ตอนที่ 46 - 2 น้อมรับเสด็จไกลร้อยลี้

เขาสั่งให้ข้าเป็นราชินี [ส่วนที่ 1]

ข้างทางมีความเงียบสงบผืนหนึ่ง

 

 

“กลอนนี้…” มีผู้เผยสีหน้าฉงนสนเท่ห์

 

 

“กลอนนี้…” มีผู้ตอบอย่างอ้ำอึ้ง

 

 

“กลอนนี้ดีนัก!” มีผู้ชำเลืองมองสีหน้าของกงอิ้นแล้วรีบเร่งประจบสอพลอว่า “กระชับเรียบง่าย ตรงไปตรงมาน่าซาบซึ้ง ผู้หนึ่งในลุ่มน้ำต้าฮวงแสดงความโดดเดี่ยวเศร้าโศกของผู้เดินทางไกลกายโดดเดี่ยวในต่างแคว้นออกมาอย่างลึกซึ้งถึงอารมณ์ ส่วนความกล้าหาญความปรารถนาอันงดงามที่ซ่อนแฝงอยู่ในบทกลอนซึมออกมาจากกระดาษ แทรกเข้ากระดูกสามส่วน…”

 

 

ทุกคนผุดเผยสีหน้าหวังอาเจียน ค่อยๆ หลีกลี้จากเจ้าผู้น่าขยะแขยงไกลออกมาอีกหน่อย กงอิ้นขมวดคิ้วมองทูตชุดหลากสีแห่งแคว้นซังผู้นี้ ครุ่นคิดว่าความสามารถผายลมแปรผันตามความสามารถสอพลอหรือไม่?

 

 

เสียงทางนี้ยังมิทันสิ้น กวีหญิงผู้บุกเบิกบทกลอนคนล่าสุดที่เข้าถึงอารมณ์แล้วทางนั้นตบโต๊ะหนึ่งครั้งทันที กล่าวเสียงดังว่า “ยังมีอีกบทที่ดีกว่านี้!”

 

 

“ราชครูผู้หนึ่งในลุ่มน้ำต้าฮวง”

 

 

กงอิ้นที่เตรียมเดินออกไปหยุดฝีก้าว หรี่ตาขึ้นมา สายตาทะมึนอึมครึมเปล่งประกายปานแสงสีดำกระโจนไปมาสายหนึ่ง

 

 

เสียงของจิ่งเหิงปัวแว่วออกไปไกลยิ่งนักในค่ำคืนมืดมิดเงียบสงัด

 

 

“ไร้ข้อครหา”

 

 

“ราชครูฝ่ายขวา”

 

 

“หนึ่งในทั่วหล้า”

 

 

“คล้ายผีดิบที่สุด!”

 

 

 

 

เงียบงัน

 

 

ครู่หนึ่งกงอิ้นยกเท้าขึ้นเดินออกไปด้วยสีหน้าไร้อารมณ์

 

 

เขาพลาดเอง เขาไม่ควรจะหยุดฟัง

 

 

มีความคาดหวังกับจิ่งเหิงปัว เปรียบได้กับเชื่อว่าชาวแคว้นซังจะไม่ผายลม

 

 

ทูตชุดหลากสีกลุ่มใหญ่ก้มหน้าลงติดสอยห้อยตาม คล้ายว่ามิเคยได้ยินสิ่งใดทั้งนั้น

 

 

จิ่งเหิงปัวไม่รู้ว่าข้างนอกมีผู้ฟังมากมายขนาดนั้น ท่องเสร็จแล้วหัวเราะก๊ากๆ อยู่ในรถม้า…ช่วงนี้นางหมั่นไส้กงอิ้นเป็นพิเศษ หมั่นไส้เอามากเสียด้วย แม้ได้ด่าเขาเพียงสักหน่อยยังคล้ายได้ดื่มโคล่าแช่แข็งในเดือนมิถุนายน เย็นชื่นใจ

 

 

สักพักนางก็ชื่นใจไม่ออกแล้ว

 

 

