กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 1124 หนิงเทียนโย่วตายแล้ว
การต่อสู้อันวุ่นวายเกิดขึ้นอีกครั้ง
เสียงกรีดร้องดังขึ้นและรุนแรงขึ้นกว่าครั้งก่อน ๆ เป็นหลายเท่า
กู้ชูหน่วนปิดหูของนางแน่น เวลานี้นางไม่กล้าฟังเสียงที่น่าสังเวชเหล่านั้นอีกต่อไป
ชีวิตผู้บริสุทธิ์มากมายต้องตายลงไปเพราะนาง……
ต่อให้นางมีชีวิตต่อไปแล้วจะมีผลอะไร
นางคงต้องอยู่ด้วยความรู้สึกผิดและละอายใจไปตลอดชีวิต
เหวินเส่าอี๋……
นี่ยังเป็นเหวินเส่าอี๋คนที่นางรู้จักหรือไม่?
เพื่อการแก้แค้นส่วนตัว ถึงกับต้องสร้างหายนะอันยิ่งใหญ่ถึงเพียงนี้
ในขณะที่เสียงกรีดร้องยังคงดำเนินต่อไป กู้ชูหน่วนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเหวินเส่าอี๋
โดยเฉพาะเมื่อนางคิดถึงความเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดอันตรายขึ้นกับเยี่ยจิ่งหานและซือม่อเฟย ความโกรธในใจของนางก็ยิ่งรุนแรงขึ้น
ด้านนอก จอมมารเห็นว่าเยี่ยจิ่งหานกำลังตกอยู่ในอันตราย เขาใช้วิธีการทำให้อีกฝ่ายสับสน ปิดกั้นการเคลื่อนไหวของเหวินเส่าอี๋ และพุ่งเข้าไปในค่ายกล
จอมมารกล่าวออกมาว่า “เยี่ยจิ่งหาน……เหล่าผู้อาวุโสแห่งกองทัพอี้ พวกท่านได้โปรดขวางพวกของเหวินเส่าอี๋และเจ้ารองหัวหน้าเผ่าตัวดีนั่นเอาไว้ด้วยเถิด”
“ไม่มีปัญหา ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของพวกเรา ต่อให้ต้องตายก็ไม่มีวันปล่อยให้พวกเข้าก้าวเข้าไปในค่ายกลได้เป็นอันขาด”
“บูม บูม บูม……”
“เยี่ยจิ่งหาน เจ้ายังทนต่อไปได้หรือไม่?”
“เจ้าเข้ามาทำไม”
“เข้ามาแทนเจ้า เวลานี้พวกเขากำลังขวางทางของเหวินเส่าอี๋เอาไว้ เจ้ารีบหนีไป พี่หญิงอยู่ไม่ได้หากไม่มีเจ้า ”
“มันสายเกินไป ข้าได้หลั่งเลือดของข้าลงไปในดวงตาของค่ายกลเป็นอันเรียบร้อย มีแค่เลือดและเนื้อของข้าเท่านั้นที่จะสามารถควบคุมและเปิดการทำงานของค่ายกลนี้ได้”
ผู้อาวุโสหลายคนของเผ่าเพลิงฟ้าปรากฏตัวออกมา ต่อสู้กับผู้อาวุโสของกองทัพอี้
เหวินเส่าอี๋ปลีกตัวออกมา พุ่งเข้ามายังใจกลางของค่ายกล
วรยุทธ์ของเขาสูงมาก ณ ที่แห่งนี้ นอกจากจอมมารและเยี่ยจิ่งหานก็ไม่มีใครสามารถหยุดเขาได้
เหวินเส่าอี๋หัวเราะด้วยความเย้ยหยัน สายตาอันเยือกเย็นของเขาจับจ้องมาที่กาขังวิญญาณบนร่างกายของจอมมาร
ไม่ว่าจะถูกหรือผิด
ไม่ว่าหัวใจของเขาจะเจ็บปวดเพียงใด
เรื่องพวกนี้ล้วนไม่สำคัญ
สิ่งที่สำคัญก็คือ ในเมื่อนางตายไปแล้ว เช่นนั้นก็ทำให้นางจากไปอย่างแท้จริง
เหวินเส่าอี๋กล่าวออกมา “รองหัวหน้าเผ่า ยุติการต่อสู้โดยเร็วที่สุด อย่าต้องให้เกิดการสูญเสียที่มากเกินไป”
