ตอนที่ 1809 : ระนาบเทียม
“ขาดอีกนิดเดียว…”
ต้วนหลิงเทียนที่ปิดด่านบ่มเพาะอย่างหลงลืมคืนวัน พลันลืมตาขึ้นมา ลมหายใจหนึ่งถูกระบายออกเสียงดังค่อยวูบร่างออกจากเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติไปในห้วงคิดเดียว
ตอนนี้พลังฝึกปรือของเขาห่างอีกเพียงก้าวเดียวก็จะบรรลุถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญแล้ว…
ทว่าก้าวเดียวที่ว่ากลับเป็นจุดรอคอย ทำให้เขาต้องผ่อนคลายอารมณ์และหาโอกาสเหมาะๆในการทะลวงฝ่าในภายหลัง
“ผู้เฒ่าหั่ว ท่านใช้วัตถุดิบที่ข้าให้ไปหมดแล้วหรือยัง?”
ทันใดนั้นต้วนหลิงเทียนก็นึกขึ้นได้ ส่งเสียงไปกล่าวถามผู้เฒ่าหั่วที่ชั้น 1 ทันที
“หมดแล้ว”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “อย่างไรก็ตามวัตถุดิบที่เข้าให้ข้ามาล่าสุดนั้นได้นำไปใช้ซ่อมแซมชั้น 4 จนถึงจุดอิ่มตัวของมันแล้ว หากิคดซ่อมแซมให้ชั้น 4 ฟื้นฟูสมบูรณ์จำต้องหาวัตถุดิบชนิดอื่นๆเพิ่ม นอกเหนือจากที่เจ้าให้มา”
“ไม่ต้องห่วงผู้เฒ่าหั่ว หลังจากนี้ต้องมีวัตถุดิบใหม่เข้ามาอีกไม่น้อยแน่”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวตอบ “ข้าจะลองไปดูว่ามีวัตถุดิบอะไรมาเพิ่มแล้วบ้าง จะได้เอาให้ท่าน”
ตอนนี้มันก็กินเวลามาถึงครึ่งปีแล้วตั้งแต่ที่เขาปิดด่านบ่มเพาะอีกครั้ง
ส่วนบนชั้น 3 ของเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติ กาลเวลาได้ไหลผ่านไป 2 ปีกว่า…
ตลอดระยะเวลา 2 ปีกว่าที่ผ่านมา ไม่เพียงแต่ต้วนหลิงเทียนจะปรับพลังให้เข้ากับเซียนขัดเกลาขั้นกลางได้สมบูรณ์ ด่านพลังมั่นคง เขายังบ่มเพาะจนห่างอีกแค่ก้าวเดียวก็จะทะลวงถึงเซียนขัดเกลาขั้นเชี่ยวชาญ
ทันทีที่ต้วนหลิงเทียนเปิดประตูบ้านออกมา เขาก็พบว่ายังมีคนจับตาดูเขาอยู่บางส่วน
‘เหอะๆ นี่คนของสกุลจ้าวมันยังไม่ยอมแพ้กันอีกเหรอเนี่ย?’
ต้วนหลิงเทียนย่นคิ้วเป็นปม หากแต่พักหนึ่งก็คลายออก เขาคร้านจะสนใจอะไรคนพวกนี้ เลือกที่จะมุ่งหน้าสู่ตำหนักหลักบนเกาะลอยฟ้า เพื่อพบกู่ลี่ทันที
คนของสกุลจ้าวย่อมลอบสะกดรอยตามเขาไปเป็นธรรมดา
“บัดซบ! มันปิดด่านมาตั้งนานแต่หลังออกด่านมันก็ยังไม่คิดไปไหนอีก!!”
