ท่ามกลางแสงสีฟ้า เมสันและเฟร็ดบินออกจากโรงแรม และรีบวิ่งไปนอกเมืองที่มีทหารรักษาการณ์ประจำการอยู่

ทันใดนั้นไฟสีแดงเข้มก็ปะทุขึ้นจากพื้นสู่ท้องฟ้าอย่างรุนแรงราวกับภูเขาไฟระเบิดและขัดขวางเมสันและเฟร็ดไว้

“แมททิว เจ้ากำลังทำอะไรอยู่?” เมสันหยุดบินทันทีก่อนที่จะเข้าไปในกองควันไฟ เขาจ้องมองชายรูปร่างสูงเพรียวที่ขัดขวางพวกเขา นั้นคือ แมททิว ‘ความพิโรธแห่งพสุธา’ อัศวินอาภาระดับเจ็ด

แมททิวเป็นชายผมสั้นสีสาหร่ายทะเล เขาเงยหน้าขึ้นและมองไปที่เมสันและเฟร็ดก่อนที่เขาจะพูดอย่างสบายๆว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรือว่าห้ามบินภายในเมือง”

ที่นี้ไม่มีวงแหวนเวทมนตร์ห้ามใดๆ แต่ได้รับการดูแลจาก ‘ผู้ดูแลเมือง’ ที่เป็นอัศวินอาภาผู้แข็งแกร่งเพียงไม่กี่คน หลังจากที่เมืองนิรนามเกิดความผิดปกติขึ้น อัศวินอาภาสองสามคนที่มักจะเข้ามาในสถานที่แห่งนี้เพื่อหาพรรคพวกและได้ร่วมกันตั้งคำสั่งให้ควบคุมเมืองซึ่งกันและกัน และรักษาความสงบของเมือง

ในทางกลับกัน แมททิวก็เป็นหนึ่งใน ‘ผู้ดูแลเมือง’ ที่ว่า

“อะไรคือการห้ามบินภายใต้สถานการณ์เช่นนี้” เฟร็ดและเมสันไม่ได้กลัวในแมททิวฐานะอัศวินอาภา พวกเขากังวลว่าเอลฟ์จะโจมตี “เราหวังเพียงว่าจะมีการสอบสวนพวกเอลฟ์ เจ้าจะขัดขวางพวกเราหรือ?”

เมสันและเฟร็ดค่อนข้างระมัเระวังแมททิว เพราะพวกเขารู้สึกได้ถึงความผิดปกติจากเขาและคู่หูของเขา

แมททิวและพรรคพวกไม่ได้ทำอะไรแปลก ๆ เพียงแต่พวกเขามักจะแสดงความสิ้นหวัง ความเจ็บปวด และความวิตกกังวลหลังจากการโจมตีของปีศาจในครั้งแรก พวกเขาเชื่อว่าเป็นไปไม่ได้เลยที่เอลฟ์จะปกป้องรอยแยกแห่งอเวจี เพราะเจตจำนงแห่งอเวจีอาจมาถึงได้ทันทีเมื่อรอยแยกค่อยๆ ขยายวงกว้าง ดังนั้นการอยู่ในเมืองนิรนาม จึงหมายถึงการรอความตาย ไม่มีความหวังที่จะหลบหนีอย่างแน่นอน

ภายใต้อิทธิพลของความวิตกกังวล ความสิ้นหวัง ความหงุดหงิด และความทุกข์ทรมานทั้งหลายนั้นได้แพร่กระจายออกไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากความรู้สึกแบบนี้เป็นเรื่องปกติ เมสัน และเฟร็ดจึงไม่สงสัยอะไร พวกเขาไม่ต้องการสนทนากับแมททิว และพรรคพวกของเขา เพราะยิ่งพวกเขาได้พบกับคนเหล่านั้นมากเท่าไหร่มันก็จะยิ่งมืดมน และเจ็บปวดมากขึ้นเท่านั้น

“พวกเราต้องได้รับการตรวจสอบของเอลฟ์ และนักเวทด้วยเช่นกัน แต่เราไม่รีบ และเราจะไม่ฝ่าฝืนคำสั่งของเมือง” นัยน์ตาสีเขียวของแมททิวยังคงนิ่งสงบเหมือนเดิม “เมสัน เฟร็ด พวกเจ้ารู้ดีว่าว่าเวลาที่วิตกกังวล และความใจร้อนเช่นตอนนี้คือการเรียกร้องให้ออกคำสั่ง การรักษาคำสั่งที่เชื่อถือได้ และเข้มงวดเท่านั้นที่เราจะมั่นใจได้ว่าสถานการณ์จะไม่บานปลายและเราจะปลอดภัย ดังนั้นข้าจะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้าเพียงเพราะเป็นอัศวินอาภา โปรดตามข้าไปที่ สำนักงานผู้ดูแลเพื่อรับโทษ”