“ขอรับ”
เหวินเส่าอี๋กล่าวออกมาว่า “พวกเจ้าเปิดใช้งานค่ายกลไม่ได้หรอก ยอมแพ้เสียเถอะ”
ดวงตาของจอมมารเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มและรอยยิ้มนั้นแฝงไปด้วยเจตนาฆ่าอันกระหายเลือด เขาลูบผมหลังหูอย่างเกียจคร้าน ท่าทางของเขาช่างน่าขนลุก ราวกับเขาสามารถสังหารคนได้เพียงแค่กระดิกนิ้ว
จอมมารยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น “เหวินเส่าอี๋ ไม่รู้ว่าทำไม ยิ่งเห็นหน้าเจ้าข้าก็ยิ่งรู้สึกรังเกียจ แม้ว่าพี่หญิงอาจจะโกรธข้าหลังจากฟื้นคืนชีพกลับมา แต่วันนี้……ไม่ว่าอย่างไรข้าก็ต้องสังหารเจ้าให้จงได้ พวกเจ้าตายไปพร้อมกับพวกเขาเสียเถอะ”
เหวินเส่าอี๋ยิ้มออกมา “งั้นเหรอ……งั้นก็เข้ามา”
บูม……
เสียงระเบิดดังกึกก้องไปทั่ว
กาขังวิญญาณแกว่งไปแกว่งมา
กู้ชูหน่วนกลัวว่าตนเองจะหมดสติไปอีกครั้ง
นางกัดฟันแน่น พยายามอย่างเต็มที่เพื่อรักษาสติของตนเองเอาไว้
แม้ไม่รู้ว่าค่ายกลนี้มีไว้เพื่ออะไรกันแน่ แต่นางรู้ว่าค่ายกลนี้จะต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เนื่องจากมันสามารถพรากชีวิตของเยี่ยจิ่งหานไปได้
สำหรับเหวินเส่าอี๋และซือม่อเฟย เวลานี้พวกเขากำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด บางที……
เป็นไปได้ว่าพวกเขาทั้งสองอาจเกิดการสูญเสีย หรือไม่ก็สูญเสียทั้งคู่ไปพร้อมกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การตายของนางนั้นมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหวินเส่าอี๋
และเหวินเส่าอี๋ก็ไม่ยอมให้ชุบชีวิตนางขึ้นมาอีกครั้ง
ด้วยนิสัยของอาม่อ เขาไม่มีทางยอมไว้ชีวิตเหวินเส่าอี๋เป็นแน่
นางจะหมดสติไม่ได้เป็นอันขาด
นางจำเป็นต้องปรากฏตัวออกมา
นางจำเป็นต้องออกมาเพื่อหยุดการต่อสู้ครั้งนี้
สั่นไหว……
สั่นไหวอย่างต่อเนื่อง
ไม่รู้ว่าเหวินเส่าอี๋และจอมมารต่อสู้กันด้วยวิธีใด
กู้ชูหน่วนสั่นไหวจนถึงขั้นสงสัยในการมีชีวิตอยู่ของตนเอง
ไม่ว่านางอยากคงสติของนางไว้มากเพียงใด
เวลานี้ก็ไม่สามารถทำได้อีกต่อไป
นาง……
นางสลบไปในที่สุด
ก่อนที่จะหมดสติ นางแอบได้ยินเสียงกรีดร้องอันโหยหวน
“หนิงเทียนโย่ว หยางมั่น เจ้าสังหารเสด็จอาเสวี่ยยังไม่พอ แต่เจ้ายังสังหารหนิงเทียนโย่ว ข้าไม่มีน้องสาวอย่างเจ้า วันนี้ข้าต้องแก้แค้นให้เหล่าบรรพบุรุษของรัฐปิง แก้แค้นให้เสด็จอาเสวี่ยและคุณชายหนิงโดยการกำจัดเจ้า”
หนิงเทียนโย่วตายแล้ว……
เขาเป็นสายเลือดเพียงคนเดียวที่หลงเหลืออยู่ของตระกูลหนิง
นางจะชดใช้ให้ท่านผู้เฒ่าหนิงได้อย่างไร……
อร๊าก……