อยู่ในเมืองหลวงมาหลายวัน สองสามีภรรยาเมิ่งเสียนก็เปลี่ยนความคิด เมื่อเห็นหวงฝู่อี้เซวียนมาขอโทษ จึงตกใจรีบลุกขึ้นยืน บอกว่า “ซื่อจื่อพูดเกินไปแล้ว งานราชการของนั้นทั้งยุ่งทั้งเยอะ ไม่จำเป็นต้องสนใจพวกเราเลย”
หวงฝู่อี้เซวียนหยุดชะงัก
เมิ่งเชี่ยนโยวหัวเราะร่าออกมา
เมิ่งอี้และโจวอิ๋งสองสามีภรรยาก็เม้มปากหัวเราะ
เมิ่งเสียนและภรรยามองไปที่พวกเขาอย่างไม่เห็นด้วย
หัวเราะกันไปได้สักพัก เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเอ่ยปากบอกกับหวงฝู่อี้เซวียนว่า “ตั้งแต่เมื่อวานที่เจ้าฝากมาบอก ว่าให้พวกเราไปเป็นแขกที่จวนท่านอ๋องฉีน่ะ พี่ใหญ่และซ้อใหญ่ก็ลนลานจนกลัวไปหมด คำพูดในวันนี้ของเจ้า ยิ่งทำให้เขาตกใจกลัวเข้าไปใหญ่”
หวงฝู่อี้เซวียนถึงได้เข้าใจ แล้วหัวเราะออกมาว่า “พี่ใหญ่ ซ้อใหญ่ ข้าคืออี้เซวียน เป็นน้องชายของพวกท่าน ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน เป็นอะไร นี่เป็นสิ่งที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ส่วนทางเสด็จพ่อและเสด็จแม่ พวกท่านไม่ต้องกลัวไป พวกเขาเรียนเชิญพวกท่านด้วยความจริงใจ”
เมื่อฟังคำพูดของเขาแล้ว เมิ่งเสียนและภรรยาก็ค่อยโล่งอก
หวงฝู่อี้เซวียนพูดกับพวกเขาอยู่นานกว่าหลายชั่วโมงอย่างใจเย็น อาการประหม่าของเมิ่งเสียนและภรรยาถึงจะได้สงบลง
เห็นว่าสายแล้ว ทุกคนออกจกาบ้าน แล้วนั่งรถม้ามาที่จวนท่านอ๋อง
พ่อบ้านจวนอ๋องได้จัดคนมาเฝ้ารอที่ประตูไว้นานแล้ว เมื่อเห็นว่าพวกเขามา ก็รีบทำความเคารพ “ซื่อจื่อ แม่นางเมิ่ง ท่านอ๋องและพระชายารออยู่ที่ห้องรับแขกนานแล้ว”
หวงฝู่อี้เซวียนก็ได้นำทุกคนเข้าไปที่ห้องรับแขก
ท่านอ๋องฉีและพระชายาฉีนั่งอยู่ด้านในห้องรับแขก เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า พระชายาฉีจึงลุกขึ้น ส่วนท่านอ๋องฉีไม่ได้ทำอะไร
พระชายาฉีมองไปที่เขาด้วยสายตายิ้มเยาะ อ๋องฉีลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วก็ลุกขึ้น
ทุกคนเข้ามา หวงฝู่อี้เซวียนยังไม่ทันได้พูด เมิ่งเสียนและภรรยากับเมิ่งอี้และภรรยาก็รีบคุกเข่าลง แล้วพูดพร้อมกันว่า “ขอคาราวะอ๋องฉีและพระชายา” เมิ่งเจี๋ย เส้าเอ๋อร์และหงเอ๋อร์ก็คุกเข่าลงด้วย