เมื่อเห็นว่าครั้งนี้ต้วนหลิงเทียนก็ไม่ได้ออกจากตำหนักฟ้าลี้ลับ เพียงขึ้นไปหากู่ลี่ คนของสกุลจ้าวไม่กี่คนที่ยังคอยตามต้วนหลิงเทียนก็อดไม่ได้ที่จะหัวร้อนปุดๆ คำด่าทอสาปแช่งประดังในใจไม่เลิกรา คล้ายการที่ต้วนหลิงเทียนไม่ออกไปนอกตำหนักฟ้าลี้ลับ ร้ายแรงเหมือนเขาไปถล่มมารดาฆ่าบิดาพวกมันมาอย่างไรอย่างนั้น
อย่างไรก็ตามข่าวการออกจากการปิดด่านบ่มเพาะครั้งนี้ของต้วนหลิงเทียน ก็แพร่กระจายไปถึงหู่อาวุโสระดับสูงของสกุลจ้าวอย่างรวดเร็ว
ครู่ต่อมาทั้งสกุลจ้าวก็เดือดพล่านขึ้นมาอีกครั้ง แต่ละคนกระเหี้ยนกระหือรือหมายปฏิบัติภารกิจล่อลวงสังหารให้จงได้
ทั้งหมดนี้ เป็นธรรมดาที่ต้วนหลิงเทียนจะไม่รู้เรื่องเลย
ตอนนี้เขามาเยือนคฤหาสน์ที่พักของ อาวุโสผู้พิทักษ์กู่ซืออวิ๋นอีกครั้ง
“ลุงกู่ ท่านสบาย”
คราวนี้ต้วนหลิงเทียนได้เจอกู่ซืออวิ๋น
“เสี่ยวเทียน เจ้ามาแล้ว”
เมื่อพบเจอต้วนหลิงเทียนกู่ซืออวิ๋นก็เผยยิ้มทักทาย หากแต่ต้วนหลิงเทียนสังเกตได้ไม่ยากว่าหว่างคิ้วอีกฝ่ายแฝงความกังวล แววตายังคล้ายหนักใจอะไรบางอย่าง
“ลุงกู่ มีเรื่องใดทำให้ท่านหนักใจงั้นหรือ?”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวถามด้วยสงสัย
กู่ซืออวิ๋นพอได้ยินคำถามก็ระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง หากแต่ยังไม่กล่าวอะไร
“ท่านพ่อ น้องหลิงเทียนก็ไม่ใช่คนนอก…ท่านบอกน้องหลิงเทียนไปเถอะ จะอย่างไรก็เป็นน้องหลิงเทียนทีให้ข้อมูลเรื่องเคล็ดมารกลืนหยินกับพวกเราแต่แรก”
กูลี่ที่ไม่ทราบมาตั้งแต่เมื่อไหร่ กล่าวออกมาตรงๆ
กู่ซืออวิ๋นพอได้ยินก็พยักหน้า “เจ้าเล่าให้เสี่ยวเทียนฟังเถอะ”
หลังจากนั้นกู่ลี่ก็เปิดปากเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นออกมาทั้งหมด ในที่สุดต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ว่าไฉนกู่ซืออวิ๋นถึงเป็นกังวล
“จ้าววังนภา ลักพาตัวฉีจิ้งหนีไป?”
‘เหตุผลที่พาตัวฉีจิ้งหนีไปไม่พ้นต้องการเคล็ดมารกลืนกินอะไรนั่นที่ฉีจิ้งฝึกแน่…แต่ในเมื่อเคล็ดมารกลืนกินถูกคนทั้งใต้หล้าต่อต้าน ว่าเป็นอวิชชาอันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรมเป็นที่ชิงชังถึงขนาดไหน แล้วทำไมจ้าววังนภาถึงได้ก่อการอย่างหุนหันแบบนี้ได้?’
“หืม? เหตุผลที่จ้าววังนภาก่อการอุกอาจแบบนี้ เพราะคิดล้างแค้นเฝิงปู่อี้ รองผู้นำตลาดมืดหยินชาน?”
หลังจากได้รับทราบเรื่องราว ต้วนหลิงเทียนอดไม่ได้ที่จะเผยยิ้มเจื่อนๆ “ดูเหมือนจ้าววังนภาจะไม่อาจปล่อยวางเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีที่แล้วได้…”
เมื่อครึ่งปีที่แล้ว เรื่องที่จ้าววังนภาถูกตบหน้าท่ามกลางอาวุโสทั้งหลายกลางฟ้า หากใครตาดีเข้าหน่อยย่อมแลเห็นได้ชัดเจน ต้วนหลิงเทียนที่อยู่ใกล้ๆ ก็ย่อมเห็นชัดถนัดตา
เขาเข้าใจความรู้สึกของจูลู่ฉีได้ อีกฝ่ายสมควรรู้สึกเสมือนตายเสียดีกว่าอยู่!
