ส่วนที่ 4 ตอนที่ 200 ความรู้สึกแปลกๆ

ความลับแห่งจินเหลียน

จ่านป๋ายนิ่งอยู่นาน ก่อนจะเริ่มพูดขึ้นว่า “คุณแน่ใจนะว่าจะซื้อ?”

 

 

ซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าลงอย่างจริงจัง ทุกครั้งที่เธอเดิมพันหินก็มักจะขี้โกงเป็นหลัก สำหรับเธอแล้วมันไม่น่าตื่นเต้นท้าทายเลย แค่เธอได้สัมผัสหินหยกก็อดไม่ได้อยากจะใช้ความสามารถในการมองทะลุผ่านสักหน่อย ดังนั้นครั้งนี้เธอเลยตัดสินใจแล้ว…เธอจะไม่ดู แล้วให้จ่านป๋ายไปเสี่ยงโชคเอง

 

 

แน่นอน ในใจของเธอเองรู้ดี ถ้าอาศัยโชคของจ่านป๋าย อัตราความสำเร็จก็ต่ำเกินไป

 

 

แต่จ่ายไปแค่หมื่นกว่าหยวนเพื่อซื้อความสุขมันก็คุ้มค่า คิดเสียว่าเป็นการเดิมพันหินแท้จริงสักครั้งก็ไม่เสียแรงเปล่าสำหรับฉายาเจ้าหญิงหยกอย่างเธอ

 

 

จ่านป๋ายมองเธอด้วยท่าทางหน้าสงสาร หลุบเสียงลงต่ำ “คุณคงไม่ได้อยากเห็นผมขายหน้าหรอกนะ?”

 

 

“ก็ถ้าฉันอยากเห็นล่ะ จะทำไมเหรอ?” ซีเหมินจินเหลียนยกมุมปากยิ้ม

 

 

“ก็ได้ๆ!” จ่านป๋ายยิ้มขมขื่น “ขอแค่คุณชอบก็พอ!”

 

 

ทางซีเหมินจินเหลียนได้ตกลงคุยกับชายชราท่านนั้นเป็นที่เรียบร้อย เธอควักเงินสดจำนวนสองหมื่นออกมาจากกระเป๋าและยิ้ม “เถ้าแก่ ฉันเล่นยี่สิบก้อนค่ะ”

 

 

ชายชรารับเงินมาสองหมื่นหยวน ก่อนจะยัดเข้าไปในกระเป๋าหนังสีดำที่อยู่ข้างๆ ยิ้มทั้งสายตาและเอ่ยว่า “คุณผู้หญิงก็มือเติบไม่เบา ขอให้คุณโชคดีนะ”

 

 

“ฉันก็โชคดีมาตลอดค่ะ” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม

 

 

ชายชราที่แผงขายใจดีนำตะเกียงแขวนไว้บนเสาไม้ไผ่ จนกระทั่งซีเหมินจินเหลียนมองมา เขาก็กลัวว่าเสาไม้ไผ่จะหล่น จึงใช้หินหยกช่วยประคับประคองไว้ ทำให้เธอไม่รู้จะร้องไห้หรือยิ้มดี

 

 

“ดวงของคุณดีมาก แต่ดวงของผมคงไม่เท่าไหร่!” จ่านป๋ายยิ้มฝืน ในเมื่อเธอจ่ายเงินไปแล้ว เขาก็ไม่รู้จะพูดยังไงดี จึงเริ่มคัดเลือกหินหยก แต่เขาไม่รู้เรื่องจริงๆ และเมื่อเห็นซีเหมินจินเหลียนหาหินหยกที่ค่อนข้างเรียบนั่งเป็นเก้าอี้เพื่อมองเขา มองจนทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ…

 

 

เห็นซีเหมินจินเหลียนเท้าคางมองมาที่เขาแล้ว ก็ให้ความรู้สึกเหมือนว่าเธอกำลังมองดูเรื่องสนุกอยู่

 

 

