บทที่ 68 เรื่องเล่าในมหาวิทยาลัย (10)

ทำไมต้องให้น้ำเกลือเธอด้วย? อี้เป่ยซียังไม่ทันอ้าปาก ได้แต่มองดูลั่วจื่อหาน เธอพบว่าบนใบหน้าของลั่วจื่อหานมีหนวดเคราเฟิ้ม ความอ่อนโรยปรากฏอยู่บนใบหน้า ‘ทำไมนายถึงกลายเป็นแบบนี้?’

     “ฉู่เซี่ย ในที่สุดเธอก็ตื่นสักที” ฉู่ซ่งวางอาหารที่ซื้อมาจากข้างนอกลงบนโต๊ะ “ก็ไม่เห็นต้องนอนนานขนาดนี้เลยนี่นา เธอกล้ามากนะ ปล่อยให้พี่จื่อหานเฝ้าตั้งหลายวัน”

            ‘ฉันก็ไม่ได้ให้เขาเฝ้าฉันนี่’ อี้เป่ยซียังคงมองลั่วจื่อหาน เห็นรอยยิ้มน้อยๆ ของเขา คิ้วที่ขมวดกันก็ผ่อนคลาย อบอุ่นราวกับแสงอาทิตย์ที่สาดส่องบนใบหน้าของเขา

            “น่าจะหิวแล้วมั้ง กินข้าวไหม”

            ไม่กิน ไม่อยากกินอะไรเลย

            “เธอจะเป็นเทพเซียนรึไง ไม่กินข้าวมาสามวันแล้ว” ฉู่ซ่งประหลาดใจเล็กน้อย “เธอไม่ต้องทำถึงขนาดนี้ก็ได้มั้ง ก็แค่คนห่วยๆ คนหนึ่ง เธอต้องอดข้าวเพื่อเขาด้วยเหรอ?”

            ลั่วจื่อหานมองฉู่ซ่งอย่างตักเตือน เขาถึงค่อยรู้ว่าตัวเองพูดผิดไป จึงนั่งลงด้านข้างแล้วหุบปาก

            ทำไมฉู่ซ่งถึงพูดอะไรแปลกๆ เธอนอนไปสามวันงั้นเหรอ? แต่ว่าเธอไม่รู้สึกถึงการไหลผ่านของกาลเวลาเลย เธอรู้สึกว่าตัวเองนอนไปแค่ประเดี๋ยวเดียว เพียงครู่เดียวเท่านั้น ตอนนี้เธอยังรู้สึกเหนื่อยมากอยู่เลย แล้วก็คนห่วยๆ อะไรนั่น ทำไมเธอไม่เห็นเข้าใจ

            คำถามมากมายปรากฏอยู่ในหัวของเธอ แต่ละคำถามผุดออกมา แต่กลับไม่ได้เอื้อนเอ่ย ลั่วจื่อหานเห็นแววตาของเธอ เข้าใจความคิดของเธอในขณะนี้

            “กินโจ๊กหน่อยเถอะ” เมื่อเขาจะลุกขึ้น อี้เป่ยซีจึงพบว่ามือของตัวเองกำลังกุมนิ้วเขาไว้ เขาคลายมือเล็กน้อย ลั่วจื่อหานเดินไปยังอีกข้างหนึ่งของเตียง ประคองเธอขึ้นมาอย่างระมัดระวัง ถือโจ๊กบนโต๊ะขึ้นมา หลังจากมั่นใจว่าไม่ร้อนแล้วจึงป้อนไปที่ปากของอี้เป่ยซี แต่ไม่ว่าอย่างไรเธอก็ไม่อ้าปาก

            “ไม่อยากกินเหรอ? หรือว่าไม่ชอบ”

            ‘ไม่รู้สิ แค่ไม่อยากทำอะไรเลย ฉันอยากนอนต่อไม่ได้เหรอ?’

            ลั่วจื่อหานชิมไปคำหนึ่ง ก่อนขมวดคิ้ว “ช่างเถอะ ฉันไปทำให้เธอก็แล้วกัน” เขาลุกขึ้นไปที่ห้องครัวทันที ขณะอี้เป่ยซีมองเขา เดิมทีอยากจะพูดว่าไม่ต้องลำบากหรอก แต่ไม่ว่าอย่างไรก็อ้าปากไม่ออก

            ‘ก็แค่ไม่อยากพูด ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น ไม่ต้องสนใจฉันได้ไหม’

            “ฉู่เซี่ย” อี้เป่ยซีได้ยินเสียงฉู่ซ่ง แต่ดวงตาไม่ขยับเขยื้อน “เธอเป็นอะไรไป อย่าทำให้ฉันตกใจสิ? เอ๋อไปแล้วเหรอ?”