ด้วยเพราะกงอิ้นบัญชาว่าด้วยเลยผ่านที่พำนัก ตั้งค่ายพำนักไม่สะดวก จึงตั้งใจเดินทางตลอดคืน ขอองค์ราชินีทรงประทับในราชรถมิต้องเสด็จลงมา

 

 

จิ่งเหิงปัวสติแตกในทันที

 

 

สองวันมานี้นางได้แต่สวมชุดโบราณหนักอึ้งทำตนเป็นหุ่นเชิดอยู่ในราชรถ ตกเย็นมาเหงื่อท่วมกายทั้งนอกทั้งใน หวังเพียงตอนพลบค่ำก่อนนอนได้หาบ่อน้ำบริเวณนี้สักบ่ออาบน้ำให้ชื่นอกชื่นใจ แม้ว่าตลอดเส้นทางนี้คือป่าเขาลำเนาไพรแต่ยังมีบ่อน้ำหลายแห่ง น้ำในบ่อที่สะอาดอบอุ่นคือความสุขอันงดงามที่สุดของนางตั้งแต่เช้าจรดเย็น

 

 

แต่ตอนนี้ ด้วยเพราะกลอนไพเราะเหมาะสมบทเดียว ความสุขเพียงสิ่งเดียวของนางยังถูกแย่งชิงไป

 

 

“ไม่…ได้…” ทั่วร่างเหงื่อท่วมหยดติ๋งติ๋ง จิ่งเหิงปัวผู้อดทนรอคอยการพักผ่อนอาบน้ำได้ยินประโยคนี้ ทั่วร่างคันคะเยอขึ้นมาโดยพร้อมเพรียงทันที ทนต่อไม่ไหวแม้แต่นาทีเดียว เลิกผ้าม่านรถม้าดังสวบแล้วเริ่มปลดกระดุมเสื้อ กล่าวว่า “ข้า…จะ…อาบ…น้ำ…”

 

 

สายตาที่กวาดผ่านมาด้วยความบริสุทธิ์แวววาวของกงอิ้นที่อยู่ข้างราชรถคือดวงดาราที่หนาวเหน็บที่สุดในท้องฟ้ายามค่ำคืน จิ่งเหิงปัวไม่ล่าถอยแม้แต่น้อย ถลึงตามองด้วยความโกรธ

 

 

“เจ้าขังข้าไว้ในห้องมืดแล้ว ยังจะไม่ให้ข้าอาบน้ำอีก!” นางฟ้องร้อง ความโกรธแค้นลึกล้ำ

 

 

กงอิ้นคล้ายจะชะงักไป สายตาอ่อนลงมา จากนั้นโบกมือ

 

 

รถม้าหยุดลง จิ่งเหิงปัวดีอกดีใจ กางแขนสองข้างพุ่งไปหาเขาพลางกล่าวว่า “เสี่ยวอิ้นอิ้นเจ้าดีที่สุดเลย…”

 

 

“หลีกไป” กงอิ้นหลีกถอยโดยพลัน

 

 

“ไสหัวไป!” อีกเสียงหนึ่งไม่ใช่เสียงของกงอิ้น มาจากในความมืดมิด ขณะเดียวกันแสงทะมึนสายหนึ่งคำรามผ่านมาพุ่งตรงใส่กลางอกของจิ่งเหิงปัว

 

 

แสงทะมึนยังไม่ทันมาถึง กลิ่นอายเข้มข้นสายหนึ่งทะลักเข้าปากเข้าจมูกรำไร กลิ่นอายนั้นคล้ายกลิ่นไข่ไก่เน่าเล็กน้อย กลิ่นฉุนรุนแรงเหลือเกิน จิ่งเหิงปัวสูดดมเสียจนวิงเวียนตาพร่าไปชั่วขณะ ร่างกายนางอ่อนยวบไปทันที ล้มหัวทิ่มลงไปบนพื้นดังพลั่ก

 

 

นางนอนถ่างแข้งถ่างขาคลานอยู่บนพื้น เหนือศีรษะคล้ายมีวัตถุอะไรร่วงมาดังพึ่บพั่บกระแทกลงบนหลังของนาง กลิ่นไข่ไก่เน่ายิ่งเข้มข้น นางเกือบจะอาเจียนออกมาเสียที่นั่น

 

 

“ใครแม่งลอบทำร้ายพี่วะ!”