ท่านอ๋องฉีไม่ได้พูดอะไร พระชายาฉียิ้มแล้วเดินออกมาข้างหน้า แล้วพยุงซุนเชี่ยนกับโจวอิ๋งขึ้นด้วยตนเอง “คนกันเองทั้งนั้น วันหลังห้ามทำความเคารพที่เป็นทางการแบบนี้อีก” เมื่อพูดจบ ก็พยุงเมิ่งเสียนกับเมิ่งอี้ขึ้น
ทุกคนลุกขึ้นมา แล้วขอบคุณ
“นั่งเถอะ” อ๋องฉีพูดด้วยน้ำเสียงดุดัน
ทุกคนคำนับขอบคุณอีกรอบ แล้วนั่งลง
เส้าเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์อยู่ในอ้อมอกของเมิ่งเชี่ยนโยว แล้วจ้องไปที่อ๋องฉีและพระชายาอย่างประหลาดใจ
พระชายาสังเกตได้ถึงเด็กน่ารักสองคนนี้ ก็ดีใจ หลังจากที่สั่งให้คนยกน้ำชาขึ้น ก็โบกมือให้กับเขา “นี่คือเส้าเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์สินะ เคยได้ยินเซวียนเอ๋อร์พูดถึงอยู่บ้าง มานี่มา มาหาข้า”
หวงฝู่อี้เซวียนหายตัวไปตั้งแต่ยังเล็ก สิ่งที่พระชายาฉีเสียใจที่สุดก็คือไม่ได้เห็นเขาเติบโต เพราะฉะนั้น เขาจะมีความสุขทุกครั้งที่เห็นเด็กน้อยทั้งหลาย จนกระทั่งตอนนี้ ความรู้สึกแบบนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลง
เส้าเอ๋อร์กับหงเอ๋อร์เงยหน้ามองเมิ่งเชี่ยนโยวพร้อมกัน
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้า “ไปเถอะ”
เด็กน้อยทั้งสองคนเดินไปข้างหน้าพระชายาฉีอย่างไม่เกรง แล้วตะโกนพร้อมกันว่า “คุณย่า!”
ทุกคนอึ้ง
หลังจากที่เมิ่งเสียนกับภรรยาและเมิ่งอี้กับภรรยาอึ้งเสร็จแล้ว ก็รีบลุกขึ้นขอโทษอย่างทันที “ขอพระชายาให้อภัยด้วย ลูกน้อย…”
พวกเขายังไม่ทันพูดจบ พระชายาฉีก็ได้ตอบกลับไปว่า “เอาหน่า…”
ทั้งสี่คนก็อึ้งไปอีกรอบ
พระชายาฉีอุ้มทั้งสองคนไว้ที่อ้อมอก ยิ่งมองก็ยิ่งชอบ รับสั่งหลิงหลง “ไปเอาของเล่นหายากจากห้องเก็บของมา”
หลิงหลงตอบรับ แล้วเดินออกไปอย่างรวดเร็ว
เด็กสองคนพูดขอบคุณพร้อมๆ กัน
พระชายาฉีก็ยิ่งชอบใจไปใหญ่ บอกว่า “ถ้าไม่เป็นเพราะพวกเจ้าอยู่เมืองหลวงได้ไม่นานล่ะก็ ข้าอยากที่จะให้พวกเจ้าอยู่ที่นี่ยาวๆ ไปเลย”
เมื่อพูดจบ แล้วมองไปที่ทั้งสี่คนบอกว่า “พวกเจ้าเป็นอะไรกัน นั่งลงเร็วเข้าสิ”
ทั้งสี่คนตั้งสติ แล้วนั่งลง
“วันนี้เป็นงานเลี้ยงครอบครัว เราสองบ้านเกี่ยวดองกันเป็นญาติแล้ว ไม่มีการแบ่งฐานะตำแหน่ง พวกเจ้าอย่าเอาแต่จะขอโทษหรือขอบคุณเลย แบบนี้จะทำให้ดูแบ่งแยกได้นะ” เมื่อพูดจบ ก็หันไปยิ้มให้กับท่านอ๋องฉี “ท่านอ๋อง ท่านว่าใช่หรือไม่”
ท่านอ๋องมองไปที่เด็กสองคนที่อยู่ที่นางอุ้มอยู่ แม้ว่าท่าทางจะยังดูเคร่งขรึมเหมือนเดิม แต่ก็ “อืม” ตอบกลับมาเบาๆ