“ผมเป็นคนที่ถูกกลั่นแกล้ง!” จ่านป๋ายบ่นพึมพำ จากนั้นเริ่มเลือกหินหยกอย่างขะมักเขม้น แม้เขาจะไม่รู้เรื่อง แต่เขาก็เคยเจียระไนหินหยกชั้นดีมาก่อนไม่น้อย คิดว่าแม้แต่ช่างแกะสลักหยกของบริษัทอัญมณีพวกนั้นคงไม่เคยได้เห็นหินหยกชั้นดีมากเท่าเขามาก่อน

 

 

ยื่นมือไปสัมผัสก้อนนู้นทีก้อนนี้ที เส้นลายหยก จุดหยกเขาก็ไม่รู้เรื่อง ตอนนี้สิ่งที่ช่วยสำรวจได้คือระดับความราบเรียบของพื้นผิวหินหยก

 

 

พื้นผิวราบเรียบอย่างน้อยก็พิสูจน์ได้ว่าความอิ่มน้ำของหินหยกพวกนี้ไม่เลว ส่วนสี…จ่านป๋ายหยิบไฟฉายในมือแกล้งทำเป็นส่องดู

 

 

ซีเหมินจินเหลียนที่มองอยู่นั้นก็อดขำไม่ได้ ให้เขาเลือก เธอก็คิดว่าจ่านป๋ายคงสุ่มเลือกมั่วๆ แล้วทำการชำแหละออกมาเล่นๆ หินหยกพวกนี้หากจะเลือกสักก้อนที่มีหยกมันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ถึงจะเป็นเธอก็ตาม แต่นี่มันก็ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ เลย

 

 

จ่านป๋ายพูดถูก ที่แห่งนี้คือชุมชนหยางเหม่ยในเจียหยาง เมืองแห่งการค้าหยกของประเทศจีน…หากมีสินค้าดีๆ ก็คงถูกคนฉวยไปหมดแล้วสิ จะมีเหลือให้ชายชราคนนี้มาขายริมทางเสียที่ไหนกัน?

 

 

จ่านป๋ายเลือกอยู่อย่างนั้นไม่หยุดจนถึงสิบกว่าก้อน เมื่อผู้คนสังเกตเห็นว่ามีคนซื้อหินหยก สถานที่อย่างเจียหยางที่ไม่ว่าจะเป็นคนแก่หรือเด็กต่างเข้าใจเรื่องธุรกิจหยก ทำให้คนที่เดินผ่านมาพากันรุมล้อม

 

 

ซีเหมินจินเหลียนกับจ่านป๋ายไม่ได้สนใจ สายตาของจ่านป๋ายถูกดึงดูดด้วยหินหยกที่ตัดออกมา…หินหยกก้อนนี้ถูกคนตัดจากตรงกลางแล้ว แน่นอนเนื้อผิวของมันมีแค่หินสีขาวเฉยๆ ไม่มีสิ่งใด แต่เมื่อมือของเขาสัมผัสไปโดนถึงรู้สึกแปลกๆ เนื้อผิวลื่นไหลกว่าที่เขาคิดไว้มาก ความรู้สึกนี้เหมือนเวลาที่ได้สัมผัสหยกชั้นดี…

 

 

แต่ผิวของหินหยกก้อนนี้สีก็ไม่โดดเด่นเลย

 

 

จ่านป๋ายไม่หยุดสงสัย นี่มันดูไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย? แม้ว่าเขาจะไม่รู้เรื่องหยก แต่ถ้าลองปิดตาและยื่นมือสัมผัสไป…ใช่แล้ว เนื้อผิวทั้งหมดไม่ได้เรียบเนียนละเอียดอ่อนไปทั้งหมด มีแค่ตรงกลางเท่านั้น หรือนี่จะเก็บของดีได้? เขารู้ว่านิ้วมือของเขาสัมผัสค่อนข้างไว การเป็นขโมย สองมือนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญมาก

 

 