 

 

“แปะๆๆ” มีผู้ปรบมือด้วยจังหวะสม่ำเสมอในความมืดมิด คนผู้หนึ่งเอ่ยด้วยเสียงแหบแห้งว่า “มิเสียแรงที่เป็นองค์ราชินี ล้มลงมายังงดงามกว่าผู้อื่น”

 

 

ได้ยินเสียงนี้ กงอิ้นที่กำลังรอคอยจะประคองนางขึ้นมาหยุดการกระทำ เชิดคางขึ้นมาเล็กน้อย

 

 

จิ่งเหิงปัวเงยหน้าขึ้นมา ท่ามกลางความมืดมิดฝั่งตรงข้ามค่อยๆ ปรากฏเงาคนผู้หนึ่ง สิ่งที่เข้าสู่สายตาคือรูปร่างโค้งเว้าวิจิตร การแต่งกายแปลกประหลาด ท่อนบนสวมเกราะเบาท่อนล่างสวมกระโปรงยาว ทั้งๆ ที่อาภรณ์เป็นเช่นนี้ทว่ากลับวาดเค้าโครงรูปร่างโดดเด่นของนางออกมาอย่างเต็มที่ จุดอวบอิ่มยิ่งแลดูอวบอิ่ม จุดเรียวยาวยิ่งแลดูเรียวยาว ส่วนกระโปรงยาวสะบัดพัดพลิ้วยิ่งผุดเผยขาเรียวยาวเอวบอบบาง ทรวดทรงงามสง่า ผสมผสานความหยาบคายและความประณีต ความกล้าหาญและความงดงาม ความแข็งแกร่งและความอ่อนโยนไว้ด้วยกันอย่างมหัศจรรย์ พาให้ผู้พบเห็นยากจะอธิบายได้ทันที ทันได้เพียงดวงตาสว่างวูบ

 

 

เสียงของนางแหบแห้งเล็กน้อย ฟังในครั้งแรกไม่ไพเราะเลยสักนิด พอฟังโดยละเอียดกลับได้ยินเสียงเกียจคร้านบางส่วนเจือด้วยการผ่านโลกมามากบางส่วน คือความพิเศษที่ทำให้ผู้คนประทับไว้ในความทรงจำเช่นเดียวกัน

 

 

“อัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเซียง!” จิ่งเหิงปัวได้ยินเสียงผู้ร้องอย่างตกใจในฝูงชน

 

 

เคียงคู่กับเสียงร้องอย่างตกใจนี้คือเสียงกึกก้องฉับพลันเสียงหนึ่ง แสงสีขาวกลุ่มหนึ่งสว่างวาบที่เบื้องหน้า ในแสงสว่างนั้น ทหารม้าชุดม่วงกลุ่มหนึ่งตะบึงเข้ามาอย่างบ้าคลั่งปานเทพสวรรค์ ท่ามกลางการห้อตะบึงรวดเร็ว พวกเขายื่นเสาธงออกมาทั้งสองฝั่งเส้นทางอย่างต่อเนื่อง เสียงระเบิดดังเพียะๆ เพียะๆ ไม่หยุดหย่อน เสาธงทุกต้นคงจะหักสะบั้นธงแคว้นอื่นชนเผ่าอื่นที่ปักอยู่ดั้งเดิม

 

 

ยามเหล่าทหารม้าควบอาชาเข้ามาใกล้ราชรถมิได้หยุดลง ทหารม้าผู้นำหน้าเป่าปากเสียงหนึ่ง ฝูงม้าหยุดลงโดยพร้อมเพรียง จากนั้นแยกจากกันปานธารหลากเวียนวนสู่สองฝั่งของราชรถ เหล่าทหารม้านำเสาธงด้ามหนึ่งออกมาจากข้างม้าอีกครั้ง ตะบึงเลียบไปตามเส้นทาง จากนั้นเป็นเสียงเพียะเพียะดังถี่กระชั้น ธงแคว้นเซียงสะบั้นธงแคว้นอื่นที่เดินทางมาโดยพร้อมเพรียง