เมสันต้องยอมรับว่าแมททิวมีเหตุผล แต่ความหดหู่แปลก ๆ ตามหลอกหลอนเขาและทำให้เขาขยับไม่ได้ เฟร็ดไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เช่นกัน

แมททิวยกมือขวาขึ้น “เมสัน เฟร็ด พวกเจ้ากำลังพยายามต่อต้านเจ็ดอัศวินอาภา เอลฟ์ระดับสูง และผู้เชี่ยวชาญระดับตำนานงั้นหรือ?”

การเดินฝ่าบนท้องถนนดำเนินไปอย่างเชื่องช้า และระมัดระวังเพื่อให้รับรู้ถึงอันตรายที่อาจปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ

ทางด้านตะวันออกของถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติเป็นป่าทึบจนแทบไม่มีแสงแดด

มาร์ธาอาศัยอยู่ภายในนั้น นางเป็นตัวแทนของความเกลียดชังของธรรมชาติ พยายามอย่าทำให้นางโกรธ ถ้าหากนางพูดอะไรที่ไม่เหมาะสมข้าต้องขอโทษนางก่อน” ไอริสทีนที่สวมชุดสีเขียวใบไม้พูดกับจูรีเซียน เฟลิเป้ ไฮดี้ และแอนนิค

เนื่องจากต้องมีการตรวจสอบหลายทิศทาง นักเวทจึงถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ ไฮดี้เชื่อว่าเมื่อวานนี้การบรรยายของสปรินต์ที่เกี่ยวกับแอนนิคแทบจะไม่มีผลใด ๆ พวกเขาเลยได้จัดทีมใหม่ และตัดสินใจที่จะดำเนินงานด้วยตนเอง นางวางแผนที่จะพาแอนนิคไปทำความรู้จักกับเพื่อนเอลฟ์อีกสองสามคน เนื่องจากเมื่อวานนี้นางกับโนดาเนียลย์ได้เป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน และได้ทำความรู้จักกับเอลฟ์คนอื่น ๆ อีกมากมาย

เนื่องจากมาร์ธาเป็นเอลฟ์ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาเอลฟ์ในการสอบสวน จูรีเซียน และเฟลิเป้ที่ซึ่งไม่เคยเห็นหน้ากันมาก่อนจึงทำงานร่วมกัน

จูรีเซียนยิ้มอย่างสุภาพ “ไม่เป็นไร ทุกคนมีความเชื่อเป็นของตัวเอง ไม่ใช่เรื่องใหญ่ตราบใดที่เราไม่ได้รับอันตรายใดๆ”

แม้แต่เจ้าหญิงแห่งเอลฟ์ก็ยังขอโทษล่วงหน้า ดังนั้นเขาจะพูดอะไรอีก?

เฟลิเป้พยักหน้าพร้อมกับเอามือล้วงกระเป๋า แต่สายตาของเขามองข้ามป่าไปที่ไหนสักแห่งไกลๆ การติดต่อสื่อสารกับเหล่าเหล่าเอลฟ์ และการสอบสวนเรื่องถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติเมื่อวานนี้ประสบผลสำเร็จอย่างเห็นได้ชัด

เนื่องจากมีสมาชิกสองคนของคณะกรรมการกิจการอยู่ข้างหน้าพวกเขา ไฮดี้จึงอดเหม่อลอยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นางพูดกับแอนนิคด้วยกระแสจิตว่า “เมื่อการสอบสวนจบลง ข้าจะพาเจ้าไปพบกับเอลฟ์ ”’ลูกแก้วแห่งธรรมชาติ’”

“บ…บอล? ข้า…ข้าเต้นไม่เป็น” แอนนิคตกใจมากจนพูดติดอ่าง

ไฮดี้จ้องมองเขา “ใครเกิดมาเพื่อเต้น? แต่ใช้เอลฟ์อาจจะเป็น… แต่ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าเดทกับเอลฟ์ แค่จะช่วยให้เจ้าอารมณ์ดีโดยการทำความรู้จักกับเพื่อนๆ และสิ่งต่างๆ มากขึ้น ข้าไม่อยากให้เพื่อนดีๆ ของข้าป่วยเป็นโรคทางจิตใจที่รุนแรงเพราะการศึกษาอาร์คานา และเวทมนตร์”

