ร่ำลา โดย Ink Stone_Fantasy

หลังเตรียมตัวมาเป็นเวลาหนึ่งปี เมืองเนเวอร์วินเทอร์ในตอนนี้ก็เหมือนเรือรบติดอาวุธที่เดินหน้าด้วยความเร็วเต็มที่

เดือนแห่งปีศาจไม่สามารถขัดขวางการรวบรวมทรัพยากรจากเมืองต่างๆ ที่อยู่รอบเมืองหลวงแห่งใหม่นี้ได้ ทางสำนักบริหารเคยคิดว่าประชากร 1 แสนคนนั้นเป็นเป้าหมายที่ไม่มีทางเป็นจริงได้ แต่ผ่านไปแค่ปีเดียว ประชากรภายในเมืองก็เพิ่มขึ้นจนบรรลุเป้าหมายนี้ การเข้ามาของแรงงานใหม่จำนวนมากทำให้อุตสาหกรรมต่างๆ พัฒนาไปอย่างรวดเร็ว เพียงแค่โรงงานอุตสาหกรรมเคมีก็เพิ่มขึ้นกลายเป็น 4 แห่ง ส่วนโรงงานที่เกี่ยวกับการแปรรูปหรือประกอบเครื่องจักรนั้นมีจำนวนมากกว่า 10 แห่ง

จากตัวเลขที่จดบันทึกเอาไว้ ทุกเดือนทางสำนักบริหารต้องจ่ายเงินเดือนเกือบๆ 1 หมื่นเหรียญทอง ซึ่งในตอนแรกๆ ที่โรแลนด์มายังเมืองแห่งนี้ เงินรายได้ที่เยอะที่สุดนั้นเพียงแค่ 24,000 เหรียญทองเท่านั้น ซึ่งเป็นเงินที่ได้มาหลังจากบุกยึดป้อมปราการลองซอง พูดอีกอย่างก็คือเงินที่ดยุคแห่งดินแดนตะวันตกคนนั้นเก็บสะสมมาชั่วชีวิตพอที่จะจ่ายเงินเดือนได้แค่ 2 เดือนครึ่งเท่านั้น

เครื่องจักรไอน้ำ เรือกลไฟ น้ำหอมและเครื่องดื่มยุ่งเหยิงกลายเป็นแหล่งรายได้หลักของเมืองเนเวอร์วินเทอร์ ทางเมืองเนเวอร์วินเทอร์ขายสินค้าเหล่านี้ไปยังฟยอร์ดกับสี่อาณาจักรใหญ่ผ่านทางหอการค้าร่วม เมื่อตัดเงินค่าจ้างที่ต้องจ่ายไปแล้ว เงินที่เหลือก็ล้วนแต่แปรสภาพกลายเป็นวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์งานฝีมือ เงินหมุนเวียนไปๆ มาๆ จนกลายเป็นสมดุลที่มีความละเอียดอ่อน ส่วนเงินสะสมที่อยู่ในคลังก็เริ่มลดน้อยลงไปด้วย

เรียกได้ว่านี่เป็นรูปแบบการพัฒนาที่ไม่มีความสมดุลเท่าไร แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าสงครามแห่งโชคชะตาที่ใกล้เข้ามา โรแลนด์ไม่มีตัวเลือกให้เลือกมากนัก

ถ้าไม่เอาทรัพยากรไปทุ่มให้กับอุตสาหกรรมหนัก ปืนก็จะไม่สามารถยิงออกไปได้ ปืนใหญ่ก็จะไม่มีลูกกระสุนให้ใช้

มีแต่แบบนี้เท่านั้น เขาถึงจะติดอาวุธให้กับทั้งกองทัพได้

การเพิ่มกำลังพลในกองทัพจาก 8,000 เป็น 10,000 นั้นเป็นแค่เพียงพื้นฐาน กองทัพอากาศที่รับผิดชอบสั่งการโดยทิลลีก็กำลังอยู่ในช่วงการเตรียมตัวอยู่ นอกจากนี้ ‘กฎหมายเกณฑ์ทหาร’ และ ‘กฎหมายเคลื่อนกำลังพัล’ ก็กำลังอยู่ในขั้นตอนการร่างกฎหมาย โดยกฎหมายทั้งสองข้อนี้จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการทำสงครามให้กับเมืองเนเวอร์วินเทอร์ และเป็นการบังคับให้นักเรียน คนงานและชาวนาต้องฝึกระเบียบวินัยพื้นฐาน คล้ายๆ กับวิชาทหารในโลกสมัยใหม่ ถึงแม้จะไม่สามารถทำให้พวกเขาจับปืนลงไปในสนามรบได้ แต่ในเวลาเร่งด่วนที่ต้องการกำลังพลเข้าไปเสริมนั้นจะช่วยร่นระยะเวลาในการฝึกซ้อมลงได้