หลิงหลงกลับมาอย่างรวดเร็ว เอาสร้อยทองมาสองเส้น “พระชายา หม่อมฉันหาอยู่นาน มีก็แต่สร้อยทองสองเส้นนี้ที่เหมาะสมเจ้าค่ะ”
พระชายาฉีรับมา แล้วคล้องให้คนละเส้น พยักหน้า “อืม สวย”
เมิ่งเสียนกับภรรยาและเมิ่งอี้กับภรรยาลุกขึ้นเพื่อที่จะห้าม เมิ่งเชี่ยนโยวจะกระแอมเบาๆ หนึ่งที
ทั้งสี่คนจึงหยุด
“ขอบพระคุณคุณย่า” เส้าเอ๋อร์และหงเอ๋อร์พูดขอบคุณ แล้วดีใจวิ่งกลับไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว แล้วเอาแต่ก้มมองสร้อยทอง
พระชายาฉีพูดกับพวกเขาอยู่นานสองนาน รอจนกว่าพวกเขาจะหายตื่นเต้น ถึงจะออกคำสั่งให้ออกกับข้าว กินข้าวกับทุกคนพร้อมด้วยท่านอ๋องฉี
ตอนที่กินข้าว ความกลัวของเมิ่งเสียนกับซุนเชี่ยนที่มีต่ออ๋องฉีก็หายไป เวลาพูดก็กล้าที่จะพูดมากขึ้น
กินข้าวเสร็จ ในขณะที่พระชายาฉีกำลังแนะนำอยู่นั้น เขายังเล่าเรื่องที่น่าสนใจเกี่ยวกับเมืองชนบทให้นางฟังตั้งมากมาย ยั่วให้พระชายาฉีอิจฉา จนกระทั่งบอกว่าถ้ามีเวลาก็อยากที่จะไปดู
ร่างกายของพระชายาฉีถึงแม้ว่าจะดีขึ้นมากแล้ว แต่ว่าถ้าเปรียบกับคนปกติก็ยังอ่อนแออยู่ ถึงแม้ตอนพูดกับพวกเขาจะมีใบหน้ายิ้มแย้มสดใส แต่ก็ยังดูเหนื่อยอยู่ เมิ่งเชี่ยนโยวเมื่อเห็นอย่างนั้น จึงลุกขึ้นบอกว่า “ท่านอ๋อง พระชายา พวกเราต้องกลับแล้วเพคะ”
เมิ่งเสียนกับภรรยาและเมิ่งอี้กับภรรยาก็รีบลุกขึ้น ขอตัวลา
พระชายาฉีก็ไม่ได้ยื้อให้พวกเขาอยู่ สั่งให้หวงฝู่อี้เซวียนไปส่งพวกเขา
หวงฝู่อี้เซวียนตอบรับ แล้วพาพวกเขาส่งกลับบ้านไปตามคำสั่งของพระชายาฉี รอให้ทุกคนเข้าไปพักที่จวนของตนแล้ว ค่อยตามเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่จวนของนาง
ชิงหลวนและจูหลีเห็นทั้งสองคนเดินเข้าจวนไปด้วยกัน เลยยืนเฝ้าอยู่ด้านนอก
ไม่ได้เจอตั้งหลายวัน หวงฝู่อี้เซวียนก็เลยไม่ปล่อยให้โอกาสดีแบบนี้หลุดมือไปเป็นธรรมดา แต่สุดท้ายก็ยังอดทน สาบานว่า “อย่างมากครึ่งปี ข้าจะต้องขอเจ้าแต่งงานให้ได้”
เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มแล้วพยักหน้ารับ “ได้”
ผ่านไปสองวัน กัวเฟยได้นำทหารรักษาพระองค์จำนวนหนึ่งมาส่งเมิ่งเสียนกับภรรยากับเมิ่งเจี๋ยและเส้าเอ๋อร์กลับบ้านเกิดไป ส่วนเมิ่งอี้และภรรยาก็นำหงเอ๋อร์ย้ายไปที่จวนโจว
ในบ้านเงียบลงในชั่วพริบตา