 

 

เส้นทางข้างหน้าข้างหลังสามสิบจั้งเหลือเพียงธงสีม่วงสว่างของแคว้นเซียงอย่างรวดเร็วยิ่ง ในเบื้องหน้าความมืดมิดมีเสียงกลองดังขึ้นหนึ่งเสียง ทั้งเส้นทางกระทั่งรถม้ายังสะเทือนครั้งหนึ่ง ธงที่ปักเรียบร้อยแล้วเหล่านั้นสะบัดออกมาดังสวบ อักษร “เซียง” สีเหลืองสว่างนับไม่ถ้วนลอยอออกมาภายใต้แสงไฟในท้องฟ้ายามค่ำคืน

 

 

พอแคว้นเซียงปรากฏกาย ชื่อเสียงแลอำนาจพาคนตื่นตะลึง พฤติกรรมเย่อหยิ่งยโสโอหัง ทำให้หลายแคว้นหลายชนเผ่าที่เหลือต่างผุดเผยสีหน้าโกรธเคือง ทว่าไม่มีผู้ใดกล้าปริปาก

 

 

สายตาที่องครักษ์ทั้งหมดมองไปยังเฟยหลัวเปี่ยมด้วยความหวาดหวั่นลึกล้ำ สตรีเบื้องหน้า นางนี้เอ่ยได้ว่าคือสตรีที่มีอิทธิพลที่สุดอย่างแท้จริงในลุ่มน้ำต้าฮวง เล่าลือว่านางคือบุตรีนอกสมรสของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์แห่งแคว้นเซียง และเอ่ยว่าเป็นคนรักลับๆ ของกษัตริย์แห่งแคว้นเซียงองค์ก่อน ทว่าฐานะตามตำนานทั้งสองนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องตำแหน่งสูงส่งที่นางครอบครองอยู่ในยามนี้ อำนาจของนางมาจากการสมรส สตรีนางนี้เคยสมรสกับสามีสามคนตามลำดับตั้งแต่อายุยี่สิบปี ทั้งสามคนเป็นผู้ปกครองจากต้าฮวง เหล่าสามีที่ตำแหน่งสูงส่งอำนาจยิ่งใหญ่กลายเป็นผีอายุสั้นหลังจากแต่งงานกับนาง ทิ้งไว้เพียงอำนาจแข็งแกร่งและทรัพย์สินมากมายในตระกูลประคองนางก้าวสู่บัลลังก์การเมืองแห่งแคว้นเซียงในบัดนี้ทีละก้าวละก้าว ฉะนั้น นางจึงมีสมญานามหนึ่งว่า “แมงป่องสีรุ้ง” ด้วยสังหารคู่สมรสดุจแมงป่องแลมีพิษร้ายกาจดั่งแมงป่อง อารมณ์ผิดปกติ เจ้าชู้หลายใจ ว่ากันว่าหลายปีมานี้ เป้าหมายที่นางไล่ตามคือราชครูฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาแห่งต้าฮวงผู้มีสมญานามว่ามุกงามหยกคู่

 

 

ดอกไม้ไฟสายหนึ่งพุ่งขึ้นมาระเบิดออกกลางท้องฟ้ายามค่ำคืน ดอกไม้ไฟหลากสีมหึมาปกคลุมท้องนภาครึ่งหนึ่ง อักษร ‘เซียง’ ตรงกลางมีขนาดรอบนอกหลายสิบจั้ง

 

 

ด้านล่างอักษร ‘เซียง’ มหึมาอักษรนั้น อัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเซียงผู้ทั้งแลดูป่าเถื่อนทั้งแลดูคล้ายเทพธิดานางนั้นเดินมาทางกงอิ้น ด้านหนึ่งยื่นมือมา อีกด้านหนึ่งยิ้มแย้มพลางเอ่ยว่า “ได้ยินว่ามีผู้อาจหาญประณามราชครูว่าเป็นผีดิบลับหลัง เฟยหลัวไม่พอใจ กำลังหวังจะลงมือแทนราชครู มินึกว่าราชครูลงมือตำหนิด้วยตนเองไปเสียแล้ว เพียงแต่หกล้มเพียงครั้งคงดูถูกนางเกินไปบ้าง พวกเราลงโทษให้หนักยิ่งขึ้นดีหรือไม่?”