เขานำหินหยกก้อนนั้นวางไว้อีกด้านและเลือกหินหยกอีกหลายก้อนที่อยู่ในสายตา ลองนับดูเพิ่งจะได้สิบเก้าชิ้น เวลานั้นไม่รู้ว่าจะเลือกก้อนไหนดี เขาเงยหน้าไปมองก็เห็นซีเหมินจินเหลียนยิ้มกรุ้มกริ่มมองมาทางเขา และใต้ร่างของเธอก็เป็นหินหยกก้อนหนึ่งที่เธอกำลังนั่งอยู่

 

 

“ขอหน่อยครับ” จ่านป๋ายตั้งใจพูดขึ้น

 

 

“อ๊ะ?” ซีเหมินจินเหลียนเงยหน้ามองเขาอย่างแปลกใจ

 

 

“ผมอยากได้หินก้อนนี้” จ่านป๋ายพูดอย่างเกียจคร้าน

 

 

“หา?” ซีเหมินจินเหลียนพูดเบี่ยงไปทางหินหยกมากมายที่วางกองอยู่บนพื้น “เยอะขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่เลือก ทำไมต้องมาเลือกก้อนนี้ด้วย”

 

 

“แม่หนู พ่อหนุ่มนี่ก็ชอบเธอต่างหาก!” ข้างๆ มีคุณลุงที่ยืนดูเหตุการณ์สร้างบรรยากาศคึกคัก

 

 

ใบหน้าของซีเหมินจินเหลียนค่อยๆ แดงระเรื่อขึ้น และรีบลุกขึ้นยืนปัดฝุ่นที่ติดอยู่ตามตัว จ่านป๋ายไม่ได้มองแต่พูดไปเลยว่า “เถ้าแก่ ผมเอายี่สิบก้อนนี้ คุณลองนับดูเถอะ!”

 

 

“ฉันดูแล้ว ยี่สิบก้อนพอดี” ชายชรายิ้มทั้งดวงตาและชี้ไปที่เครื่องเจียระไนแบบโบราณและพูดขึ้นว่า “เจียระไนไหม? ฟรีนะ แต่ถ้าคุณจะขนกลับไป ผมไม่รับผิดชอบเรื่องค่าขนส่ง”

 

 

จู่ๆ ซีเหมินจินเหลียนก็รู้สึกว่าบุคลิกของชายชราท่านนี้น่าสนใจ เธอไม่เคยได้ยินมาก่อนว่าการซื้อหินหยกที่ไหน คนขายจะรับผิดชอบเรื่องค้าขนส่ง แต่สินค้าอื่นนั้นไม่เหมือนกัน เพราะส่วนมากคนขายจะเป็นคนรับผิดชอบเรื่องค่าขนส่งเอง

 

 

“เอาเถอะครับ ยังไงเราก็ว่างๆ อยู่ กลับบ้านไปนอนก็ยังเร็วไปหน่อย” จ่านป๋ายพูด หินหยกพวกนี้ไม่ได้ใหญ่มาก เจียระไนได้ง่ายอยู่แล้ว ตอนนั้นเลยไปเปิดปุ่มสวิตซ์เครื่องและมองไปที่ซีเหมินจินเหลียน

 

 

เมื่อก่อนเวลาเขาเจียระไน ซีเหมินจินเหลียนจะเป็นคนสั่งกำชับว่าต้องเจียระไนอย่างไร ลงมีดไปทางไหน หรือไม่เธอก็จะพูดว่าหินหยกก้อนนี้ลักษณะดีมาก คุณค่อยๆ เจียระไนมันออกมา…

 

 

แต่วันนี้เธอไม่เอ่ยปาก เขาก็เลยไม่รู้จะเริ่มลงมือจากตรงไหน

 

 

“พ่อหนุ่ม รีบเจียระไนหินเร็วเถอะ พวกเรากำลังรออยู่นะ อย่ามัวแต่มองแฟนอยู่นั่น ขอแค่เจียระไนออกมาเป็นหยกและให้เธอ เธอก็ดีใจมากแล้ว” มีเสียงแซวดังขึ้นจากข้างๆ

 

 