แต่ว่านี่ทำให้หวงฝู่อี้เซวียนสะดวก ในบ้านไม่มีคน เขาขอแค่เพียงหมดเรื่องยุ่งจากเมืองหลวงเมื่อไร ไม่ว่าจะเป็นกลางวันหรือกลางคืนเขาก็มา
คนที่บ้านก็ชินแล้ว เวลาที่เขามา ขนาดชิงหลวนกับจูหลียังไม่ยืนเฝ้าประตูเลย เผื่อว่าเขาจะทำอะไรกันในห้อง จะได้ไม่ต้องได้ยิน
เพียงแค่ชั่วพริบตาก็ผ่านไปยี่สิบกว่าวัน เมิ่งเชี่ยนโยวนอกจากจะไปดูเฝิงจิ้งซูที่จวนท่านแม่ทัพตามเวลาแล้ว เวลาที่เหลือก็อยู่ที่จวนทำยารักษาแผลเป็น
วันนี้ อากาศแจ่มใส เลยสั่งชิงหลวน “ให้กัวเฟยไปเอารถม้ามา เราจะไปร้านยาเต๋อเหริน”
หลังจากที่กัวเฟยและกองทหารรักษาพระองค์ส่งเมิ่งเสียนถึงบ้านอย่างปลอดภัยแล้ว ก็รีบกลับโดยทันที
ชิงหลวนตอบรับแล้วไปที่ห้องคนรับใช้
เมิ่งเชี่ยนโยวเอายาที่ทำเสร็จแล้วบรรจุไว้อย่างดี ถือไว้ในมือ แล้วออกไป
กัวเฟยมารอที่หน้าประตูแล้ว
รอเมิ่งเชี่ยนโยวขึ้นบนรถม้า แล้วรีบมามุ่งหน้ามาที่ร้านยาเต๋อเหริน
เมื่อคนเฝ้าร้านเห็นนาง จึงทักทาย “แม่นางเมิ่ง ท่านมาแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวพยักหน้า ถามว่า “นายท่านของพวกเจ้าอยู่หรือเปล่า”
“เมื่อครู่นี้มีคนในมารายงานว่า ฮูหยินรองไม่ค่อยสบาย นายท่านจึงรีบกลับไปแล้ว”
เมิ่งเชี่ยนโยวขมวดคิ้ว “แสดงว่าหมายความว่าอะไร”
คนเฝ้าร้านส่ายหัว บอกว่า “ข้าน้อยไม่รู้”
แล้วเดินออกไปจนถึงหน้าประตู หันหลังกลับมาถามว่า “เจ้ารู้ที่อยู่ของนายท่านของเจ้าหรือไม่”
คนเฝ้าร้านพยักหน้า
“พาข้าไปดูหน่อย” เมิ่งเชียนโยวสั่ง
คนเฝ้าร้านไม่ได้สงสัยอะไร เลยบอกกับคนเฝ้าร้านคนอื่นๆ แล้วพาเมิ่งเชี่ยนโยวมาที่จวนเหวิน
นายประตูของจวนเหวินรู้จักกับคนเฝ้าร้าน จึงถามว่า “ว่าอย่างไรนายท่านเพิ่งกลับจวนไป มีเรื่องอะไรสำคัญอย่างนั้นหรือ”
คนเฝ้าร้านตอบรับ แล้วชี้ไปที่เมิ่งเชี่ยนโยวที่กำลังลงจากรถม้า บอกว่า “นี่คือแม่นางเมิ่ง เป็นเพื่อนของนายท่าน พอดีไปหานายท่านที่ร้านยาเต๋อเหริน ได้ยินว่าฮูหยินรองไม่ค่อยสบายเลยจะมาเยี่ยมเสียหน่อย รบกวนเจ้าไปรายงานด้วย”
นายประตูมองด้วยความสงสัย แล้วรีบร้อนเข้าไปรายงาน
ไม่นาน ก็มีเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบดังออกมา แล้วเหวินซื่อก็เดินออกมา ยังไม่ทันได้ทักทาย ก็พูดกับเมิ่งเชี่ยนโยวว่า “เหวินเอ๋อร์ไม่ค่อยสบาย เจ้ารีบเข้ามาดูเร็ว”
พูดจบ เขาจึงเดินออกมา