 

 

พอนางเดินเข้ามา เหมิงหู่ก็เริ่มตึงเครียด ขยับมาปกป้องเบื้องหน้าจิ่งเหิงปัวโดยไม่แสดงสีหน้า ได้ยินประโยคนี้ของนาง เหมิงหู่สืบเท้าก้าวหนึ่งกำลังจะเอ่ยวาจา มือของเฟยหลัวที่ใบหน้ายิ้มแย้มงดงามตลอดมาอ้อมผ่านเขามาโดยพลันแล้ว ทอดลงบนใบหน้าของจิ่งเหิงปัว

 

 

“งดงามเสียจริง…” นางลูบคลำผิวกายขาวเนียนละเอียดของจิ่งเหิงปัวอย่างแผ่วเบา สายตาลุ่มหลง

 

 

ถูกสตรีนางหนึ่งใช้สายตาท่าทางแบบนี้ลูบคลำ ขนบนร่างกายของจิ่งเหิงปัวแทบจะลุกชันขึ้นมา โดยเฉพาะแววตาของอีกฝ่าย แม้ว่ามีความอิจฉาบางส่วน ที่มากกว่านั้นกลับเป็นความปรารถนาจะครอบครองโดยไม่แยแสแบบหนึ่ง คล้ายมองดูหน้ากากที่ตนเองสามารถฉวยมือซื้อได้ในตลาด

 

 

ความรู้สึกนี้ทำให้นางขนลุกขนพอง ยกมือปัดมือของเฟยหลัว

 

 

“ข้ารู้ว่าข้างดงามยิ่งนัก ” นางยิ้มตอบตาหยี กล่าวว่า “ฉะนั้นเจ้าอย่าลูบคลำทำข้าสกปรก”

 

 

มือของเฟยหลัวชะงักไปเล็กน้อยกลางอากาศ ใบหน้าของกงอิ้นหันมาหา

 

 

ทุกคนกลั้นลมหายใจ

 

 

ผู้ใดก็ไม่คิดว่า พอนายหญิงเพียงในนามแห่งต้าฮวงพบกับสตรีผู้มีอำนาจอย่างแท้จริงที่สุดแห่งต้าฮวงจะโชยกลิ่นดินปืนฉุนรุนแรงพร้อมสรรพเช่นนี้

 

 

ครุ่นคิดโดยละเอียดย่อมไม่แปลกประหลาด เฟยหลัวเอาแต่ใจตนเองโดยตลอด อีกทั้งจากตำแหน่งและอุปนิสัยของนาง ไม่ว่าราชินีกล้าหาญหรือขี้ขลาดล้วนมิได้ทำให้นางสนใจ

 

 

เทียบกับราชินีหุ่นเชิดนางหนึ่ง อัครเสนาบดีหญิงเฟยหลัวผู้กุมอำนาจทางการเมืองที่ใหญ่ที่สุดของต้าฮวงจึงเป็นผู้หนึ่งที่มีข้อได้เปรียบและมีตำแหน่งมากกว่าโดยแท้จริง

 

 

ราชินีองค์ก่อนเคยหลีกทางให้นาง ราชินีองค์ก่อนขององค์ก่อนเคยด้วยเพราะสวมกระโปรงที่มีรูปแบบและสีสันเหมือนกับนางในงานเลี้ยงแห่งหนึ่ง ถูกสายตาปราดเดียวของนางบีบเคล้นจนเอ่ยว่าป่วยไข้ถอยออกจากงานเลี้ยง