“เฮ้อ ก็ได้ครับ!” จ่านป๋ายมองไปทางซีเหมินจินเหลียนที่ไม่มีท่าทีสนใจไยดี และยิ้มขมขื่นออกมา อย่างไรมากสุดทั้งหมดก็เป็นหิน กลับไปก็แค่ถูกเธอหัวเราะเยาะ แน่นอนว่าอย่างน้อยจ่ายไปสองหมื่นแต่ทำให้เธอมีความสุขได้ก็คุ้มค่าแล้ว

 

 

 เขาหยิบหินหยกก้อนหนึ่งที่ขนาดเท่ากำปั้นมาจัดตำแหน่งวางบนเครื่องเจียระไน จากนั้นเริ่มลงมีดตัดลงไป เสียงของใบมีดดังกระทบกัน หินหยกแบ่งออกเป็นสองซีก แต่หินก็คือหิน ไม่มีทีท่าว่าจะเป็นสีเขียวมรกต เพราะหินหยกก้อนนี้เล็กเกินไป หากจะทำการตัดออกไปอีกก็คงไม่มีหนทางแล้ว

 

 

จ่านป๋ายถอนหายใจและส่ายหน้า ทิ้งไปก้อนหนึ่งจากนั้นหยิบอีกก้อนมาตัดต่อไป…

 

 

ผู้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาจำนวนหนึ่งเห็นว่ามีคนกำลังตัดหินอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะสงสัยมุงดูอยู่รอบๆ ที่แท้หินหยกที่ไม่มีใครสนใจอยู่ริมทาง แต่ชั่วพริบตาเดียวก็กลับคึกคักขึ้นมาได้ ชายชราผู้เป็นเจ้าของพอเห็นคนพากันมาแห่รุมล้อมก็รีบอาศัยจังหวะนี้ตะโกนเรียกลูกค้า “หนึ่งพันหยวนหนึ่งก้อน ขอให้คุณโชคดีเป็นเศรษฐีพันล้าน… คนที่เดินผ่านมาห้ามพลาดโอกาสนี้เชียวนะ หินหยกที่ถูกที่สุดในเจียหยาง ลดราคาสุดๆ แล้ว!”

 

 

น่าเสียดายที่จ่านป๋ายไม่ได้ให้ความร่วมมือเลยสักนิด ไม่ว่ากี่ก้อนต่อกี่ก้อนที่ถูกตัดออกมาก็เป็นหินทั้งนั้น ทำให้คนที่เดินผ่านไปผ่านมาเดิมทีที่มีความตั้งใจที่จะซื้อตอนนี้ก็หยุดความคิดนั้นลง ทำได้แค่เป็นผู้ชมดูเรื่องสนุกที่อยู่ตรงหน้า

 

 

ทางเจียหยาง ขอแค่มีคนเจียระไนหินต่อหน้าต่อตา คนส่วนใหญ่ก็ยินยอมที่จะมาดูความสนุกนี้ อย่างแรกก็เพื่อความลุ้นระทึก อย่างที่สองคือเปิดหูเปิดตาและอาจจะไปถึงขั้นซื้อตามกระแส

 

 

 

 

ร้านหินหยกที่ไหนปรากฏหินหยกชั้นดีให้เห็น ธุรกิจก็จะเจริญก้าวหน้า แน่นอนอัตราของการเดิมพันแพ้คือเก้าสิบเก้าเปอร์เซ็นต์ ส่วนอัตราส่วนชนะเดิมพันนั้นหาได้น้อย

 

 

แม้ว่าเครื่องเจียระไนหินเครื่องเก่าแก่จะไม่ค่อยได้ประสิทธิภาพ แต่จ่านป๋ายก็มีความสามารถในการตัดให้เป็นก้อนเต้าหู้ ไม่เลวเลย หินหยกที่อยู่ในมือเขาขี้เกียจจะสำรวจแล้ว ตัดจากตรงกลางให้หมดนี่ละ หากเป็นหินก็เหมือนตัดแตงโม ค่อยผ่าอีกสองซีก หากหินใหญ่ก็ตัดต่อไปและค่อยนำหินบดให้ละเอียดเป็นก้อนๆ จนตัดไม่ได้ เพราะยังไงเมื่อก่อนตอนที่อยู่ที่บ้าน ถ้าเบื่อไม่มีอะไรเขาก็มักจะตัดเช่นนี้ เขาไม่ได้คิดว่าตัดแบบนี้มีอะไรที่ไม่เหมาะสม ซีเหมินจินเหลียนไม่เคยบอกเขามาก่อน