            นายนั่นแหละเอ๋อ ทั้งบ้านนายมีนายคนเดียวที่เอ๋อ ไม่เข้าใจหรือไงว่าคนอื่นเขาไม่อยากขยับตัว? นายเข้าใจความรู้สึกที่เหนื่อยมากๆ หรือเปล่า ฉันก็แค่อยากหลับตา ประคองลงไปฉันนอนเถอะ

            “เฮ้อ” ฉู่ซ่งลูบผมที่หน้าผากของเธอ “กว่าจะหาเธอเจอไม่ง่ายเลย ตอนนี้ดันเป็นบ้าซะแล้ว”

            อี้เป่ยซีเหม่อมองมือของตัวเอง ไม่ได้สนใจเขา เขาพูดกับตัวเองอีกครั้ง “อ้อ จริงสิ นี่ของของเธอเมื่อก่อน ฉันจะใส่ให้เธอนะ เกือบลืมไปแล้ว” เขาพูดพลางทำอะไรบางอย่างที่ข้อมือเธอครู่หนึ่ง อี้เป่ยซีเห็นสร้อยบนข้อมือ คริสตัลสีฟ้าส่องประกายยิ่งขึ้นเมื่ออยู่ในดวงตา

            “ทำไมถึงไปอยู่ที่นายได้?” เสียงของอี้เป่ยซีแหบแห้งเล็กน้อย

            “พูดได้แล้วเหรอ ถ้ารู้ว่าเจ้าสิ่งนี้ใช้ได้ผลก็เอาให้เธอนานแล้ว จะเสียพลังงานไปขนาดนั้นเพื่ออะไร”

            “ได้มาจากไหน?”

            ฉู่ซ่งแปลกใจเล็กน้อย นอนนานขนาดนี้จนบ๊องไปแล้ว ยังจะมาถามเขาอีกว่าได้ของนี้มาจากไหน เห็นชัดๆ ว่าเขาควรเป็นคนถามว่าได้มาจากไหนถึงจะถูกนะ

            “นี่ไม่ใช่ของของเธอเหรอ? เธอถามฉันว่าได้มาจากไหน นอนจนเพี้ยนแล้วเหรอไง?”

            “…” อี้เป่ยซียกมือของตัวเองขึ้นมา ผิวที่ขาวบริสุทธิ์เข้ากับสร้อยข้อมือสีฟ้า ยิ่งเผยให้เห็นความเพรียวบางละเอียดอ่อน เธอมอบให้ลั่วจื่อหานแล้วไม่ใช่เหรอ? ทำไมถึงมาอยู่บนมือของเธออีก ไม่พูดอะไรสักคำก็สวมให้เธอซะแล้ว เธอไม่เต็มใจหรอกนะ

            แม้จะคิดแบบนี้ อี้เป่ยซีก็ยังไม่ได้ถอดออก เธอหันหน้ามองนอกหน้าต่าง ฉู่ซ่งเห็นเธอเป็นแบบนี้ก็รู้สึกว่าไม่มีอะไรให้น่ากังวลมากมาย จึงซุกตัวอยู่ที่เดิมแล้วหลับตาลง รอจนลั่วจื่อหานกลับมาเขาจึงลุกจากไป

            ลั่วจื่อหานเหลือบเห็นสร้อยข้อมือบนมือของเธอ รู้สึกดีอย่างเลี่ยงไม่ได้

            “อันนี้นายให้ฉู่ซ่งเหรอ?” ยังไม่ทันรอเขานั่งลง คนที่นั่งบนเตียงก็มองเขาพลางเอ่ยปาก

            “กินโจ๊กก่อนเถอะ ไว้ค่อยว่ากัน” อีกฝ่ายพูดพลางตักขึ้นมาคำหนึ่ง ยื่นไปที่ปากอี้เป่ยซี ร่างกายของเธอหดถอยเล็กน้อย

            “ฉันกินเองเถอะ” พอต้องการจะยกมือจึงนึกได้ถึงเข็มบนมือตัวเอง อี้เป่ยซีวางมือลงด้วยความท้อแท้เล็กน้อย “งั้นรบกวนนายแล้ว”

            อี้เป่ยซีรู้สึกว่าตัวเองกินข้าวมื้อนี้ช้ามากๆ คิดว่ามือที่ถือถ้วยของลั่วจื่อหานจะต้องเมื่อยแน่ๆ เดิมทีอยากกินแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่ว่าเขายังคงยืนกรานให้อี้เป่ยซีทานให้หมดถ้วย

            “คือว่า นายเอาอันนี้ให้ฉู่ซ่งเหรอ?”