ในฐานะเพื่อนสนิทของราเชล นางจึงรู้เรื่องจิตวิทยามากมาย

ที่แอนนิคหมายถึงคือ เขามีความสุขมากที่ได้เรียนอาร์คาน่า และเวทมนตร์ ส่วนการแก้ปัญหานั้นน่าพอใจมากกว่าการเต้นรำ และการได้เพื่อนใหม่ แต่เขาก็เป็นคนที่ชื่นชมในมิตรภาพด้วยเช่นกัน เมื่อเห็นว่าไฮดี้ เลย์เรีย สปรินต์ และแคทรีนากังวลเกี่ยวกับความเขินอายของเขา เขาจึงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเองซักหน่อย แต่ท้ายที่สุดแล้วเขาก็จะทุ่มเทให้กับอาร์คานา และเวทมนตร์อีกครั้ง ไฮดี้และคนอื่น ๆ ก็จะเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

ไอริสทีนเดินทางไปมาในป่าได้ว่องไวราวกับกวาง ไม่ช้าพวกเขาก็เห็นบ้านสีเขียวที่ไม่ได้ตกแต่งใดๆ บริเวณพื้นที่ว่างเปล่าด้านล่างของตัวบ้านมีเอลฟ์จำนวนหนึ่งกำลังเรียนเต้นรำอยู่

มาร์ธาเป็นนักดนตรีและนักเต้นที่มีชื่อเสียงในหมู่เอลฟ์

ยืนอยู่ต่อหน้าเอลฟ์นับสิบเหล่านี้คือ เอลฟ์ราตรีที่ได้มัดมวยผมและมีผิวสีเขียวเข้มให้ความรู้สึกสวยงามแปลก ๆ นางให้ความรู้สึกเป็นผู้ใหญ่มากจนรู้สึกเหมือนผลไม้ที่อยู่ในฤดูที่สุกงอมที่สุด

“ค่อมไปข้างหลังมากขึ้น…ความเจ็บปวดนี้เป็นอย่างไร หากเทียบกับความเจ็บปวดเมื่อตอนที่มนุษย์ตัดไม้ทำลายป่า และเมื่อสีเขียวเหี่ยวแห้งลงจนเป็นทะเลทราย?” มาร์ธาค่อนข้างเข้มงวดในการสอน และไม่ลังเลที่จะแสดงทัศนคติของนางในฐานะผู้ติดตามนิกายกบฏธรรมชาติ

“การเต้นรำนี้เรียกว่าระบำล้างแค้น ทุกการเคลื่อนไหวจะมีความหมายพิเศษ และแสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยวของธรรมชาติ เจ้าไม่มีทางเต้นได้ดีถ้าไม่เข้าถึงความรู้สึก ตัวอย่างเช่น ในการเคลื่อนไหวนี้ เจ้าต้องระลึกถึงเหล่าสัตว์ป่าที่สูญพันธุ์ไปแล้ว เพราะความโลภของมนุษย์ เพียงเพราะขน หนังเนื้อและกระดูกมีประโยชน์ พวกมันจึงต้องจากโลกนี้ไปตลอดกาล… ”

“เพราะความเห็นแก่ตัวของพวกเขามนุษย์ที่ทำร้ายธรรมชาติอย่างโจ่งแจ้ง และในวันหนึ่งธรรมชาติจึงระเบิดความโกรธออกมาและชำระบาปทั้งหมด…”

เมื่อได้ยินคำสั่งสอนของมาร์ธา จูรีเซียนก็ขมวดคิ้วและคิดกับตัวเองว่า “คำพูดเหล่านี้ และการเต้นรำแบบนี้ คล้ายกับพิธีกรรมอัญเชิญพิเศษจริงๆ มันจะได้ผลตราบเท่าที่พวกเขาเชื่อมั่นว่า ‘การแก้แค้นของธรรมชาติ’ มีอยู่จริง … แต่ทำไมเอลฟ์แห่งความสมดุลของธรรมชาติถึงเสียหายมากขนาดนี้? เหตุใดมาร์ธายังคงสอนเรื่องระบำล้างแค้นทั้งที่รู้ว่าสภาให้การช่วยเหลือในการสืบสวน นางคิดว่าเราไม่มีวันรู้ว่านางทำหรือไม่ได้ทำ?”