 

 

“พ่อหนุ่ม คุณจะเจียระไนหินหรือว่าจะตัดให้เป็นก้อนเต้าหู้กันแน่?” คนที่ผ่านมาอดไม่ได้ที่จะเตือนด้วยความหวังดี “ถึงจะแพ้เดิมพัน แต่หินพวกนั้นขอแค่ไม่ใช่ของปลอมก็มีประโยชน์ทั้งนั้น คุณตัดซะเล็กแบบนี้แล้วจะเอาไปทำอะไรได้?”

 

 

“ห๊ะ?” จ่านป๋ายสับสนมองไปทางซีเหมินจินเหลียน เมื่อก่อนเธอไม่เคยพูดเรื่องนี้

 

 

“เขาจ่ายไปเกือบสองหมื่น ก็คงอยากจะได้อะไรกลับไปจากเครื่องเจียระไนหินของฉันหน่อยสิ!” ชายชราผู้เป็นเจ้าของพูดขึ้น

 

 

ผู้คนที่รุมล้อมอยู่รอบๆ ต่างพากันหัวเราะออกมา จ่านป๋ายสงสัยและชี้ไปที่หินหยกก้อนเล็กๆ ที่ถูกตัดว่า “หินพวกนี้มีประโยชน์อะไรเหรอ?”

 

 

“ของพวกนี้ทางพวกเราจะมีคนนำไปรีไซเคิล และใช้ฝีมือทำเป็นเครื่องประดับหรือสิ่งของเล็กๆ น้อยๆ เช่นของประดับที่อยู่บนเชือกหยก” ผู้คนที่ล้อมวงอยู่นั้นมีคนหนึ่งอธิบาย “คุณตัดออกเป็นชิ้นเล็กๆ แบบนี้ก็ขายอะไรไม่ได้แล้ว”

 

 

“อ้อ?” จ่านป๋ายมองไปทางซีเหมินจินเหลียน เห็นซีเหมินจินเหลียนพยักหน้าก็รู้ว่าคนคนนั้นไม่ได้โกหก รีบกระซิบข้างหูเธอว่า “แล้วหินของพวกเราก็เสียของหมดสิ ทำไมคุณไม่บอกตั้งแต่เนิ่นๆ ล่ะครับ?”

 

 

“เห็นคุณเบื่อๆ และชอบตัด ฉันก็มีทางเลือกเหรอไง?” ซีเหมินจินเหลียนยิ้ม “ที่บ้านของเรา คุณก็ไม่ได้ตัดเล็กจนถึงขนาดนี้ ก็ยังพอจะเอาไปขายได้อยู่ อีกอย่างบ้านของเราก็ยังขายได้ราคามากกว่านี้ กลับไปครั้งนี้ถ้าคุณเบื่อก็ค่อยเอาไปขายเถอะ”

 

 

คิดทบทวนไปมาก็จำได้ว่าเมื่อก่อนซีเหมินจินเหลียนเคยพูดถึงเรื่องนี้ สินค้าเกรด C จะเป็นพวกหินเศษเหลือๆ ที่นำมาทำ แต่บ้านของเขาส่วนมากจะเป็นชนิดเนื้อแก้ว เนื้อน้ำแข็งและหินไร้ค่า หากทำเป็นสินค้าเกรดต่ำก็พอเข้าใจได้ แต่หินพวกนี้…จะเอาไปทำอะไรได้อีก?

 

 

ซีเหมินจินเหลียนดูออกว่าในใจของเขาสงสัยไม่หยุดได้แต่ยิ้ม “ถึงจะเป็นหิน แต่ถ้าเนื้อดีก็มีประโยชน์ นับประสาอะไรกันอันนี้ล่ะ? ถ้าคุณชอบตัดก็ทำต่อไปเถอะ!”