            “ตอนนี้อยู่บนมือเธอแล้ว”

            “แต่ว่าฉัน…”

            “ใส่ไว้เถอะ เธอใส่แล้วดูดีมาก” ลั่วจื่อหานวางถ้วยลงบนโต๊ะ “นอนอีกไหม?”

            เธอส่ายหน้า “ไม่ต้องแล้ว เดี๋ยวฉันอยากออกไปเดินเล่นหน่อย”

            ลั่วจื่อหานมองแสงอาทิตย์ด้านนอก พยักหน้าให้ “วันนี้เหมาะจะออกไปเดินเล่นดี”

            คนคนนั้นนั่งอยู่ตรงนั้นเงียบๆ ไม่พูดไม่จา อี้เป่ยซีรู้สึกอึดอัดอยู่บ้าง ลังเลแล้วลังเลอีก “ลั่วจื่อหาน ขอบคุณนะ”

            “อือ” เขาอึ้งไปนิด “เทียบกับเรื่องนี้ ฉันอยากรู้มากกว่าว่าเธอเป็นอะไรไป? เป่ยซีสะดวกเล่าไหม?”

            อี้เป่ยซีถอนหายใจ เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้และความรู้สึกทั้งหมดของตัวเองตั้งแต่ต้นให้ฟัง เมื่อเงยหน้าก็เห็นลั่วจื่อหานมองตัวเองโดยไม่ขยับเขยื้อน แววตาที่ลึกซึ้งราวกับจะดูดเธอเข้าไปอย่างไรอย่างนั้น

            “ลั่ว ลั่วจื่อหาน”

            “หืม ไม่มีอะไร งั้นตอนนี้เธอพักผ่อนพอแล้วยัง?”

            “ฉันยังรู้สึกเหนื่อยอยู่เลย ไม่รู้ว่าทำไม ทั้งๆ ที่นอนไปตั้งนานแล้ว”

            เขายื่นมือมากุมมือของอี้เป่ยซี “เดี๋ยวออกไปเดินเล่นก็หายแล้ว”

อี้เป่ยซียิ้มพลางพยักหน้า น่าจะเป็นแบบนั้น ออกไปเดินเล่นก็หาย อารมณ์ก็ดีแล้ว จะไม่รู้สึกเหนื่อยแล้วสินะ

            “แค่ก ฉันมาผิดจังหวะ” บนใบหน้าของมู่ลี่ไป๋ไม่มีความรู้สึกผิดใดๆ เขาถือกล่องยาเดินลอยชายเข้ามา “เป็นไงบ้าง? มีตรงไหนไม่สบายหรือเปล่า”

            อี้เป่ยซีส่ายหน้า ต้องการดึงสองมือออกมาจากมือของลั่วจื่อหาน แต่ทำอย่างไรก็ดึงไม่ออก มู่ลี่ไป๋ถอดเข็มบนมือของเธอออก กำชับเล็กๆ น้อยๆ พอเอ่ยแซวทั้งสองคนแล้วจึงเดินจากไปภายใต้สายตาของลั่วจื่อหาน

            “เขาเข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า?” อี้เป่ยซีหน้าแดงเรื่อ

            “เขาเข้าใจอะไรผิด?” เขายิ้มเอ่ย ท่าทางเป็นปกติมาก

            คราวนี้ถึงตาเธอเขินอายบ้าง ตัวเองคิดมากไปแล้ว เห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาก็ไม่ได้คิดแบบนั้น

            “จะออกไปเดินเล่นไม่ใช่เหรอ ตอนนี้เลยไหม?”

            “ก็ได้นะ”

            “งั้นฉันไปเก็บของก่อน”

            อี้เป่ยซีมองแผ่นหลังของเขา มีความรู้สึกอย่างหนึ่งที่อธิบายไม่ได้ หมายความว่าช่วงนี้เขาเฝ้าเธอตลอดงั้นเหรอ? แล้ว…แล้วพี่เป่ยเฉินล่ะ ทำไมเขายังไม่ปรากฏตัวอีก? เธอหลับไปนานมากเลยไม่ใช่เหรอ? เขาไม่รู้เลยสักนิดหรือยังไง?

        เธอเลิกผ้าห่มต้องการลงจากเตียง แต่ละก้าวอ่อนแรงอย่างเห็นได้ชัด เธอเข้าห้องน้ำไปอย่างชำนาญทาง เริ่มล้างหน้าล้างตา มองตัวเองในกระจก ใบหน้าน้อยๆ ขาวซีดไร้สีเลือด อิดโรยราวกับคนป่วยหนัก มือของเธอหยุดชะงัก ตัวเธอเป็นอะไรไปกันแน่?

………………………………..