ไอริสทีนก้าวไปข้างหน้า และพูดว่า “ขออภัย ท่านมาร์ธา มีแขกบางคนต้องการถามคำถามกับท่าน”

มาร์ธาสังเกตเห็นคนแปลกหน้ามานานแล้ว แต่นางก็มองเมิน จนกระทั่งไอริสทีนเอ่ยปาก ในที่สุดนางก็ก้มหน้าลงด้วยใบหน้าที่น่ากลัว “ฝ่าบาท ข้าไม่ต้องการให้มนุษย์ที่จิตใจสกปรกล่วงเกินสถานที่ของข้า และข้าไม่รู้ว่าจะตอบคำถามอะไรได้บ้าง”

“ท่านหญิง เราอยากรู้แค่ว่าท่านเรียนระบำล้างแค้นมาจากไหน” จูรีเซียนถามอย่างใจเย็นโดยที่ไม่ได้โกรธเคืองอะไร

มาร์ธาแสดงท่าทางดูถูก “ข้าได้รับแรงบันดาลใจมาจากความเสียหายที่มนุษย์กระทำต่อธรรมชาติ และจัดระเบียบการเคลื่อนไหวแบบโบราณดั้งเดิม ข้าคิดและทำด้วยตัวเอง เจ้าพอใจกับคำตอบหรือยัง?”

“อะไรคือโบราณดั้งเดิม?” เฟลิเป้ถามคำถามหลัก

มาร์ธาหัวเราะเยาะ “นักเวทควรจะรู้นะ? เจ้าบอกไม่ได้หรือ? มันมาจาก ‘คัมภีร์พิธีกรรม’,’พิธีกรรมดวงจันทร์ของมนุษย์หมาป่า’ …”

นางกล่าวออกมา เห็นได้ชัดว่าคำพูดก่อนหน้านี้ของนางไม่ใช่เรื่องโกหก

เมื่อตอบคำถามอีกสองสามข้อ มาร์ธาก็ขอให้พวกเขาออกไป “ข้าหมดความอดทนแล้ว ข้าไม่ต้องการตอบคำถามได้ๆ อีก ถ้าเจ้าอยากจะโทษว่าอุบัติเหตุเป็นเพราะข้า ข้าก็ยินดี”

หลังจากนั้นนางก็กลับไปที่ถิ่นพำนักแห่งธรรมชาติ และบรรยายต่อ

ไอริสทีนหันกลับมาเงียบ ๆ และกล่าวอีกครั้งว่า “ข้าขอโทษแทนท่านมาร์ธาด้วย…”

“รอสักครู่” เฟลิเป้ขัดจังหวะเธอ “ข้าต้องการสืบค้นบ้านต้นไม้ของมาร์ธา และบริเวณใกล้เคียง”

“ทำไม?” ไอริสทีนถามด้วยความประหลาดใจ

เฟลิเป้พูดอย่างเย็นชา “เราควรจะเชื่อในสิ่งที่เธอพูดหรือเปล่า?”

จูรีเซียนพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เพราะผู้ชายคนนี้ กลุ่มของเขาจึงไม่มีปัญหาในการพูดในสิ่งที่เขาไม่อยากจะพูด

ไอริสทีนลังเล เพราะมันคือการค้นบ้านของ ‘ผู้ถือครองไม้ค้ำจุน’

ละอองสีเลือดฟุ้งกระจายในอากาศจนปิดกั้นแสงแดดจากท้องฟ้า สภาพแวดล้อมที่ได้รับการชำระล้างจาก ‘เปลวไฟนิรันดร์’ ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยคำสาป และพิษอีกครั้ง

พลังวิญญาณของลูเซียนแผ่ออกไป ด้วยการยึดพลังของการฉายภาพสะท้อนของมิติพิเศษของเขา เขาทำให้สภาพแวดล้อมรอบ ๆ ตัวของเขาพร่าเลือนจึงทำให้คำสาปและพิษไม่สามารถแทรกซึมเข้ามาได้ นาตาชาสวมชุดเกราะสีเงินที่ดูไม่แตกต่างจากเดิม แต่คำสาปและพิษก็สลายไป เมื่อพวกมันเข้าใกล้นางโดยไม่มีข้อยกเว้น

“เจ้าพบอะไรไหม” มัลฟิวเรียนถามลูเซียนที่ยืนอยู่ข้างกระจกที่มีลายสลับซับซ้อน เขากำลังร่าย ‘กระจกแห่งชะตา’ เพื่อตรวจสอบที่มาของ ‘การบูรณาการเชิงพื้นที่’

ลูเซียนวางลูกแก้วตรงกลางกระจกแห่งชะตาบนบนมือซ้ายของเขา จากนั้นภาพก็ปรากฏชัดทันที ลูกแก้วก็เรืองแสงเช่นกัน และดวงดาวในนั้นก็เชื่อมต่อกันเป็นเส้นตรง

“ทางนั้น” ลูเซียนพูดกับนาตาชา และมัลฟิวเรียน “หรืออุบัติเหตุจะเกิดจากที่นี่จริง ๆ ?”

……………………………………………………………