เนื่องจากเวลาในการปรากฏขึ้นมาของพระจันทร์สีแดงนั้นเกิดความคลาดเคลื่อนอย่างเห็นได้ชัด ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจมั่นใจได้ว่าสงครามแห่งโชคชะตาจะเริ่มขึ้นเมื่อไร ถ้าดีหน่อยก็อาจจะ 4 – 5 ปีหลังจากนี้ ถ้าเลวร้ายที่สุดก็อาจจะ 1 – 2 ปีหลังจากนี้ สำหรับโรแลนด์แล้ว เป้าหมายทางกลยุทธ์ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการเปลี่ยนแนวป้องกันให้กลายเป็นแนวโจมตีก่อนที่พระจันทร์สีแดงจะมาถึง เพื่อให้เปลวเพลิงแผดเผาในดินแดนของศัตรู

ด้วยเหตุนี้ปีศาจที่ปักหลักอยู่ตรงซากเมืองทาคิลาคือเสี้ยนหนามที่เขาต้องกำจัดทิ้ง

ความจริงการขนส่งเสบียงอาวุธและการเคลื่อนย้ายกำลังพลได้เริ่มไปตั้งแต่ช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว

ซึ่งความได้เปรียบของการขนส่งด้วยรางเหล็กนั้นก็อยู่ที่ตรงนี้ ต่อให้ทั่วทั้งที่ราบลุ่มบริบูรณ์ในเต็มไปด้วยหิมะ แค่ขอเพียงทำความสะอาดรางเหล็กเสร็จ สิ่งของที่จำเป็นต้องใช้ในการทำสงครามก็จะสามารถขนไปที่แนวหน้าได้อย่างต่อเนื่อง

เหล็กกล้าที่เมืองเนเวอร์วินเทอร์ผลิตได้ส่วนใหญ่ได้กลายเป็นรางเหล็กเส้นแล้วเส้นเล่า เส้นทางที่แอบซ่อนอยู่ในป่าเร้นลับได้ทำการติดตั้งเสร็จเรียบร้อย เรียกได้ว่าขอเพียงโรแลนด์สั่งการมาเพียงคำเดียว สงครามทางเหนือครั้งใหม่ก็จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ

ไม่ว่าจะเป็นกองทัพหรือว่าเมือง ก็ล้วนแต่อยู่ในสภาพเตรียมพร้อมที่จะทำสงคราม

แต่ว่าก่อนหน้านั้นเขายังมีเรื่องที่ต้องทำอีกสองเรื่อง

……

วันที่สองหลังเดือนแห่งปีศาจสิ้นสุดลง โรแลนด์ก็ได้ตอบรับคำขอเข้าเฝ้าจากธันเดอร์

“ทำไมถึงกลับเร็วขนาดนี้ล่ะ?” เขาจัดชุดชายามบ่ายอย่างง่ายๆ ภายในห้องรับแขก อีกทั้งยังเชิญอันนาและมาร์จอรีมาด้วย สำหรับวาณิชหญิงที่ค่อนข้างเข้ากันได้ดีกับไลต์นิ่งคนนี้ สิ่งที่เขาช่วยเธอได้ก็มีเพียงเท่านี้ “อยากจะรีบกลับไปสำรวจทะเลชาโดว์เหรอ?”

“กระหม่อมรู้อยู่แล้วว่าไม่สามารถปิดบังพระองค์ได้พ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์หัวเราะขึ้นมา “ทุกครั้งที่ได้ขับเจ้าเรือเหล็กนั่น กระหม่อมมักจะจินตนาการไปถึงภาพมันล่องฝ่าคลื่นลมในทะเลไปข้างหน้า ถ้าเป็นไปได้ กระหม่อมอยากจะขับไปมันยังเส้นทะเลตอนนี้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ถ้าเป็นแบบนั้น ล่องไปได้ครึ่งทางทุกคนคงต้องขาดข้าวขาดน้ำแน่” มาร์จอรี่ส่ายหัวอย่างเหนื่อยใจ “นอกจากนี้พวกสมาคมหอการค้าที่ลงทุนกับท่านคงจะไม่ยินดีที่เห็นท่านทิ้งกองเรือของพวกเขาเอาไว้ข้างหลัง นอกเสียจากท่านไม่คิดที่จะกลับไปยังฟยอร์ดอีก”