ดังนั้นต้วนหลิงเทียนจึงไม่คิดแปลกใจเลยที่จูลู่ฉีเสี่ยงก่อการอุกอาจปานคนสิ้นไร้หนทาง ลักพาตัวฉีจิ้งไปเพื่อฝึกเคล็ดมารกลืนหยินแบบนี้
“อาจารย์ของจ้าววังนภาก็เป็นน้องชายของท่านบรรพจารย์ เช่นนั้นจ้าววังนภาก็เปรียบเสมือนศิษย์น้องของท่านพ่อ ปกติยามพบท่านพ่อจ้าววังนภาก็เรียกหาว่าศิษย์พี่ตลอด”
กู่ลี่กล่าวอธิบายออกมา
พอได้ยินที่กู่ลี่พูด ต้วนหลิงเทียนก็เข้าใจได้ทันทีว่าไฉนกู่ซืออวิ๋นจึงแลดูหนักใจและเป็นกังวลขนาดนั้น
“ครั้งนี้จ้าววังจูนับว่าสิ้นคิดตื้นไปแล้วจริงๆ…รู้ทั้งรู้ว่าผู้คนรังเกียจผู้ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินถึงขนาดนั้นกลับยังพยายามจะฝึกอย่างหน้ามืดตามัว…ว่าแต่ที่ว่ามันไร้มนุษย์ธรรมนั้น ที่แท้การฝึกเคล็ดมารกลืนหยินมันต้องทำอะไรงั้นเหรอลุงกู่?”
พอกล่าวถึงท้ายประโยค ต้วนหลิงเทียนก็มองกู่ซืออวิ๋นด้วยสงสัย
“เคล็ดมารกลืนหยิน นั้นกล่าวกันว่าผู้ฝึกจักใช้การดูดกลืนพลังหยินรวมถึงแก่นแท้โลหิตจากสตรีมาส่งเสริมพลังบ่มเพาะของตัวเอง…และสตรีที่ถูกกลืนกินพลังหยินกับแก่นแท้โลหิตไปก็ไม่อาจรอดชีวิตอยู่ได้ ยังตกตายกลายเป็นซากศพแห้งเหี่ยว”
แววตาของกู่ซืออวิ๋นเผยประกายดุร้ายออกมา “หากจูลู่ฉีฝึกเคล็ดมารกลืนหยินแล้วจริงๆ…หากเจอกันอีกครั้ง ข้าจะฆ่ามันกับมือ!”
“ดูดกลืนพลังหยิน…แก่นโลหิต”
ถึงแม้จะทราบแต่แรกว่าวิธีการบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินมันชั่วร้ายไร้มนุษย์ธรรม แต่ต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดเลยว่าจะต่ำช้าแบบนี้ อดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่งใบหน้ายังมืดลง
“ช่างเป็นเคล็ดวิชาที่ชั่วร้ายจริงๆ”
ไม่นานตาต้วนหลิงเทียนก็เผยประกายเย็นเยียบออกมา เขารู้สึกว่าผู้ที่ฝึกเคล็ดมารกลืนหยินนั้นไม่ต่างอะไรจากเดียรัจฉานแม้แต่น้อย!
“นี่ยังกล่าวได้ว่า…ฉีจิ้งถูกช่วยเหลือไป 9 ใน 10 ก็สมควรฟื้นฟูหายดีงั้นสิ?”
พอพึมพำกล่าวถึงเรื่องนี้ ต้วนหลิงเทียนก็หยีตาลงทันใด ในแววตายังเผยแสงเย็นเยียบ
ฉีจิ้ง นายน้อยคฤหาสน์ฟ้าลิ่วล่อง เป็นคนที่เขาจะไปตามฆ่าให้ตายในวันหลัง
ตอนแรกเขาคิดว่าครั้งนี้ฉีจิ้งไม่น่ารอดพ้นชะตาตายตกแย่แล้ว แต่ไม่คิดเลยว่ามันจะถูกจูลู่ฉีช่วยไปแบบนี้
“ก่อนที่จะหลบหนีจากไป ข้าววังจูยังทิ้งป้ายบันทึกเสียงเอาไว้ ว่าจะฆ่าฉีจิ้งทันทีหลังได้รับเคล็ดมารกลืนหยิน”
กูลี่กล่าวสืบต่อ “ถึงแม้แนวทางการกระทำของจ้าววังจูเป็นอะไรที่ยากจะยอมรับได้ หากแต่จากข้อความที่ทิ้งไว้ เห็นได้ชัดว่าทำไปเพราะไร้หนทาง คิดจะทรยศต่อตำหนักฟ้าลี้ลับแต่อย่างไร”
“ฮึ่ม! ตราบใดที่ฝึกฝนบ่มเพาะพลังด้วยเคล็ดมารกลืนหยินนั่น ก็ถือว่าสมควรตายแล้ว!!”