 

 

ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึงราชินีองค์ใหม่ที่เพิ่งโผล่มานางหนึ่ง

 

 

มือของเฟยหลัวชะงักเพียงน้อยครั้งหนึ่ง จากนั้นนางยิ้มแย้ม

 

 

รอยยิ้มของสตรีนางนี้พิเศษยิ่งนัก เขยื้อนขึ้นมาจากหางตาทอดยาวถึงแก้มทีละนิ้วละนิ้ว ทว่ามุมปากคล้ายไม่ขยับเขยื้อน นี่ทำให้นัยน์ตาของนางยิ่งแวววาวดุจสายธาร คล้ายความสบายใจและสนุกสนานเปล่งออกมาจากในใจ

 

 

ทว่าผู้คนรอบด้านเกร็งแน่นไปถึงกล้ามเนื้อ

 

 

“นั่นสิ เจ้าเอ่ยถูกต้องแล้ว” นิ้วมือของเฟยหลัวไถลลงไป ยิ้มแย้มประคองไหล่ของจิ่งเหิงปัวพลางเอ่ยว่า “ผู้มีรูปโฉมงดงามเช่นนี้ ถูกข้าลูบคลำจนสกปรกคงแย่แน่ ข้าจะมิเข้าใจทนุถนอมนวลนางเฉกเช่นใต้เท้าราชครูได้อย่างไรเล่า? สมควรแล้ว สมควรแล้ว มาสิ ข้าประคองเจ้าขึ้นมาเอง”

 

 

ผู้คนรอบด้านผ่อนลมหายใจ

 

 

จิ่งเหิงปัวสังเกตได้อย่างรวดเร็วว่าตั้งแต่ต้นจนจบนางไม่ได้เรียกขานตนเองว่าฝ่าบาท จากนั้นนางจึงรู้สึกได้ถึงความรู้สึกเจ็บปวดจากสิ่งแหลมคม…เล็บของเฟยหลัวคล้ายแหลมเกินไปจนแทบจิกเข้ามาถึงผิวกายของนางแล้ว

 

 

เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวถอยไปด้านหลังแต่ดิ้นรนออกมาไม่ได้ นิ้วมือของเฟยหลัวดุจคีมเหล็กหนีบจุดเจียนจิ่ง[1]ของนางไว้แน่นหนา พอจิ่งเหิงปัวเงยหน้ามองเห็นใบหน้ายิ้มแย้มแพรวพราวของเฟยหลัว ทว่าดวงตาคู่นั้นบนใบหน้าเย็นยะเยือกลึกล้ำดุจแม่น้ำทะมึนที่แช่แข็งมาเนิ่นนาน

 

 

นางสะท้านในใจ เหลียวมองรอบด้าน เหล่าองครักษ์ทำตนเป็นปกติ

 

 

แท้จริงแล้ว เฟยหลัวมีน้ำใจโอบอ้อมอารี บรรยากาศของทั้งสองคนรักใคร่กลมเกลียว ไม่มีผู้ใดรู้สึกว่ามีอะไรผิดปกติ

 

 

จิ่งเหิงปัวรู้สึกว่าเล็บของเฟยหลัวแทบจะทะลุผ่านเสื้อนอกหนาหนักของตนเองแล้ว

 

 

“ฝ่าบาท เฟยหลัวเป็นขุนนางสำคัญแห่งแคว้น ถ้อยวาจาของพระองค์เสียมารยาทยิ่งแล้ว” กงอิ้นที่มิได้เอ่ยวาจามาโดยตลอดปริปากอย่างเย็นชาโดยพลัน แขนเสื้อสะบัดเพียงครั้งคลุมบนหัวไหล่ของนาง นางเรือนร่างสะเทือนครั้งหนึ่ง หลุดพ้นจากการควบคุมของเฟยหลัว โซเซไปด้านหลังล้มลงใต้ท้องรถ

 

 

องครักษ์รอบด้านไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย มีบางคนผุดเผยแววตาสงสาร…ยังเป็นเช่นนี้ดังคาดการณ์