“ฮ่าๆๆ ข้าก็แค่อยากแสดงความตื่นเต้นภายในใจให้ฝ่าบาทรับรู้เท่านั้น” เขาลูบคางตัวเอง” ก็เหมือนที่มาร์จอรีว่ามานั่นแหละพ่ะย่ะค่ะ การสำรวจครั้งนี้ไม่ได้เป็นเรื่องของกระหม่อมเพียงคนเดียวเท่านั้น สำหรับฟยอร์ดแล้ว การบุกเบิกพื้นที่ทางทะเลใหม่นั้นหมายถึงโอกาสและเงินทอง ทำให้ไม่มีหอการค้าไหนที่จะไม่หวั่นไหวกับเรื่องนี้ นี่คงจะเป็นการสำรวจที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของฟยอร์ดเลยก็ว่าได้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจึงต้องรีบกลับไปเพื่อเตรียมตัวพ่ะย่ะค่ะ”

ดูเหมือนหลังจากที่ธันเดอร์ได้ทำการประกาศและเกณฑ์คนเพิ่มขึ้น การออกทะเลในครั้งนี้ก็ได้เปลี่ยนจากทีมเล็กๆ กลายเป็นกลุ่มขนาดใหญ่แล้ว โรแลนด์ยิ้มพร้อมจิบชา สมแล้วที่เป็นนักสำรวจที่มีชื่อเสียงที่สุดของฟยอร์ด เพียงแค่บอกความตั้งใจของตัวเองออกมาก็สามารถดึงเงินลงทุนมาได้จำนวนมหาศาลแล้ว “ดูเหมือนในเวลาไม่กี่เดือนนี้เจ้าจะควบคุมเรือได้คล่องแล้วสินะ”

“นี่เป็นเพราะฝ่าบาทอันนาพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์หันไปทำความเคารพให้อันนา “การปรับปรุงแก้ไขตัวเรือของพระองค์นั้นมีส่วนช่วยอย่างมาก หากไม่เป็นเพราะกระหม่อมได้มาเห็นด้วยตาตัวเอง กระหม่อมคงไม่มีทางเชื่อแน่ว่าเรือเหล็กที่ใหญ่โตแบบนี้จะมีความคล่องแคล่วมากกว่าเรือใบสามเสาพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าเองก็อยากจะวานเจ้าเรื่องหนึ่งเหมือนกัน” อันนาพยักหน้า “ตอนที่ทดสอบเรือลำนี้ พวกเราแค่ทดสอบมันในพื้นที่ใกล้ๆ กับหาดน้ำตื้นเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ล่ะก็ ข้าอยากจะได้รายงานตอนที่มันเล่นอยู่ในทะเลจริงๆ ถ้ามีปัญหาอะไรก็ให้บันทึกเอาไว้ให้หมด จะดีที่สุดถ้าใช้หมึกกันน้ำแบบใหม่ของเมืองเนเวอร์วินเทอร์กับเก็บมันเอาไว้ในถุงปิดผนึก แบบนี้ต่อให้ตกลงไปในน้ำมันก็จะไม่ได้รับความเสียหาย

น่าจะเป็นเพราะคิดไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะพูดขอร้องจริงจังแบบนี้ ธันเดอร์จึงตกตะลึงไปเล็กน้อยก่อนพูดยิ้มๆ ออกมาว่า “กระหม่อมเข้าใจแล้วพ่ะย่ะค่ะ เดี๋ยวกระหม่อมจะจัดการเรื่องนี้ให้เองพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท”

โรแลนด์ลูบหัวอันนาอย่างเอ็นดู จากนั้นจึงหันมามองธันเดอร์ “ข้าเองก็มีเรื่องหนึ่งอยากจะวานเจ้าเหมือนกัน”

“ทรงรับสั่งมาได้เลยพ่ะย่ะค่ะ”

“ข้าอยากจะจ้างนักสำรวจซักกลุ่มหนึ่ง”

“ไม่เกี่ยวกับการสำรวจครั้งนี้หรือพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์เข้าใจทันที