กู่ซืออวิ๋นโพล่งออกมาด้วยโทสะ
ฆ่าฉีจิ้ง?
ได้ยินคำนี้ของกู่ลี่ ต้วนหลิงเทียนไม่ได้มองในแง่ดีสักเท่าไร
ในเมื่อฉีจิ้งมีวิธีล่อลวงให้จูลู่ฉีก่อการอุกอาจแบบนี้ ไหนเลยมันจะไร้หนทางเพื่อตัวเอง ไม่พ้นต้องเล่นแง่อะไรสักอย่าง ไม่คิดบอกเคล็ดมารกลืนหยินให้จูลู่ฉีทั้งหมดง่ายๆแน่นอน
ดังนั้นเขาไม่คิดว่าจูลู่ฉีจะฆ่าฉีจิ้งได้
นี่ไม่ได้หมายความว่าพลังฝีมือของจูลู่ฉีไม่สูงพอจะฆ่าฉีจิ้ง ทว่าฉีจิงคงใช้เคล็ดมารกลืนหยินมาบีบคั้นให้จูลู่ฉีไม่อาจลงมือ
‘ฉีจิ้ง…เจอกันครั้งหน้าข้าจะฆ่าเจ้าให้ตาย!’
ต้วนหลิงเทียนกล่าวในใจ สองตายังทอประกายดุร้ายขึ้นมาวูบหนึ่ง
หลังจากสูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อสงบสติแล้ว ต้วนหลิงเทียนพลันเงยหน้าขึ้นมายิ้มถามกู่ลี่ “พี่กู่ ว่าแต่วัตถุดิบที่ข้าขอให้ท่านช่วยรวบรวมให้ ไปถึงไหนแล้ว?”
“อ้อ วัตถุดิบที่เจ้าต้องการอยู่ในนี้แล้ว”
กู่ลี่หยิบแหวนพื้นที่ออกมาวงหนึ่ง ก่อนที่จะยื่นส่งให้ต้วนหลิงเทียน
หลังจากที่ต้วนหลิงเทียนผูกพันธะครองแหวนและแผ่สำนึกสติลงไปตรวจสอบสิ่งของด้านใน สองตาของเขาก็ถึงกับเบิกกว้างขึ้นมาทันที
นั่นเพราะวัตถุดิบที่อยู่ในแหวนมันมากกว่าครั้งก่อนถึง 10 เท่า!
ต้วนหลิงเทียนแม้ประหลาดใจ แต่ก็ไม่ได้แปลกใจอะไร
นั่นเพราะคราวนี้เขาปิดด่านบ่มเพาะพลังไปถึงครึ่งปี ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรสำหรับตำหนักฟ้าลี้ลับที่จะรวบรวมวัตถุดิบเหล่านี้
อย่างไรก็ตามต้วนหลิงเทียนยังกล่าวขอบคุณพ่อลูกแซ่กู่ ทั้งยังฝากไปขอบคุณจ้าวตำหนักอย่างเมิ่งฉิงเช่นกัน
เมื่อได้รับวัตถุดิบแล้วต้วนหลิงเทียนก็ไม่คิดรั้งอยู่นาน หลังเอ่ยคำลาสองพ่อลูกเขาก็กลับบ้านพักทันที
เมื่อกลับมาถึงบ้าน ต้วนหลิงเทียนก็วูบร่างเข้าเจดีย์หลิงหลง 7 สมบัติและส่งวัตถุดิบทั้งหมดให้ผู้เฒ่าหั่วทันที “ผู้เฒ่าหั่ว วัตถุดิบคราวนี้มากกว่าครั้งที่แล้วถึง 10 เท่า หากแต่วัตถุดิบหายากที่ท่านบอกมานั้นกลับไม่มีเลย…ข้าสงสัยว่ามันคงไม่มีอยู่ในโลกใบนี้”
กล่าวถึงจุดนี้ต้วนหลิงเทียนก็ได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ ออกมาด้วยความจนปัญญา
“นั่นไม่แน่นัก…”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวตอบทันที “อย่าได้ลืมว่าตอนนี้เจ้าอยู่ที่ใด…ภูมิภาคเบื้องล่างของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋า และหากข้าเดามิผิด ภูมิภาคเบื้องบนที่พวกเจ้ากล่าวถึงนั้นสมควรเป็น ‘ระนาบเทียม’ ที่แยกตัวออกเป็นเอกเทศน์ แต่แม้มันจักเป็นแค่ระนาบเทียม ทว่าสภาพแวดล้อมในการบ่มเพาะสมควรเหนือล้ำกว่าภูมิภาคเบื้องล่างมาก กระทั่งสมควรมีทรัพยากรมากกว่า”
“วัตถุดิบที่ภูมิภาคเบื้องล่างแห่งนี้ไม่มี ไม่ใช่ว่าด้านบนก็จะไม่มีไปด้วย”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวออกมารวดเดยีวจบ
“ระนาบเทียม?”
