟ้าประทานในตำนานที่เกิดขึ้นในตอนแรกจะทำไปเพื่ออะไร?

และก็แน่นอนว่าโลกทั้งโลกไม่จำเป็นต้องแย่งชิงมันด้วย

“ความจริงก็คือเราไม่อาจเข้าสู่หอบริวารได้หากไม่มีเครื่องรางฟ้าประทานในตำนาน แต่ก็ยังสามารถเข้าถึงบริเวณภายนอกหอบริวารได้ นั่นคืออาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อที่มีพลังจิตวิญญาณเข้มข้นมาก ใครก็ตามที่ฝึกฝนวรยุทธที่นั่นจะสามารถยกระดับวรยุทธได้อย่างรวดเร็ว อีกอย่าง ต่อให้ผู้นั้นไม่อาจเข้าสู่หอบริวาร แต่ก็ยังสามารถพักแรมที่อาณาเขตรอบนอกและรอแย่งชิงทรัพย์สมบัติจากผู้ที่สามารถเข้าไปข้างใน ดังนั้น ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากจึงเลือกที่จะพักแรมอยู่ในอาณาเขตรอบนอก และว่ากันว่า…มีแม้แต่เหล่านักปราชญ์โบราณอยู่ในหมู่พวกเขาด้วย!” ผู้อาวุโสอธิบาย

“นักปราชญ์โบราณ? พวกเขาพักแรมอยู่ในอาณาเขตรอบนอกด้วยหรือ?” จางเซวียนหรี่ตาด้วยความพรั่นพรึง

“ใช่แล้ว ด้วยกฎเกณฑ์อันเข้มงวดของวิหารแห่งขงจื๊อ จะไม่มีใครเข้าสู่หอบริวารหรือหอลำดับแรกได้ แต่พวกเขาก็สามารถพักแรมอยู่ในอาณาเขตรอบนอกและพยายามฉกฉวยแย่งชิงทรัพย์สมบัติของผู้ที่ออกมาจากด้านใน เพราะถึงอย่างไร ผู้ที่เข้าสู่วิหารแห่งขงจื๊อได้ก็จะต้องออกมาในสักวันหนึ่งอยู่ดี อันที่จริง นั่นคือสถานที่ที่อันตรายที่แท้จริงรออยู่ นักรบทั่วไปอย่างพวกเราคงทำได้แค่ท่องตระเวนไปทั่วมิติต่างๆ แต่หากเราไปถึงอาณาเขตรอบนอกได้จริงๆ ก็คงเสียชีวิตเสียก่อนที่จะทันรู้ตัว” ผู้อาวุโสตอบอย่างขมขื่นใจ

“ช่างมันเถอะ พูดไปตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ อีกไม่ช้าเราก็จะกลายเป็นเครื่องบรรณาการแล้ว เรื่องนั้นก็ไม่มีผลอะไรกับเราอีก!”

“ผมก็ว่าอย่างนั้น” จางเซวียนตอบขณะประมวลข้อมูลจำนวนมหาศาลที่เพิ่งได้รับมา

เขาเคยคิดว่าเหล่านักปราชญ์โบราณไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าสู่มิติใดๆ แต่พวกเขาก็เข้าถึงอาณาเขตรอบนอกของวิหารแห่งขงจื๊อได้

จางเซวียนพลันเกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา

ถ้าเผ่าพันธุ์ปีศาจรู้ข้อมูลพวกนี้ นั่นก็หมายความว่าพวกมันได้สำรวจมิติครบทั้ง 6 มิติ หรือจะเป็นไปได้ไหมว่าผู้เชี่ยวชาญสักคนของพวกมันได้เข้าถึงอาณาเขตรอบนอกของหอบริวารแล้ว?

ตอนนี้เขาฝ่าฟันมิติต่างๆมาได้ถึง 3 มิติ แต่ก็ยังไม่รู้ว่าทั้งจ้าวหย่า เว่ยหรูเหยียน และคนอื่นๆอยู่ที่ไหน อีกทั้งยังไม่พบกลุ่มคนจาก 100 สำนักแห่งนักปราชญ์ และแม้แต่หลัวลั่วชิงกับคนอื่นๆที่เขารู้จักก็ไม่ปรากฏตัว

เป็นไปได้หรือไม่ว่าคนเหล่านั้นเข้าถึงอาณาเขตรอบนอกของหอบริวารแล้ว?