เมื่อเห็นท่าทางร้อนรนของเขา เมิ่งเชี่ยนโยวจึงนิ่ง เม้มปาก แล้วตามเขาเข้าไปในจวน จนกระทั่งมาถึงที่จวน แล้วเข้าไปที่ห้อง
เฝิงจิ้งเหวินสีหน้าขาวซีดนอนอยู่บนเตียง ข้างๆ เตียงมีหมอท่านหนึ่งนั่งอยู่ กำลังจับชีพจรของนาง
เมื่อเห็นว่าเมิ่งเชี่ยนโยวเดินเข้ามา ก็ดีใจ ทำท่าจะทักทายนาง
เมิ่งเชี่ยนโยวยกนิ้วขึ้นมาทำสัญญาณให้เงียบ แล้วชี้ไปที่หมอ เป็นสัญญาณให้นางอยู่เฉยๆ
เฝิงจิ้งเหวินรู้ตัว พยักหน้า แล้วไม่ได้พูดอะไร
หมอได้ตรวจชีพจรอย่างละเอียด ลูบเคราตัวเองหนึ่งที ยิ้มแล้วพูดว่า “ยินดีด้วย ฮูหยินรองท้องแล้ว”
ว่าแล้ว ภายในห้องกลับเงียบสงัด สีหน้าของแต่ละคนก็ไม่เหมือนกัน
ตอนแรกเหวินซื่อไม่กล้าที่จะเชื่อ เลยดีใจเป็นอย่างมาก เดินไปหาหมอ แล้วถามว่า “ท่านพูดจริงหรือ เหวินเอ๋อร์ท้องแล้ว ไม่ได้ตรวจผิดใช่หรือไม่”
เฝิงจิ้งเหวินก็ตาโต รีบเอามือไปลูบที่ท้อง แล้วเงยหน้ามองไปที่หมอ แล้วยังมองไปที่เมิ่งเชี่ยนโยว แล้วตาก็แดงขึ้น
หมอฟังคำถามของเหวินซื่อแล้วก็ชะงักไป แล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณชาย ข้าเป็นหมออยู่ที่ร้านยาเต๋อเหรินมาก็หลายปี ท่านสงสัยในศาสตร์การแพทย์ของข้าอย่างนั้นหรือ”
เหวินซื่อดีใจเป็นอย่างมาก “เปล่า ข้าไม่ได้…”
“เขาแค่ดีใจเกินไปหน่อยน่ะ” เมิ่งเชี่ยนโยวพูดแล้วก็หัวเราะ
เมิ่งเชี่ยนโยวชอบไปที่ร้านยาเต๋อเหริน หมอก็รู้จักนาง เลยหัวเราะแห้งๆ แล้วพยักหน้า “แม่นางเมิ่งพูดถูก” แล้วก็หุบยิ้มพูดกับเหวินซื่อว่า “แต่ว่าฮูหยินรองร่างกายอ่อนแอ ยังจะต้องพักฟื้นอีกสักระยะถึงจะดีขึ้น”
เหวินซื่อเอาแต่พยักหน้า
“และเรื่องบนเตียงก็ต้องหยุด เพราะเรื่องในครั้งนี้เป็นเพราะพวกเจ้าไม่รู้จักหักห้ามใจตนเองถึงได้เกิดขึ้น” หมอก็ไม่ได้อ้อมค้อม พูดตรงๆ ต่อหน้าทุกคน
หน้าของเหวินซื่อก็แดงขึ้นมา เฝิงจิ้งเหวินก็เช่นกัน
หมอไม่สนใจว่าพวกเขาจะตอบสนองอย่างไร ลุกขึ้น แล้วเดินไปที่โต๊ะ เปิดกล่องยา แล้วหยิบกระดาษพู่กันออกมา แล้วเขียนใบสั่งยาให้ บอกว่า “ทำตามใบสั่งนี้ ไปเอายาเหล่านี้มาให้ฮูหยินรองกิน”
เหวินซื่อรีบออกคำสั่งให้ไปเอายามาทันที
หมอพูดไปเก็บกล่องยาไปว่า “ยังมีอีกเรื่อง ให้ส่งคนไปบอกนายท่านใหญ่เสียหน่อย ให้ท่านได้ดีใจ”
เหวินซื่อรีบตอบรับ
เมื่อเก็บกล่องยาของตนเองเสร็จแล้ว ก็แบกออกไป เหวินซื่อออกไปส่งด้วยตัวเอง แล้วสั่งให้คนรถไปส่งหมอที่ร้านยาเต๋อเหริน