 

 

เฉกเช่นกาลก่อน ราชินีคือหุ่นเชิดที่แลดูมีเกียรติศักดิ์ตลอดมา ราชครูเลือกรักษาหน้าตาของอัครเสนาบดีหญิงแห่งแคว้นเซียงโดยไม่ลังเลแม้แต่น้อย

 

 

จิ่งเหิงปัวลุกขึ้นไม่ไหวไปชั่วขณะ เสื้อผ้าหนักเกินไป ผ้าต่วนหนาและเครื่องประดับเกือบหลายสิบชั่งโถมลงมาดั่งขุนเขาพานางล้มลงไป

 

 

จำใจสวมชุดนี้เพราะไม่อยากทำให้กงอิ้นลำบากใจต่อหน้าหกแคว้นแปดชนเผ่า อย่างไรเสียเขาต้อนรับขบวนเสด็จกลับมา หากนางทำตนโดดเด่น สิ่งที่จะกวาดไปเป็นสิ่งแรกคือเกียรติยศของเขา จิ่งเหิงปัวไม่อยากให้เขาถูกผู้อื่นวิพากษ์วิจารณ์ จะท้าทายกฎเกณฑ์ รอให้เข้าสู่ต้าฮวงเผชิญหน้ากับวัตถุโบราณพวกนั้นค่อยว่ากันอีกที

 

 

ขณะนี้นางเริ่มเสียใจขึ้นมาบ้างแล้ว

 

 

มือสองข้างของเฟยหลัวประสานไว้ตรงท้องอย่างสง่างาม เพียงยิ้มแย้มพินิจกงอิ้นมิมองผู้อื่น สายตาคล้ายมีความรู้สึกลึกล้ำ เหมิงหู่จะสืบเท้าเข้ามาทว่าถูกองครักษ์ด้านหลังเฟยหลัวบังเอาไว้คล้ายมิได้ตั้งใจ

 

 

เหมิงหู่มองไปทางกงอิ้น ใช้สายตาแสวงหาคำชี้แนะ นิ้วมือของกงอิ้นขยับเล็กน้อย จากนั้นหยุดนิ่ง สีหน้าของเขาไร้อารมณ์กลางท้องฟ้ายามค่ำคืน นัยน์ตาคล้ายเปล่งประกายเพียงน้อย

 

 

จิ่งเหิงปัวหมอบอยู่บนพื้น มองเห็นเท้าสองข้างเบื้องหน้าเคียงคู่กัน รองเท้าข้อยาวสีขาวราวหิมะของกงอิ้นกับรองเท้าปักประณีตอย่างยิ่งใต้กระโปรงของเฟยหลัว ดอกไม้ดอกใหญ่งดงามบนหน้ารองเท้ามีสีแดงสดดั่งโลหิต

 

 

ภายใต้สายตาของนาง เท้าสองคู่นั้นไม่ถอยและไม่ขยับเขยื้อนเช่นกัน มีความเฉยเมยเปี่ยมอำนาจเพียบพร้อม

 

 

นี่คือมหาอำนาจและชนชั้นทางสังคมของต่างโลกเหรอ…

 

 

จิ่งเหิงปัวถอนหายใจ นางอยากเรียนวรยุทธขึ้นมาบ้างแล้ว จะมีวรยุทธสักชนิดที่ไม่ค่อยลำบาก ไม่ค่อยเหนื่อย ไม่มีช่วงที่ต้องฝึกฝนจนหน้าบวมปูด หรือชอบบาดผิวกายบ้างหรือเปล่านะ?