ต้วนหลิงเทียนพึ่งเคยได้ยินคำนี้เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าไป เขาจึงถามผู้เฒ่าหั่วออกมาทันทีว่าระนาบเทียมที่ว่าคืออะไร
“ระนาบเทียมนั้น คือระนาบที่ไม่อาจนับเป็นระนาบเฉพาะได้…เรื่องนี้ข้าเองก็ยากจะอธิบายให้เจ้าเข้าใจ เจ้าเพียงรู้ไว้ว่าระนาบเทียม คือระนาบที่แยกตัวออกมาเป็นเอกเทศน์เพราะห้วงมิติเกิดความแปรปรวน…โดยทั่วไปแล้วสภาพแวดล้อมในระนาบเทียมนั้นจักยอดเยี่ยม ไม่เพียงแต่จะเอื้อแก่การบ่มเพาะพลังสูงกว่ายังมีทรัพยากรเหนือกว่าอีกด้วย”
ผู้เฒ่าหั่วกล่าวสืบต่อ “ภูมิภาคเบื้องบนของดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋านี้หากข้าเดามิผิด มันสมควรเป็นระนาบเทียมที่พึ่งปรากฏขึ้นได้ไม่นาน! และพอมันปรากฏออกมาเหล่ายอดฝีมือชั้นนำในดินแดนเทพยุทธ์เซียนเต๋าก็เลือกที่จะย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกรากอยู่ในนั้น แน่นอนว่าไม่ว่าผู้ใดก็ต้องการสิ่งดีๆ ทั้งอยากผูกขาดทรัพยากร…ทำให้ขุมพลังที่อ่อนด้อยกว่าก็มิอาจไปช่วงชิงแข่งขันอะไรได้ กระทั่งยังถูกจำกัดให้ไม่มีสิทธิ์…”
“สุดท้ายจึงกลายเป็นภูมิภาคเบื้องบนเบื้องล่างอะไรเช่นนี้”
ฟังจากเสียงกล่าวของผู้เฒ่าหั่วแล้ว คล้ายอีกฝ่ายเคยผ่านเรื่องราวอะไรเช่นนี้มาด้วยตัวเอง
ต้วนหลิงเทียนพยักหน้ารับไปคล้ายเข้าใจ แต่อันที่จริงเขายังไม่ได้เข้าใจซะทีเดียว
ห้วงมิติแปรปรวน?
แล้วไฉนห้วงมิติแปรปรวน ถึงทำให้เกิดเป็นระนาบเทียมที่แยกตัวเป็นอิสระอะไรแบบนี้ได้?
สำหรับระนาบอะไรที่ผู้เฒ่าหั่วว่า เขาได้รับทราบจากผู้เฒ่าหั่วเพิ่มเติม ว่ามันก็เสมือนพื้นที่ๆเป็นอิสระโดยสมบูรณ์ มีม่านพลังกั้นแบ่งเอาไว้
เช่นเดียวกับโลกเก่าที่เขาอยู่ในชีวิตที่แล้ว มันก็เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระนาบโลกิยะ
สำหรับโลกที่เขาอยู่ในตอนนี้มันก็เป็นดาวเคราะห์ดวงหนึ่งในระนาบโลกิยะเช่นกัน แถมในระนาบโลกิยะนี้ ก็อาจมีดาวเคราะห์ที่แตกต่างกันหลายพันดวง
‘ไม่รู้ว่าโลกใบนี้กับโลกเก่าที่ข้าจากมา อยู่ในระนาบโลกิยะเดียวกันรึเปล่า’
กระทั่งต้วนหลิงเทียนเองก็ไม่รู้ว่าทำไมเขาถึงคิดแบบนี้ขึ้นมา