เฝิงจิ้งเหวินอยากลุกขึ้น เมิ่งเชี่ยนโยวจึงเดินเข้ามา แล้วห้ามนางบอกว่า “หมอบอกให้เจ้านอนรักษาตัวไป เจ้าก็อย่าขยับมากสิ ไม่ง่ายเลยนะที่จะท้อง อย่าให้เกิดอะไรขึ้นเป็นอันขาด”
เฝิงจิ้งเหวินจึงหยุด แล้วกลับไปนอนบนเตียงอย่างเชื่อฟัง แล้วบอกให้เมิ่งเชี่ยนโยวนั่งทางด้านข้างเตียง แล้วพูดกับทุกคนว่า “พวกเจ้าออกไปก่อน”
เหล่าแม่บ้านตอบรับ แล้วออกไป
ในห้องเหลือเพียงสองคน
เฝิงจิ้งเหวินจับมือของเมิ่งเชี่ยนโยว ท่าทางซาบซึ้ง พูดว่า “น้องโยวเอ๋อร์ ข้าฟังไม่ผิดใช่ไหม ข้าจะมีลูกจริงๆ ใช่ไหม”
เมื่อเห็นสีหน้าของนางที่ดูเชื่อแต่ก็ไม่อยากจะเชื่อ เมิ่งเชี่ยนโยวก็หัวเราะออกมา แล้วพยักหน้า “ใช่ ไม่ผิดหรอก เจ้าจะมีลูกจริงๆ”
เฝิงจิ้งเหวินใบหน้าที่เปี่ยมไปด้วยความสุข มือทั้งสองข้างลูบไปที่ท้อง แล้วพูดว่า “ข้าจะมีลูกอีกแล้ว ข้าจะมีลูกอีกแล้ว” เมื่อพูดจบ ก็ดูเหมือนว่านึกอะไรขึ้นมาได้ เลยรีบจับมือของเมิ่งเชี่ยนโยว ถามอย่างร้อนรนว่า “ครั้งนี้ข้าจะรักษาลูกของข้าไว้ได้จริงๆ ใช่ไหม”
“แน่นอนสิ” เมิ่งเชี่ยนโยวยิ้มตอบ “ร่างกายของเจ้าพักฟื้นเต็มที่แล้ว คลอดเด็กคนนี้ออกมาได้อย่างไม่มีปัญหาแน่นอน”
เฝิงจิ้งเหวินตาแดงก่ำ ใบหน้าเต็มเปี่ยมไปด้วยความปีติ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสะอื้นว่า “ขอบคุณน้องโยวเอ๋อร์”
เมิ่งเชี่ยนโยวเปลี่ยนสีหน้า แล้วพูดอย่างเกรี้ยวกราดว่า “ซ้อ ข้าเคยพูดไปแล้วไม่ใช่หรือ ว่าอย่าพูดแบบนี้อีก ถ้าเจ้าพูดอีก ข้าจะโมโหแล้วนะ”
เฝิงจิ้งเหวินทำตัวไม่ถูก เลยรีบจับมือของนางไว้ แล้วบอกว่า “โยวเอ๋อร์อย่าโกรธไปเลย วันหลังซ้อจะไม่พูดแบบนี้อีกแล้ว”
เหวินซื่อเข้ามาพอดี ได้ยินคำพูดของนาง ไม่ต้องเดาก็รู้ว่านางพูดว่าอะไร เลยพูดอย่างอบอุ่นว่า “ยัยนี่ไม่ใช่คนนอกเสียหน่อย จะเกรงใจทำไมกัน”
เมื่อพูดจบก็เดินมาที่ด้านหน้าของเฝิงจิ้งเหวิน เห็นดวงตาของนางแดงก่ำ ก็รู้ว่านางดีใจขนาดไหน เลยรีบบอกว่า “เจ้าเพิ่งตรวจพบว่าท้อง อย่าซาบซึ้งให้มาก เดี๋ยวจะกระทบถึงครรภ์ได้”
เฝิงจิ้งเหวินพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง “ข้ารู้แล้ว”
เหวินซื่อถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่นว่า “เจ้าอยากกินอะไร ข้าจะสั่งให้คนไปทำมาให้”