“ถูกต้อง” โรแลนด์วางถ้วยชาลง “ข้าอยากจะให้พวกเขาไปดูตรงแหลมเอนด์เลสซักหน่อย”

“กระหม่อมจำได้ว่าที่นั่นมันไม่มีอะไรเลยนอกจากทะเลทรายกับน้ำสีดำไม่ใช่เหรอเพคะ” มาร์จอรีพูดอย่างแปลกใจ

“ก่อนหน้านี้ข้าเองก็คิดแบบนี้เหมือนกัน…” โรแลนด์ยักไหล่ “แหลมเอนด์เลสแทบจะไม่มีความเสี่ยงอะไรเลย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเป็นนักสำรวจที่มีประสบการณ์มากก็ได้ พูดอีกอย่างก็คือเน้นจำนวนเป็นสำคัญ”

เมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้อธิบายอะไรละเอียดนัก ธันเดอร์ก็ไม่ได้ไล่ถามต่อ “คนแบบนี้ที่ฟยอร์ดมีเยอะแยะพ่ะย่ะค่ะ ไม่ทราบว่าเกณฑ์ในการคัดเลือกของพระองค์…”

“ไม่มี” โรแลนด์ตอบ “ถึงจะบอกว่าเป็นนักสำรวจ แต่จริงๆ แล้วจะเป็นใครก็ได้ ขอเพียงเจอซากโบราณวัตถุอะไรใหม่ๆ ในแหลมเอนด์เลส ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตามก็จะได้รางวัลทั้งหมด”

“ต่อให้เป็นแค่ก้อนอิฐจากซากโบราณสถานหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“ถูกต้อง แต่สิ่งสำคัญคือมันต้องมาจากแหลมเอนด์เลส” เขาย้ำชัดว่า “ข้อมูลที่อยู่ในโบราณวัตถุยิ่งเยอะ รางวัลก็จะยิ่งมาก งานนี้มีผลในระยะยาว ขอเพียงข้ายังเป็นราชาของเกรย์คาสเซิล มันก็ยังมีผลอยู่”

“พระองค์ทรงออกปากรับรองเช่นนี้ เกรงว่าหลังจากนี้ที่ตรงนั้นคงเต็มไปด้วยคนแล้วล่ะพ่ะย่ะค่ะ” มาร์จอรี่เอามือปิดปากเพราะหัวเราะออกมา “หม่อมฉันกำลังคิดว่าจะฉวยโอกาสนี้ไปเปิดร้านเหล้าที่ท่าเรือเรฟเวลรี่ดีหรือไม่?”

“ยินดีเป็นอย่างยิ่ง” การกระตุ้นเศรษฐกิจตรงอ่าวน้ำมันนั้นเป็นหนึ่งในเป้าหมายของโรแลนด์เหมือนกัน เพราะว่าอารยธรรมที่อยู่ในภาพวาดนั้นมีประวัติศาสตร์อย่างน้อยๆ ก็ 1,400 กว่าปี ที่นั่นจะยังมีเศษซากอะไรหลงเหลืออยู่หรือเปล่าก็ยังไม่อาจทราบได้ การเสนอจ้างงานโดยมีรางวัลให้นั้นถือเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยทีเดียว

“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ” ธันเดอร์เอ่ยปาก “ในเมื่อเรือเหล็กผ่านการทดสอบลงทะเลแล้ว อย่างนั้นไม่ทราบว่ามันมีชื่อหรือยังพ่ะย่ะค่ะ?”

“มีแน่นอน ข้าอยากจะตั้งชื่อให้มันว่าสโนวบรีซ”

“สโนวบรีซ…หรือพ่ะย่ะค่ะ” นักสำรวจนิ่งไปเล็กน้อย “เป็นชื่อที่เพราะจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ แต่มันจะดูอ่อนโยนเกินไปหรือเปล่าพ่ะย่ะค่ะ ดูแล้วไม่ค่อยเข้ากับตัวเรือที่เป็นเหล็กของมัน?”

“แข็งอ่อนผสมกันมันถึงจะดีที่สุด” โรแลนด์ยิ้มมุมปากขึ้นมา “ที่สำคัญกว่านั้นก็คือข้าคิดว่าชื่อนี้มันจะนำเอาโชคดีมาให้เจ้าในการเดินทางครั้งนี้ด้วย”

…………………………………………………………………………