 

 

วัตถุบนร่างกายหนักเกินไป งั้นก็ต้องโยนทิ้ง

 

 

เพลิงโทสะในใจลุกโชนขึ้นมา เดี๋ยวค่อยว่ากัน

 

 

นางยกมือปลดผ้าคลุมหนักอึ้งดึงปิ่นระย้าทองคำน่ารำคาญออกแล้วฉวยมือโยนลงบนพื้น

 

 

“ถอดอาภรณ์ปลดปิ่นต่อหน้าธารกำนัล ท่านนี่จะขอรับโทษทัณฑ์หรือ?” ชายกระโปรงสีแดงเลือดหมูขยับเขยื้อนแผ่วเบา เฟยหลัวยิ้มแย้มสืบเท้ามาทางนาง

 

 

รองเท้าข้อยาวสีขาวหิมะขยับเพียงครั้งขัดขวางเส้นทางของเฟยหลัว เสียงของกงอิ้นเยือกเย็นสุขุมเอ่ยว่า “เสนาหญิง ข้ามีเรื่องจะปรึกษาหารือกับเจ้าพอดี มิสู้ขยับฝีก้าวไปเบื้องหน้าสนทนาสักครู่ดีหรือไม่?”

 

 

เฟยหลัวชะงักไปเล็กน้อย ปริปากด้วยเสียงสนุกสนานอีกครา “ได้สิ”

 

 

รองเท้าข้อยาวสีขาวราวหิมะกับรองเท้าปักประณีตขยับเขยื้อนออกไปอย่างแผ่วเบา ยามนี้เองชุ่ยเจี่ยกับจิ้งอวิ๋นจึงกล้าชะโงกหน้าออกมาประคองจิ่งเหิงปัวขึ้นไป จิ่งเหิงปัวยังไม่ทันได้นั่งให้มั่นคง ยามเฟยหลัวเดินผ่านข้างแอกรถก็เอ่ยขึ้นมาโดยพลันว่า “อาชาตัวนี้งามสง่ายิ่งนัก!”

 

 

นางคล้ายชื่นชอบม้าเทียมรถยิ่งนัก ยื่นมือตบไปบนหัวม้าเพียงครั้ง หัวเราะคิกคิกเดินออกไป

 

 

อาชานั้นสะท้านไปทั่วร่าง คำรามเสียงยาวเสียงหนึ่งโดยพลัน ยกกีบเท้าพุ่งทะยานไปด้านนอก!

 

 

รถม้าถูกลากไปด้วยโดยพลัน เรือนร่างของจิ่งเหิงปัวที่อยู่ตรงประตูรถยังไม่ทันได้นั่งลงโซเซไปด้านหน้ากำลังจะร่วงลงมาใต้ท้องรถ!

 

 

แสงเย็นเยือกสายหนึ่งกะพริบวูบตัดเชือกบังเ**ยนที่ผูกไว้กับตัวม้าดังผึงเสียงหนึ่ง ม้านั้นพุ่งทะยานออกไปอย่างบ้าคลั่งโดยพลัน สะท้อนเสียงกีบเท้ารุนแรงออกมาในค่ำคืนเงียบสงบ

 

 

เสียงคำรามของม้าที่ห่างออกไปดุเดือด ม้าคล้ายกลายเป็นบ้าขึ้นมาในชั่วพริบตาเดียว

 

 

จิ่งเหิงปัวที่โซเซร่วงหล่นลงมาจากประตูรถถูกเหมิงหู่ประคองไว้ได้ทันเวลา รอดพ้นจากการล้มลงใต้ล้อรถ

 

 

เสียงของกงอิ้นแว่วมา เจือด้วยความโกรธเล็กน้อย “เสนาหญิง! เจ้ากำเริบเสิบสานนัก! นี่คือขบวนเสด็จ!”

 

 

เสียงของเฟยหลัวฟังดูไร้เดียงสาและแผ่วเบา พาให้คนจินตนาการได้ว่ายามนี้นางคงต้องเบิกดวงตาสองข้างจนกลมโต มือปิดริมฝีปากคู่นั้นอย่างแผ่วเบา ใบหน้าเปี่ยมด้วยความงงงวยด้วยไม่ระวังก่อเรื่องวุ่นวาย

 

 

“ว้าย ขออภัยด้วย ข้าลืมไปเสียแล้ว!”

 

 

 

 

 

 

 

 

 

[1] ตำแหน่งร่องกลางหัวไหล่