เมื่อนึกถถึงลูกคนก่อนที่แท้งเพราะถูกนวางยาพิษในอาหาร เฝิงจิ้งเหวินจึงเกิดอาการกลัวขึ้นมา ส่ายหัวแล้วรีบบอกว่า “ข้าไม่หิว ข้าไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น”
เมิ่งเชี่ยนโยวดูท่าทีของนาง ก็รู้ว่านางกำลังคิดอะไรอยู่ จึงยิ้มแล้วบอกว่า “ซ้อ ในช่วงแรก เป็นช่วงที่ร่างกายของเจ้าอ่อนแอที่สุด ต้องกินอะไรเพื่อบำรุงร่างกายเสียหน่อย มันจะดีต่อเจ้ากับลูกนะ”
“แต่ว่า ถ้าหากว่า…” เฝิงจิ้งเหวินยังไม่ทันพูดจบ เหวินซื่อกับเมิ่งเชี่ยนโยวก็รู้ว่านางกำลังกังวลเรื่องใด เมิ่งเชี่ยนโยวจึงบอกว่า “คนเราท้องสิบเดือนถึงจะคลอด เจ้าคงจะไม่กินอะไรเลยเป็นเวลาสิบเดือนหรอกนะ อีกทั้ง เจ้าเป็นกังวลเช่นนี้ ก็ไม่ดีต่อตัวลูกของเจ้า ฟังข้าเถิด อะไรควรกินก็กิน อะไรควรดื่มก็ดื่ม แล้วก็ควรกินให้มากๆ เรื่องอื่นไม่ต้องคิดมาก อย่างนี้สิถึงจะคลอดลูกตัวขาวๆ อวบอ้วนมาได้”
เหวินซื่อก็เห็นด้วย “ใช่แล้วเจ้าวางใจเถอะ หลังจากนี้ข้าจะให้คนตรวจสอบอาหารที่เจ้ากิน จะต้องไม่มีปัญหาใดทั้งสิ้น”
ใบหน้ากังวลของเฝิงจิ้งเหวินก็หายไป พยักหน้า แล้วพูดกับเหวินซื่อว่า “ข้ายังไม่อยากกิน ถ้าอยากกินเมื่อไรจะบอกเจ้า”
เหวินซื่อกำลังจะพูด ก็มีเสียงดีใจของคนแก่ดังมาจากด้านนอก “ซื่อเอ๋อร์ เจ้าอยู่ไหม”
“อยู่ขอรับ ท่านปู่” เหวินซื่อตอบกลับแล้วเดินออกไปด้านนอก
“หลานสะใภ้ท้องอีกแล้วหรือ” เหวินซื่อเพิ่งเดินออกไป เสียงของท่านปู่ก็ดังขึ้นมาอีก
เหวินซื่อตอบกลับอย่างดีใจว่า “ใช่แล้วขอรับท่านปู่ เมื่อครู่นี้ทานหมอมาจับชีพจรด้วยตัวเองเลย ไม่พลาดแน่นอน”
“สวรรค์คุ้มครอง ในที่สุดตระกูลเหวินของข้าก็มีผู้สืบสกุลแล้ว”
ถ้าเป็นครอบครัวอื่น ปู่ถามหลานสะใภ้ว่ามีลูกหรือยัง จะต้องโดนบอกว่าดีใจเกินเรื่อง แต่ว่าตระกูลเหวินไม่เหมือนกัน มารดาของเหวินซื่อกับท่านย่านั้นไม่อยู่แล้ว เฝิงจิ้งเหวินเป็นหลานสะใภ้คนโต อีกทั้งครั้งก่อนยังแท้งลูกไปอีก แล้วโดนหมอตรวจแล้วบอกว่าจะไม่สามารถมีลูกได้อีก อีกทั้งเหวินซื่อก็ไม่ได้เจ้าชู้ ท่านปู่จึงคิดว่าสายเลือดตระกูลเหวินคงสิ้นสุดเท่านี้ ตนตายไปคงไม่มีหน้าไปสู้หน้าบรรพบุรุษแล้ว วันๆ เอาแต่ถอนหายใจ หมดสิ้นกำลังใจ ตอนนี้ได้ยินแม่บ้านที่เหวินซื่อให้ไปรายงานบอกว่าเฝิงจิ้งเหวินท้องแล้ว จึงรีบเร่งเดินมาที่จวนของเหวินซื่อ เพื่อมาถามไถ่ด้วยตนเอง